บทที่ 4: แล้วข้อตกลงล่ะ?
“สุราเหอจิ่นเป็นสุราที่คู่สามีภรรยาดื่มด้วยกันในคืนวันสมรส แต่วันนี้มันเป็นเพียงแค่สุราหนึ่งกาที่มีรสชาติไม่เลว”
เมื่อจวินหรูเย่ได้ยินสิ่งที่หญิงสาวพูด เขาก็รู้สึกไม่พอใจอย่างไม่ทราบสาเหตุ
เวลาผ่านไปไม่นาน โม่อิ๋งก็ยกกล่องอาหารที่มีโจ๊ก 2 ชามกับเครื่องเคียงหลากหลายจานเข้ามา
เฟิ่งมู่ชิงที่เห็นดังนั้นจึงรีบหยิบชามโจ๊กขึ้นมาแล้วมุ่งความสนใจไปที่การกินอาหารให้อิ่มท้องเพียงเท่านั้น โดยไม่สนใจชายหนุ่มที่อยู่ข้าง ๆ นางเลยแม้แต่น้อย
ข้าควรกินให้อิ่มก่อน หลังจากนั้นจะทำอะไรต่อก็ค่อยว่ากัน
วันนี้นางโดนแม่บุญธรรมและเหล่าสาวใช้รวมหัวกันกลั่นแกล้งมาเกือบทั้งวัน หลังจากนั้นยังต้องต่อสู้กับกลุ่มชายชุดดำ แถมยังต้องมาแสดงละครฉากใหญ่ในจวนผู้สำเร็จราชการฯ อีก มันทำให้ร่างกายของนางแทบจะหมดพลังแล้ว
ตอนนี้ในสายตาของหญิงสาวมีเพียงแค่อาหารเท่านั้น นางหิวมากจนแทบจะกินวัวเข้าไปได้ทั้งตัว ดังนั้นนางจึงไม่สนใจอะไรอีก
ทางด้านจวินหรูเย่ที่เห็นคุณหนูใหญ่ตระกูลเฟิ่งตั้งหน้าตั้งตากินโดยไม่สนใจตนเองก็รู้สึกตกตะลึง เขารีบหยิบตะเกียบขึ้นมาทานอาหารด้วยท่าทางที่สง่างามซึ่งแตกต่างกับเฟิ่งมู่ชิงที่อยู่ข้าง ๆ อย่างสิ้นเชิง
หลังมื้ออาหาร โม่อิ๋งก็ปรากฏตัวอีกครั้งเพื่อทำความสะอาดโต๊ะให้เรียบร้อย เสร็จแล้วจึงปล่อยให้ผู้เป็นนายกับพระชายาของเขาอยู่ในห้องกันเพียงสองคน
บัดนี้เฟิ่งมู่ชิงที่ได้กินอาหารอย่างเต็มอิ่มก็นั่งลูบท้องของนางพลางหลับตาพริ้มด้วยสีหน้ามีความสุข
ในที่สุดข้าก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง!
ในชาติก่อนนางมักจะมีชีวิตแสนสุขสบายและไม่เคยต้องหิวโหยขนาดนี้มาก่อน
ทว่าสวรรค์ไม่เข้าข้างนาง ชีวิตของนางจึงต้องมาลงเอยเฉกเช่นนี้
“เป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ ในจวนผู้สำเร็จราชการฯ ล้วนมีแต่สิ่งยอดเยี่ยม แม้แต่อาหารก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว” เฟิ่งมู่ชิงกล่าวพลางทำหน้าพึงพอใจ
“บอกข้ามาตรง ๆ ว่าจุดประสงค์ของเจ้าในวันนี้คืออะไร?” ทันใดนั้นจวินหรูเย่ก็ถามเข้าประเด็นแบบไม่มีอ้อมค้อม
หลังจากที่ได้พบกันเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เขาเชื่อว่าเฟิ่งมู่ชิงเป็นสตรีที่มีไหวพริบและไม่โง่พอที่จะรีบบุกเข้ามาในจวนแล้วเปิดโปงเฟิ่งหวานหว่านโดยไม่เตรียมแผนการไว้ก่อน
ในตอนที่ชายหนุ่มรู้ว่าซือคงหรูซวนคิดที่จะบังคับให้เขาแต่งงานกับนาง เขาก็สั่งให้คนของตนไปสืบหาความลับของคุณหนูใหญ่ตระกูลเฟิ่งทันที
ก่อนหน้านั้นเมื่อเขาได้รับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับหญิงสาว เขาก็รู้สึกว่านางเป็นสตรีที่น่าสงสารมากจริง ๆ แต่สิ่งที่เห็นในวันนี้กลับทำให้เขารู้สึกว่าเรื่องราวที่ได้รู้มาอาจไม่ใช่อย่างที่เขาเข้าใจ
อีกทั้งชายหนุ่มไม่คาดคิดว่าเฟิ่งเทียนหลิงจะกล้าวางแผนสับเปลี่ยนเจ้าสาวในครั้งนี้
นอกจากนี้เฟิ่งหวานหว่านยังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับองค์ชายเก้า ดังนั้นเฟิ่งเทียนหลิงย่อมต้องสนับสนุนองค์ชายเก้าอย่างแน่นอน แต่เหตุใดเฟิ่งหวานหว่านจึงเลือกที่จะแต่งเข้ามาในจวนของเขาแทน
ความจริงแล้วเรื่องนี้มีเงื่อนงำอะไรซ่อนอยู่กันแน่?
“เหตุผลง่าย ๆ ผู้ที่วางตัวเป็นศัตรูกับหม่อมฉันไม่มีวันหนีพ้นเงื้อมมือของหม่อมฉันไปได้” เฟิ่งมู่ชิงตอบด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
“แต่เท่าที่ข้ารู้มา เจ้าไม่ใช่คนที่กล้าหาญขนาดนั้น”
หา?—
เฟิ่งมู่ชิงเลิกคิ้วมองหน้าจวินหรูเย่
นี่เขากำลังสงสัยข้าหรือ?
แต่ร่างกายนี้เป็นของเฟิ่งมู่ชิง แม้กระทั่งปานรูปหงส์บริเวณไหล่ด้านหลังของนางก็เหมือนกันทุกประการ ไม่ว่าเขาจะตรวจสอบอย่างไร นางก็ยังคงเป็นเฟิ่งมู่ชิงไม่มีผิดเพี้ยน
“ในเมื่อคุณหนูใหญ่เฟิ่งมีความสามารถที่ไร้ขีดจำกัดขนาดนี้ แล้วทำไมถึงต้องทนทุกข์อยู่ที่เป่ยหยวนถึง 15 ปี?”
ใบหน้าของจวินหรูเย่ในขณะนี้ดูเย็นชามาก สายตาของเขาราวกับนกอินทรีที่กำลังจับจ้องเหยื่อ เขาจ้องมองไปที่คู่สนทนาเพื่อพยายามหาพิรุจบนใบหน้าของนาง
ทางด้านหญิงสาวที่โดนสงสัยไม่ได้จริงจังกับท่าทางของอีกฝ่ายมากนัก ความเยือกเย็นนี้ไม่ได้ทำให้นางสะทกสะท้านเลยสักนิด
แต่ทันใดนั้น แรงกดดันก็พุ่งตรงมายังเฟิ่งมู่ชิง
สิ่งที่เกิดขึ้นกะทันหันทำให้นางขมวดคิ้วพลางกัดฟันแน่น ใบหน้าที่เคยมีเลือดฝาดกลับซีดลงจนเห็นได้ชัด ประกอบกับมีเหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นบนหน้าผากซึ่งบ่งบอกว่านางกำลังอึดอัด
ในเวลาเดียวกัน จวินหรูเย่รู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นคุณหนูใหญ่ตระกูลเฟิ่งยังคงนิ่งเงียบและไม่มีท่าทีแปลกไปนอกจากเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นบนหน้าผากมน
นางรับแรงกดดันของข้าได้จริง ๆ
ยามนี้เฟิ่งมู่ชิงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกำลังรู้สึกหายใจไม่ออก นางจ้องเขม็งไปยังชายที่เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินด้วยสายตาดุเดือด
ฮึ่ม!!
ไอ้เจ้าสารเลว เมื่อไหร่ที่ข้ากำจัดพิษได้หมด ข้าจะบดขยี้เจ้าให้ตาย!
ชาติก่อนนางเป็นถึงเทพเซียนระดับแนวหน้าและมีพลังอำนาจมากกว่าใคร ๆ
ถ้าร่างกายนี้ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ทรุดโทรมขนาดนี้แล้วละก็... ข้าจะถูกรังแกได้อย่างไร!
ในตอนนั้นเอง จู่ ๆ จวินหรูเย่ก็ถอนแรงกดดันออกทำให้เฟิ่งมู่ชิงถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะจ้องมองเขาด้วยสายตาพร้อมที่จะเชือดเฉือนฝ่ายตรงข้ามได้ทุกเมื่อ
“พระองค์พอพระทัยแล้วหรือยัง?”
เมื่อชายหนุ่มเห็นแววตาอาฆาตแค้นของอีกฝ่ายก็พยักหน้าพร้อมกับแสดงท่าทีพึงพอใจ
“เจ้าเต็มใจที่จะบอกความจริงกับข้าหรือไม่?”
“เหตุผลของคำถามก่อนหน้านี้ก็คือเพื่อความอยู่รอด เพราะหม่อมฉันถูกวางยาพิษ แต่วันนี้ที่หม่อมฉันเปลี่ยนใจเป็นเพราะหม่อมฉันหาวิธีล้างพิษได้แล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกลับไปที่นั่นให้อับอายขายหน้าหรอก และบังเอิญว่าเงื่อนไขที่พระองค์เสนอก็น่าสนใจมาก” เฟิ่งมู่ชิงตอบ
“เป็นเช่นนั้นเองสินะ” จวินหรูเย่พยักหน้าเบา ๆ พลางคิดตามคำบอกเล่าของอีกฝ่าย
ปรากฏว่ามีคนวางยาพิษนางด้วยเช่นกัน
เราทั้งคู่คือผู้ร่วมชะตาเดียวกันสินะ
ระหว่างนั้นเฟิ่งมู่ชิงมองไปทางชายที่นั่งอยู่บนรถเข็นด้วยความระมัดระวัง ก่อนที่สายตาจะจับจ้องไปที่ขาของเขาเป็นเวลานาน
พอจวินหรูเย่ผู้ที่สงบเสงี่ยมมาโดยตลอดสังเกตเห็นถึงการจ้องมองของหญิงสาว เขาก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ชายหนุ่มจึงพยายามบังคับรถเข็นให้หันไปยังทิศทางที่อีกคนไม่สามารถมองเห็นขาของตนได้
ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาไม่ต้องการให้สตรีที่อยู่ตรงหน้าเขาเห็นขาที่ไร้ประโยชน์คู่นี้
การเคลื่อนไหวแบบกะทันหันของชายที่อยู่บนรถเข็นทำให้เฟิ่งมู่ชิงกลับมามีสติสัมปชัญญะอีกครั้งก่อนจะรีบพูดขึ้นด้วยความเสียใจ “หม่อมฉันขอโทษ”
“ไม่เป็นไร มันเป็นแบบนี้มา 5 ปีแล้ว อีกอย่างข้าก็ชินกับมันแล้วด้วย”
ใบหน้าของจวินหรูเย่ยังคงไร้ความรู้สึก แต่แสงนัยน์ตาของเขากลับหมองลงเล็กน้อย
“ท่านผู้สำเร็จราชการฯ เราจะทำข้อตกลงกันอย่างไรดีเพคะ?” ทันใดนั้นเฟิ่งมู่ชิงก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
“งั้นบอกข้าหน่อยว่าเจ้าคิดว่าเราควรจะแลกเปลี่ยนกันอย่างไร?”
จวินหรูเย่เริ่มแสดงท่าทีสนใจกับบทสนทนาดังกล่าว
เขารู้สึกว่าสตรีเบื้องหน้าตนมักมีเรื่องที่ทำให้เขาประหลาดใจได้เสมอ
“หม่อมฉันจะล้างพิษและรักษาขาของพระองค์ ส่วนพระองค์ต้องคุ้มครองหม่อมฉันให้ปลอดภัย”
เมื่อชายหนุ่มได้ยินข้อเสนอของหญิงสาว เสียงฟ้าร้องก็ดังกึกก้องขึ้นในใจเขาทันที ในขณะที่ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านเพราะความดีใจที่เอ่อล้นออกมา
ตลอดระยะเวลากว่า 5 ปี เพิ่งมีคนพูดกับเขาว่าสามารถล้างพิษและรักษาขาของเขาได้!
“เจ้าไม่ได้ล้อข้าเล่นใช่หรือไม่?” ชายบนรถเข็นถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงแหบแห้งเล็กน้อย เฟิ่งมู่ชิงจึงพยักหน้ารับอย่างเคร่งขรึม
“ตกลง ถ้าเจ้ารักษาขาของข้าได้จริง ๆ ข้าขอสัญญาว่าชีวิตของเจ้าต่อจากนี้จะอยู่อย่างไร้กังวล”
“เอาล่ะ งั้นเรามาปรบมือแล้วกล่าวคำสาบานกันดีกว่า”
“ได้”
แปะ! แปะ! แปะ!
ทั้งคู่ปรบมือครบ 3 ครั้งเพื่อเป็นการทำข้อตกลงแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันอย่างเป็นทางการ
“ตอนนี้หม่อมฉันจะรับบทบาทเป็นพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ แต่หลังจากที่พระองค์หายดีแล้ว พระองค์สามารถลงลายมือหนังสือหย่าร้างให้หม่อมฉันได้”
ครั้นพอจวินหรูเย่ได้ยินคำว่าหย่าร้าง ตัวเขาก็พลันแข็งทื่อ ช่างน่าประหลาดที่หัวใจของเขายามนี้รู้สึกปวดร้าวเมื่อคิดว่าหญิงสาวตรงหน้าจะจากไปในอนาคต
เป็นไปได้ไหมว่า อาการที่เขารู้สึกอยู่ในตอนนี้เป็นเพราะเขากำลังถูกพิษเข้าครอบงำ?
“นี่!”
เฟิ่งมู่ชิงที่เห็นว่าชายหนุ่มเงยหน้าเหม่อมองท้องฟ้าก็โบกมือไปมาตรงหน้าของเขาเพื่อเรียกสติ
“เอาล่ะ ข้าตกลง”
จวินหรูเย่กลับมารู้สึกตัวก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเศร้าหมอง
“ยื่นมือออกมาสิเพคะ”
ปัจจุบันเฟิ่งมู่ชิงตัดสินใจที่จะล้างพิษและรักษาขาของชายที่เป็นสามีของตน ดังนั้นหญิงสาวจึงเริ่มทำงานอย่างจริงจังราวกับว่านางเป็นคนละคนกับก่อนหน้านี้
ทางด้านชายหนุ่มเมื่อตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะทำอะไร เขาจึงยื่นมือออกไปเพื่อให้นางจับชีพจร
พอเขามองไปยังมือหยาบกร้านที่มีสีเหลืองคล้ายกับคนเป็นโรคตับพร่องที่อยู่บริเวณตำแหน่งชีพจรของเขา จวินหรูเย่ก็แอบตัดสินใจอย่างลับ ๆ
ต้องเลี้ยงดูนางให้ขาวและอวบอ้วนกว่านี้
สตรีควรจะมีผิวพรรณสวยงาม นางไม่ควรมีรอยแผลเป็นหรือผิวหนังหยาบกร้านเช่นนี้
เวลาผ่านไปช้า ๆ ในห้องอันเงียบสงบทว่าเต็มไปด้วยความตึงเครียด
หลังจากผ่านไปประมาณ 1 เค่อ* ในที่สุดเฟิ่งมู่ชิงก็ถอนมือของนางออกก่อนจะอุทานว่า “มันคือนารีเมามาย!”
*1 เค่อ = 15 นาที
ทันทีที่จวินหรูเย่ได้ยินเสียงของหญิงสาว เลือดในร่างกายของเขาก็เดือดพล่าน นางรู้จักพิษนี้จริง ๆ นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปีที่มีคนรู้จักพิษนี้
“นารีเมามายคืออะไร?” เขาซึ่งไม่รู้ว่าพิษที่นางบอกคืออะไรจึงถามอีกฝ่ายด้วยความสงสัย
“นารีเมามายเป็นราชาแห่งพิษร้าย การโจมตีของมันเปรียบเสมือนมดนับพันที่กัดแทะร่างกายและทำลายเส้นลมปราณ มันจะกัดกินอวัยวะภายในอย่างช้า ๆ ผู้ที่ถูกพิษนี้จะค่อย ๆ กลายเป็นอัมพาตก่อนจะตายอย่างทุกข์ทรมานในที่สุด”
เฟิ่งมู่ชิงตอบพลางมองดูชายบนรถเข็นที่มีท่าทีสงบด้วยความชื่นชม
เมื่อนารีเมามายโจมตีร่างกาย ผู้ที่ถูกพิษจะรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ ในแต่ละครั้ง และแน่นอนว่านี่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเอาชนะมัน
ปัจจุบันขาของเขาพิการ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาได้เผชิญกับอาการพิษกำเริบมาหลายหน นั่นทำให้เห็นว่าชายผู้นี้ต้องอดทนกับมันนับครั้งไม่ถ้วน
“มีทางแก้ไขหรือไม่?”
“มีสิเพคะ ขึ้นชื่อว่าพิษย่อมต้องมีทางแก้!”
โชคดีที่ในชีวิตก่อนนางต้องฝ่าฟันความยากลำบากมากมายเพื่อที่จะได้กลายเป็นเทพเซียน อีกอย่างเป็นเพราะนางมีชีวิตอยู่นานพอสมควร
มิฉะนั้นคงไม่มีวิธีที่จะรักษาพิษร้ายที่หายากเช่นนี้ได้
“พระองค์ขอให้คนหากระดาษกับพู่กันมาให้หม่อมฉันหน่อยได้หรือไม่ ตัวยาล้างพิษนี้หายากมาก พระองค์ควรขอให้คนของพระองค์ค้นหาอย่างสุดกำลัง นอกจากนี้พระองค์ควรหาช่างตีเหล็กที่เก่งที่สุดเพื่อทำเข็มเงินเนื้อดีขึ้นมา 1 ชุด เพราะในระหว่างการค้นหายาถอนพิษ หม่อมฉันจะใช้เข็มเงินในการชะลอพิษในร่างกายของพระองค์ไปพลาง ๆ ก่อน”
“ได้”
หลังจากนั้นครู่หนึ่งโม่อิ๋งก็ปรากฏตัวขึ้นในห้องโดยมีพู่กันและกระดาษอยู่ในมือ
ขณะนั้นเฟิ่งมู่ชิงเหลือบมองไปที่โม่อิ๋งพลางแอบชื่นชมเขาเงียบ ๆ ในใจ เขาเป็นคนที่ซื่อสัตย์และเคลื่อนไหวในการทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว นางไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่นางจะมีโอกาสได้คนแบบนี้มาอยู่ข้างกายนางบ้าง
เมื่อมีอุปกรณ์ครบถ้วน เฟิ่งมู่ชิงก็ไม่รอช้าอีกต่อไป นางหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนรายการสมุนไพรที่ต้องใช้อย่างช้า ๆ
“เสร็จแล้ว!”
หลังจากผ่านเวลาไปเพียงแค่ครึ่งเค่อ หญิงสาวก็เขียนสิ่งที่ตนต้องการเสร็จเรียบร้อย นางหยิบกระดาษขึ้นมาก่อนจะตากหมึกให้แห้งแล้วมอบมันให้กับจวินหรูเย่
พอชายหนุ่มมองดูลายมืออันสง่างามที่อยู่บนกระดาษ เขาก็ต้องตกตะลึงเป็นอย่างมาก
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: ว้าว นางเอกของเราเชี่ยวชาญด้านพิษซะด้วย เหมือนฟ้ามาโปรดพี่หรูเย่เลย
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 220
แสดงความคิดเห็น