บทที่ 577: โรคระบาดที่เกิดขึ้นในหมู่ภูตเผ่าไป๋ผี
เมื่อหยินซางได้ยินเสียงตะโกนที่ดังมาจากด้านนอก เขาก็ระงับความโกรธบนใบหน้าของเขาไว้ทันที
ต่อมา ชายหนุ่มส่งสัญญาณให้เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาถอยกลับไปยืนรออยู่ที่มุมห้องก่อน
แม้ว่าภูตเผ่าไป๋ผีทุกคนจะรู้เรื่องเกี่ยวกับพ่อแม่ของหยินชาง แต่มีเพียงลูกน้องคนสนิทของเขา หยินเสวี่ย และผู้อาวุโสเท่านั้นที่รู้เกี่ยวกับแผนการที่ตนตั้งใจจะจับตัวหยินชางกลับมา
เพราะยิ่งมีคนรู้น้อยเท่าไหร่ สัดส่วนที่เขาจะได้ครอบครองเลือดของภูตอสูรก็มากขึ้นเท่านั้น
หากเมื่อก่อนเขาไม่แอบไปเอาศพของภูตอสูรคนนั้นกลับมาแล้วล่ะก็ เขาก็คงไม่ได้รับเลือดของภูตอสูรมากมายขนาดนี้ และเขาก็คงจะไม่สามารถขึ้นเป็นหัวหน้าเผ่าได้สำเร็จ
แน่นอนว่าชายหนุ่มไม่เต็มใจที่จะแบ่งปันเลือดของภูตอสูรอันแสนวิเศษให้กับพวกภูตของเผ่าไป๋ผีทุกคน
ถ้าเป็นไปได้ เขาต้องการที่จะครอบครองมันไว้แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
“เข้ามา” หยินซางกระแอมในลำคอก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูน่าเกรงขาม
หยินซื่อที่ได้ยินว่าหัวหน้าเผ่าเอ่ยอนุญาตแล้ว เขาจึงรีบเดินเข้าไปในบ้านไม้ เมื่อเขาสังเกตเห็นว่าในห้องมีภูตคนอื่นนอกจากหยินซางอยู่ด้วย ชายหนุ่มก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ แต่หลังจากตั้งสติได้แล้ว เขาก็ก้มศีรษะทำความเคารพให้กับผู้เป็นนายด้วยความนอบน้อม
“เจ้าเพิ่งบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะมารายงานงั้นหรือ?” หยินซางเหลือบมองไปยังคนที่เพิ่งมาขณะมีสีหน้าร้อนใจ เพราะเขายังหงุดหงิดกับเรื่องแผนการที่ตนคิดไว้ไม่หาย
แต่เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรับรู้เกี่ยวกับการสนทนาก่อนหน้านี้ เขาจึงพยายามระงับความโกรธอย่างเต็มที่
“ท่านหัวหน้า ข้าสงสัยว่าผู้อาวุโสและคนอื่น ๆ ในเผ่าของเรากำลังติดโรคระบาด”
การแสดงออกของหยินซางเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินคำพูดของคนตรงหน้า
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ ผู้อาวุโสติดโรคระบาดงั้นหรือ?”
หลังจากที่หูเจียวเจียวเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับโรคระบาดให้กับชาวเผ่า ตอนนี้ทุกคนจึงรู้จักอาการของผู้ที่อาจจะติดโรคเป็นอย่างดี การแพร่กระจายของโรคระบาดถือว่ารวดเร็วมาก หากควบคุมได้ไม่ทันเวลา ทั้งเผ่าอาจจะต้องประสบกับความหายนะ
“ไม่ใช่เพียงแค่ผู้อาวุโส แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้ ภูตจำนวนมากในเผ่าของเราต่างก็มีอาการป่วย ข้าสงสัยว่าพวกเขาอาจจะติดโรคระบาด” หยินซื่อกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
คำพูดของเขาเปรียบเสมือนสายฟ้าที่ฟาดลงมากลางหัวของหยินซาง
ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา เขามักจะรู้สึกกระสับกระส่ายอยู่ตลอดเวลา ราวกับว่าบางอย่างกำลังเตือนให้เขารับรู้ล่วงหน้าว่าอาจจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น ปรากฏว่าเรื่องไม่ดีที่ว่านั่นคือการเกิดโรคระบาดภายในเผ่าของเขา
“ผู้อาวุโสอยู่ที่ไหน พาข้าไปดูเขาหน่อย” สีหน้าของผู้เป็นหัวหน้าเผ่าไป๋ผียังคงดูเย็นชา แต่น้ำเสียงของเขากลับมีความร้อนรนแฝงอยู่
แม้ว่าเขาจะไม่ได้สนใจชีวิตความเป็นความตายของคนในเผ่าตัวเองมากนัก แต่เขาก็ยังต้องการผู้ใต้บังคับบัญชาที่ภักดีไว้คอยสนับสนุนตน ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถปล่อยให้คนพวกนี้ตายลงอย่างไร้ประโยชน์ได้
ถ้าพวกเขาติดโรคจริงก็ต้องถูกควบคุมตั้งแต่เนิ่น ๆ จะได้ไม่ไปแพร่เชื้อให้กับคนอื่น
ทางด้านหยินซื่อโค้งคำนับผู้เป็นนายแล้วจึงรีบพาเขาไปที่บ้านพักของผู้อาวุโสทันที
ส่วนลูกน้องหลายคนที่อยู่ในห้องก็เดินตามไปติด ๆ
ใช้เวลาไม่นาน คนทั้งกลุ่มก็พากันมาถึงด้านนอกบ้านไม้ของผู้อาวุโส
เนื่องจากหยินซางกลัวว่าตัวเองจะติดโรคร้าย เขาเลยไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้บ้านมากนัก จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่หยินซื่อแล้วพูดว่า “เจ้าไปเปิดประตูดูซิ”
ถ้าชายชราเกิดติดโรคระบาดขึ้นมาจริง ๆ แล้วล่ะก็… หากเขาเข้าไปใกล้ เขาจะต้องติดเชื้อไปด้วยแน่ ๆ
หยินซื่อไม่กล้าขัดคำสั่งของหัวหน้าเผ่าไป๋ผี เขาจึงหยิบไม้ที่ดูมีความยาวพอเหมาะจากแถวนั้นขึ้นมา ก่อนจะค่อย ๆ เดินย่องเข้าไปใกล้ประตูบ้านไม้ทีละก้าว
จากนั้นเขาก็ใช้ไม้ในมือดันประตูบ้านให้เปิดออก
แสงอาทิตย์ที่เจิดจ้าส่องเข้าไปในบ้านไม้อันมืดมิด ทำให้ภายในนั้นสว่างขึ้นทันตา เหล่าภูตที่ยืนอยู่ด้านนอกจึงสอดส่ายสายตาหาผู้อาวุโสของเผ่าไป๋ผีที่อยู่ภายในบ้านไม้ แต่สิ่งที่พวกเขาเห็นกลับมีเพียงภูตตัวผอมแห้งจนหนังเกือบจะติดกระดูกนอนอยู่บนกองฟาง
ร่างกายของคนคนนั้นเต็มไปด้วยตุ่มแดง ๆ โดยที่หลายจุดมีเลือดและหนองไหลออกมาพร้อมกับส่งกลิ่นเหม็นอบอวล
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าหน้าอกของเจ้าตัวกำลังขยับขึ้นลงอยู่เล็กน้อย ซึ่งทำให้เห็นว่าคนข้างในยังคงหายใจอยู่ ภูตทั้งหมดอาจจะคิดไปว่าคนบนที่นอนคือศพที่ตายไปหลายวันแล้ว
สายตาของหยินซางเลื่อนไปจับจ้องที่ใบหน้าของผู้อาวุโส ในตอนนี้คนป่วยหน้าซีดเซียวมาก เบ้าตาของเขาจมลึกลงไปราวกับว่าร่างนั้นเป็นเพียงโครงกระดูกที่ปกคลุมด้วยหนังมนุษย์
หลังจากที่หยินซื่อเห็นฉากที่ปรากฏ ในที่สุดการคาดเดาของเขาก็ได้รับการยืนยัน
“โรคระบาด! มันคือโรคระบาดจริง ๆ! ท่านผู้อาวุโสติดโรคระบาดแล้ว!”
เหล่าภูตต่างพากันถอยห่างจากบ้านไม้ไปหลายก้าวด้วยความกลัวว่าจะติดโรคจากคนที่อยู่ข้างใน
ทางด้านผู้อาวุโสไม่คาดคิดว่าจะมีคนมาเปิดประตูบ้านของตนแบบกะทันหัน จึงทำให้ใบหน้าของเขาซีดเผือดเพราะความตื่นตระหนก
เขากอดร่างของตัวเองไว้แน่นก่อนจะตะโกนเสียงสั่นและแหบแห้งว่า
“ข้าไม่ได้เป็นโรค ข้าไม่ได้ติดโรคระบาด ข้าแค่รู้สึกไม่สบายเพียงเท่านั้น…”
กลุ่มภูตไม่ได้คิดที่จะรับฟังคำอธิบายของคนป่วยเลยสักนิด พวกเขาหันไปพูดกับผู้เป็นหัวหน้าเผ่าด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“ท่านหัวหน้า ท่านผู้อาวุโสกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว มันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เรามาเผาท่านผู้อาวุโสไปพร้อมกับบ้านไม้หลังนี้กันเถอะ!”
“ใช่! ถ้าเราไม่เผาบ้านไม้นี้ เราอาจจะติดโรคไปด้วยก็ได้”
ในขณะนี้ความเห็นแก่ตัวของพวกภูตชายแห่งเผ่าไป๋ผีก็ถูกเปิดเผยออกมา
“ไม่... เจ้าเผาข้าไม่ได้… ข้าไม่ได้ติดโรคจริง ๆ...”
เมื่อชายชราได้ยินในสิ่งที่ภูตที่ยืนอยู่ข้างนอกคุยกัน เขาก็ตกใจมากจนแทบจะเด้งตัวลุกออกจากที่นอน
ทว่าขาของเขาไม่สามารถขยับได้อีกต่อไป
และร่างทั้งร่างก็ดูเหี่ยวเฉาราวกับศพ มีเพียงศีรษะเท่านั้นที่ยังคงสามารถขยับไปมาได้ แต่การเคลื่อนไหวที่แข็งทื่อนั้นกลับดูน่าขนลุกมากกว่าเดิม
สิ่งนี้ทำให้ผู้คนที่กำลังจ้องมองชายแก่รู้สึกหวาดกลัวมากยิ่งขึ้น
ส่วนหยินซางไม่ได้ตอบสนองกับคำพูดของเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาในทันที หากแต่กำลังคิดถึงสิ่งที่หยินซื่อบอกเขาก่อนหน้านี้ เขาจึงหันกลับไปถามอีกครั้ง
“เจ้าบอกว่ายังมีภูตในเผ่าของเราอีกมากที่ป่วยเหมือนกัน พวกนั้นก็ติดโรคด้วยงั้นหรือ?”
ใบหน้าที่มืดมนของหัวหน้าเผ่าไป๋ผีในตอนนี้เหมือนกับเมฆดำที่มักจะก่อตัวขึ้นก่อนเกิดพายุ
“ท่านหัวหน้า ข้าก็บอกไม่ได้ว่าพวกเขาป่วยเป็นโรคเดียวกันกับท่านผู้อาวุโสหรือไม่ ท่านต้องไปดูด้วยตาของตัวเอง” หยินซื่อไม่กล้ายืนยัน
“ถ้างั้นเจ้าก็พาคนบางส่วนไปตรวจดูว่าคนพวกนั้นติดโรคระบาดหรือไม่ ไปเดี๋ยวนี้!” หยินซางสั่งเสียงเข้ม
แน่นอนว่าเขาไม่เคยคิดจะทำเรื่องเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ด้วยตัวของเขาเองอยู่แล้ว
แม้แต่กับหยินซื่อที่เพิ่งเข้าไปใกล้บ้านไม้ของผู้อาวุโส คนเป็นหัวหน้าเผ่าก็ยังเดินออกไปยืนอยู่ห่าง ๆ อีกทั้งยังยกมือขึ้นมาปิดปากและจมูกของตนเองในขณะที่พูดด้วย
การกระทำของหยินซางที่ดูเหมือนกับว่ารังเกียจคู่สนทนา ทำให้หยินซื่ออดไม่ได้ที่จะรู้สึกแย่
แต่เขาก็ยังคงก้มศีรษะลงแล้วทำตามคำสั่งของผู้เป็นนายในทันที
ไม่นานหลังจากนั้น หยินซื่อและลูกน้องบางคนก็วิ่งกระหืดกระหอบกลับมา
“ท่านหัวหน้า พวกเราไปดูมาแล้ว ข้าเห็นว่าอาการของภูตเหล่านั้นเหมือนกับอาการของท่านผู้อาวุโสทุกประการ นี่แสดงว่าพวกเขาต้องติดโรคระบาดด้วยเช่นกัน”
หยินซื่อหอบตัวโยนเพราะเหนื่อยจากการที่เขารีบวิ่งมาก่อนจะรายงานหัวหน้าเผ่าด้วยความตื่นตกใจ
ในตอนนี้ใบหน้าของหยินซางนั้นตึงเครียดเป็นอย่างมาก
“นอกเหนือจากคนของเราแล้ว เจ้าได้ยินว่ามีภูตของเผ่าเยว่หูคนไหนติดโรคนี้บ้างไหม?”
พวกเขาไม่เคยได้ยินว่าภูตในเผ่าเยว่หูคนไหนจะป่วยด้วยโรคระบาดมาก่อน
แล้วทำไมถึงมีเพียงภูตในเผ่าไป๋ผีที่ป่วย?
หยินซื่อกับกลุ่มภูตที่ออกไปสำรวจแต่ละคนต่างก็พากันส่ายหัว
“เราไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลย”
“ท่านหัวหน้า เป็นไปได้ไหมว่าตาแก่หูหลินจงใจใช้โรคระบาดเพื่อมาทำร้ายพวกเรา?” 1 ในลูกน้องของหยินซางถามขึ้นด้วยท่าทางลังเลใจ
เมื่อชายหนุ่มได้ยินเช่นนั้น เขาก็ส่ายหัวอย่างใจเย็น
“เป็นไปไม่ได้ ไอ้แก่นั่นกังวลเกี่ยวกับภูตในเผ่ามากที่สุด หากภูตเผ่าไป๋ผีของเราติดเชื้อ มันอาจจะแพร่เชื้อไปยังคนอื่นด้วย ดังนั้นมันไม่มีทางทำอะไรเสี่ยง ๆ แบบนี้แน่”
แล้วการคาดการณ์ข้างต้นก็ถูกปัดตกไปในทันใด
“ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า… ภูตในเผ่าของเราติดเชื้อเป็นคนแรก?!”
เมื่อหยินซื่อคิดได้เช่นนี้ เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาหลายคนก็หน้าซีดในทันที
หากเป็นกรณีดังกล่าว ภูตทั้งหมดของเผ่าไป๋ผีอาจจะถูกขับไล่ออกจากเผ่าเยว่หู
“ท่านหัวหน้า ตอนนี้พวกเราควรทำยังไงกันดี?”
“ภูตที่ติดโรคระบาดจะต้องถูกกำจัดให้เร็วที่สุด”
“แล้วถ้าพวกมันเอาเชื้อมาติดพวกเราด้วยล่ะ ข้ายังไม่อยากตาย!”
เหล่าภูตเผ่าไป๋ผีต่างโวยวายด้วยความตื่นตระหนก
แต่ในขณะนั้นเอง ใบหน้าที่มืดมนของหยินซางก็ดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้จึงเผยรอยยิ้มน่ากลัวออกมา
ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา เขากังวลว่าตนอาจจะไม่มีทางยึดครองเผ่าเยว่หูได้ แต่โรคระบาดที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้เพิ่งมอบโอกาสให้เขาไม่ใช่หรือ?
หึ ๆ… แม้แต่เทพอสูรก็ยังเข้าข้างข้า
หยินซางเยาะเย้ยในใจแล้วพูดเสียงหนักแน่นว่า
“ตอนนี้เรายังกำจัดพวกเขาไม่ได้ ให้พวกเขากักตัวอยู่แต่ในบ้านไปก่อน อย่าปล่อยให้ใครออกไปเพ่นพ่านที่ไหน”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 174
แสดงความคิดเห็น