ภาคโซมายา บทที่ 2 ปีสาจ
อลิเซียพาเอลลานีนไปยังร้านเช่าชุดเจ้าสาว ทั้งคู่เสียเวลาที่นั่นเกือบชั่วโมง ก่อนที่จะหอบเอาทั้งชุดของเจ้าบ่าวและเจ้าสาวขึ้นรถ จากนั้นเธอก็พาน้องสาวแวะไปยังห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อชุดให้เอลลานีนใส่ในวันงาน กว่าทั้งคู่จะเสร็จธุระเวลาก็ล่วงเข้ายามดึกแล้ว
สองพี่น้องจึงตัดสินใจแวะร้านก๋วยเตี๋ยวใกล้บ้านเพื่อจัดการกับมื้อดึก พวกเธอเลือกโต๊ะที่อยู่ห่างจากลูกค้าคนอื่น เพื่อป้องกันการกระทบกระทั่งกัน เอลลานีนเองก็รู้สึกพอใจที่อลิเซียเข้าใจสถานการณ์ของเธอกับคนในละแวกนี้เป็นอย่างดี แน่ล่ะต้นเหตุที่ทำให้พวกเขาเลี่ยงที่จะไม่ค่องแวะกับเธอสองพี่น้องนั้น สาเหตุก็มาจากสามคุณป้ามหาภัยของเธอที่พยายามทำให้ผู้คนเชื่อในเรื่องดวงกาลากินีของหลานสาวตามพวกตน และแน่นอนว่าบรรดาป้าๆ ก็ทำสำเร็จ เอลลานีนจึงกลายเป็นบุคคลอันตรายตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ในเมืองนี้อะไรๆ ก็ดีไปหมด แต่เสียอย่างเดียวคือนิสัยยึดมั่นถือมั่นของคนที่นี่มันสร้างความลำบากให้กับเธอไม่น้อย ลองถ้าพวกเขาได้เชื่อมั่นและศรัทธากับอะไรแล้ว ยากที่พวกเขาจะเปลี่ยนใจหรือยอมรับถึงความคิดที่แตกต่าง ดังนั้นเอลลานีนจึงไม่พยายามอธิบาย ปล่อยให้พวกเขาถูกญาติบังเกิดเกล้าของเธอเป่าหูต่อไป
"อุตส่าห์มาดึกแล้ว ยังมาเจอคนรู้จักจนได้ “ซวยจริงๆ” อลิเซียบ่นอย่างหงุดหงิดพร้อมกับกระแทกตัวนั่งลงอย่างแรง เมื่อเอลลานีนสังเกตเห็นเบลล่าเด็กสาวร่างผอมที่อยู่ข้างกายแอมเบอร์หัวหน้าห้องของเธอและยังเป็นลูกสาวของคนข้างบ้าน ซึ่งกำลังทำหน้าที่เสิร์ฟอาหารอยู่ เธอก็รู้สึกหมดความอยากอาหารทันที
อึดใจเบลล่าก็เดินหน้าบูดตรงมาวางเมนูลงบนโต๊ะของสองพี่น้องอย่างกระแทกกระทั้น แล้วรีบหมุนตัวตั้งท่าจะจากไป แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเสียงแหลมๆ ของอลิเซียดังขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน
"ฉันไม่เอาเมนู เอากระดาษกับปากกามาจดรายการอาหาร" เบลล่าจึงคว้าสมุดและปากกาจากโต๊ะข้างๆ โยนให้ แต่มันกลับเฉียดเข้าที่แก้มของเอลลานีนก่อนจะตกลงบนโต๊ะเสียงดังพอที่จะทำให้คนในร้านเงิยหน้าขึ้นมอง
"นี่..." เบลล่าแสยะยิ้มอย่างสะใจ แต่ก็ต้องสะดุ้งโหยง
'ปัง!' อลิเซียตบโต๊ะอย่างโกรธจัด เธอลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะคว่างสมุด ปากกาและเมนูใส่หน้าเบลล่า ที่มีสีหน้าตื่นตระหนกอย่างจงใจ ในขณะที่เด็กสาวยืนอึ้งอลิเซียก็ตั้งท่าจะคว้าพวงเครื่องปรุงคว่างใส่เด็กสาวอีก แต่เอลลานีนตาไวมือไวจึงรีบคว้าพวงเครื่องปรุงหนีจากมือของพี่สาวได้ทัน
“พี่ไม่ต้องหรอก” เด็กสาวยิ้มเย็นก่อนจะลุกขึ้นยืนประจัญหน้ากับเบลล่า เพื่อนร่วมชั้นเรียนเดียวกันกับเธอ เอลลานีนใช้สายตาที่ผู้ใหญ่ใช้ตำหนิเด็กจ้องอีกฝ่ายนิ่งๆ จากนั้นก็ลากเด็กสาวออกห่างจากโต๊ะที่อลิเซียนั่งอยู่ แล้วกระซิบเสียงเบาพอที่จะได้ยินกันสองคน
"ถ้าเธอไม่อยากให้แม่ของเธอรู้ว่าลูกสาวใช้โรงเรียนเป็นที่พลอดรักละก็ ควรอยู่ให้ห่างฉันไว้ดีกว่านะเบล" เธอมองเอลลานีนอย่างตระหนก แต่ก็ยังกลบเกลื่อน
"กะ...แกอย่ามาพูดพล่อยๆ แม่ฉันไม่เชื่อแกหรอก ไม่มีใครเชื่อคำพูดของเด็กกาลากินี แกก็รู้นี่ อย่ามาเสียเวลาขู่ฉันให้ยากเลย" เบลลาเชิดหน้าตอบ พร้อมกับใช้สายตามองเอลลานีนอย่างเยาะหยัน
"ใช่...ไม่มีใครเชื่อคำพูดของฉัน แต่ถ้าเป็นสิ่งนี้ล่ะ" เอลลานีนหยิบกระดาษโฟโต้ที่มีรูปของเบลล่ากำลังแลกจูบกับเด็กหนุ่มอย่างดูดดื่มออกมาจากกระเป๋ากระโปรง
"ดูสิ ถ้าแอมเบอร์เพื่อนรักของเธอเห็นรูปนี้จะว่ายังไงน้า เพื่อนกับแฟนแอบมากุ๊กกิ๊กกันขนาดนี้ ฉันไม่อยากจะคิดเลย" เด็กสาวยิ้มเหี้ยมก่อนจะเก็บรูปลงกระเป๋ากระโปรง นึกขอบคุณในความโชคดีของตัวเองที่บังเอิญเก็บรูปนี้ได้ในระหว่างทางไปเข้าห้องน้ำช่วงเที่ยงของวันนี้ ไม่คิดว่าจะได้ใช้มันเร็วขนาดนี้
"แกแอบตามฉัน" เบลลาเข่นเขี้ยว
"เปล้า! ฉันไม่ได้ตาม แต่มีคนอื่นกำลังตามเธอจริงๆ แหละ ไม่งั้นฉันจะเก็บรูปนี้ได้ที่หน้าห้องน้ำเหรอ นี่คงจงใจจะให้แอมเบอร์เห็น เธอควรขอบใจฉันถึงจะถูกนะเบล ไม่งั้นเธอคงโดนยายแอมเบอร์เล่นงานไปแล้ว" รอยยิ้มอย่างผู้ชนะทำให้เบลลานึกอยากจะเอาเล็บยาวๆ ตะกุยเจ้าของดวงตาสีนิลที่กำลังมองเธออย่างรู้เท่าทันในยามนี้เสียเหลือเกิน
"กะ...แกมันปีสาจชัดๆ" เบล่าโถมตัวเข้าหาเด็กสาว เป้าหมายคือรูปในกระเป๋ากระโปรง แต่เอลลานีนระวังตัวอยู่ก่อนแล้ว เธอจึงเบี่ยงตัวหลบ ส่งผลให้เบลลาเสียหลักคว้าได้เพียงอากาศก่อนจะเซกระแทกเข้ากับโต๊ะอย่างแรง
"ดวงกาลากินีของฉันเริ่มทำงานแล้ว" เด็กสาวว่าพร้อมกับแสยะยิ้ม เบลลาพยายามทรงตัวอย่างยากเย็น แล้วจึงถอยห่างจากเด็กสาวพลางจ้องอีกฝ่ายอย่างเกลียดชัง
"อีนางปีสาจ" เบลลาสบถ
"หึๆ...พวกเธอก็ไม่ต่างจากฉันเท่าไหร่หรอกน่า" เอลลานีนยิ้มเย็น
"ฉันจะให้แอมเบอร์จัดการแก" เบลล่ายังขู่ หวังว่าจะทำให้เด็กสาวตรงหน้าหวาดกลัว แต่เบลล่าก็รู้ดีว่าตั้งแต่ที่เอลลานีนฟื้นจากการจมน้ำโดยฝีมือของพวกเธอนั้นทุกอย่างก็เปลี่ยนไป จากเด็กสาวขี้โรค อ่อนแอและหวาดกลัว และเป็นเหยื่อให้พวกเธอกลั่นแกล้งกลายเป็นเด็กสาวร้ายกาจ เอลลานีนคนใหม่ตอบโต้ทุกการกระทำของพวกเธอ จนกลายเป็นพวกเธอเสียเองที่หวาดระแวงคนตรงหน้าแทน
"เธอลืมแล้วเหรอ ตอนเย็นหลังเลิกเรียนใครกันที่จัดการกับเพื่อนรักของเธอ ป่านนี้ยายนั่นคงนอนที่โรงพยาบาลอยู่ ไม่แน่ว่าตอนนี้คงกำลังเก่าร่างกายอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ก็ได้ เธออยากจะลองโดนด้วยไหม ฉันยังเหลืออีกหน่อย พอให้เธอสนุกสนานไปได้หลายวันอยู่นะ อ้อ!...ของเล่นใหม่ๆ ฉันยังเหลืออีกเพียบ กำลังหาคนมาทดลองอยู่พอดีเลย เธอจะอาสาทดลองให้ฉันก่อนไหมล่ะ" ไม่พูดเปล่าแต่เอลลานีนปลดกระเป๋านักเรียนตั้งท่าจะสอดมือเข้าไปหยิบอะไรบางอย่างออกมา เอลลานีนอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อเห็นแววตระหนกจากเจ้าของดวงตา ในกระเป๋านักเรียนของเธอมีอะไรที่ไหนกัน เด็กพวกนี้ไหนจะสู้ความเจ้าเล่ห์ของป้าวัยสี่สิบอย่างเธอได้เล่า อีกอย่างการสาดผงหมามุ่ยที่เธอทำเองใส่ยายหัวหน้าห้องจอมร้ายกาจนั้นก็แค่กำหราบไม่ให้ยายเด็กนั่นรังแกคนอื่นได้ตามอำเภอใจ และเป็นการประกาศศักดาว่า
‘พวกเธออย่ามายุ่งกับฉันนะยะ’
"ฝากไว้ก่อนเถอะ" พูดจบเบลล่าก็ตั้งท่าจะเดินไปหลังร้าน อารามรีบร้อนทำให้เด็กสาวสะดุดเท้าตัวเองจนเสียหลักร่างเซไปกระแทกกับโต๊ะล้มคว่ำระเนระนาด
"แกมันเป็นปีสาจ" เบลล่ากรีดร้อง เครื่องปรุงหกรดเด็กสาวทั้งตัว สภาพของเธอในยามนี้ช่างอเนจอนาถเหลือเกิน
"อุตาย! อย่ากล่าวหาลอยๆ ไม่งั้นท่านผู้วิเศษจะลงโทษเอาได้นะ" เอลลานีนพูดทิ้งท้ายก่อนจะลากพี่สาวที่ยืนอ้าปากตาค้างให้ออกจากร้านอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความตื่นตระหนกของลูกค้าและเด็กสาวผู้โชคร้าย
เอลลานีนแอบขอโทษท่านผู้วิเศษในใจที่ยกท่านขึ้นมาข่มขู่ เธอรู้ว่าสิ่งที่เกิดกับเบลล่ามันเป็นอุบัติเหตุ แต่ใครสนกันเล่า เมื่อคนที่นี่ดันเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ ดังนั้นความอับโชคของเบลล่าในครั้งนี้ เอลลานีนจึงยกให้เป็นการลงโทษของท่านผู้วิเศษไปเสียเลย อีกอย่างเมืองลูน่าซึ่งเป็นเมืองของมนุษย์ไม่อนุญาตให้ผู้มีพลังวิเศษใช้พลังหรือเวทมนต์ใดๆ ต่อให้อยากจะใช้ก็ไม่สามารถทำได้ ดังนั้นเมื่ออุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับยายเบลล่าเอลลานีนจึงอ้างว่าเป็นการลงโทษจากผู้วิเศษ เพราะชาวเมืองต่างก็ยำเกรงและให้ความเคารพผู้วิเศษที่มาคุ้มครองเมืองแห่งนี้อยู่ ฐานะของผู้วิเศษเทียบเท่ากับเทพเจ้าในโลกเก่าที่เธอจากมา และผู้วิเศษเป็นกลุ่มคนที่สามารถใช้พลังในเมืองนี้อย่างไม่ถูกจำกัด
สุดท้ายทั้งคู่ก็ต้องมาฝากท้องยังร้านค้าที่เหมือนกับร้านสะดวกซื้อในโลกก่อนของเอลลานีน ซึ่งจะขายตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบโน่นเลย เป็นอลิเซียรับอาสาลงไปซื้อของ เพื่อตัดปัญหาเผื่อเจอคนใกล้บ้านอีกจะได้ไม่กระทบกระทั่งกัน
พอได้อยู่ตามลำพังเอลลานีนก็หวลนึกถึงเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดกับเธอเมื่อช่วงเย็นขึ้นมา ไม่ใช่ว่าเธอไม่เชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติ เพราะการที่ตัวเธอตายแล้ววิญญาณมาโผล่ในร่างนี้นั้นก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจอธิบายให้ใครต่อใครฟังได้ และยิ่งโลกที่เต็มไปด้วยพลังวิเศษอย่างดินแดนนี้ด้วยแล้วสิ่งที่เธอไม่เคยพบเคยเห็นนั้นเกิดขึ้นได้จริง และก็เป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่พบเห็นได้ทั่วไป แต่เธอไม่เข้าใจว่าเด็กสาวที่มีภูมิหลังธรรมดาไม่ซับซ้อน ร่างกายอ่อนแอขี้โรคอย่างเอลลานีน จะมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มมนุษย์ที่ครอบครองพลังวิเศษเหล่านั้นได้ยังไง ไม่ใช่ว่าเธอจะเดาไม่ออกว่าตัวเองกำลังเผชิญกับสิ่งใด ก็ได้แต่หวังว่าเหตุการณ์เมื่อตอนเย็นที่พบกับชายลึกลับนัยต์ตาสีน้ำทะเลมันจะเป็นเพียงความบังเอิญก็เท่านั้น
จู่ๆ ความรู้สึกหวาดวิตกก็เข้าจู่โจมจิตใจ เอลลานีนหันไปมองทางเข้าออกของร้านสะดวกซื้ออย่างกังวล ไม่นานอลิเซียก็เดินออกมาจากร้านในมือมีถุงบรรจุอาหารสองสามใบ หญิงสาวเดินเร็วๆ ตรงมายังรถที่จอดรออยู่ แต่ระยะห่างระหว่างรถและร้านสะดวกซื้ออยู่ห่างกันพอสมควรจึงต้องใช้เวลาเดินสักหน่อย
เอลลานีนสังเกตเห็นกลุ่มหมอกหนาที่โรยตัวอยู่ข้างหลังอลิเซีย มันรวมตัวก่อเกิดรูปร่างกลายเป็นตัวประหลาดที่เธอไม่เคยเห็นขึ้นอย่างรวดเร็ว ปีสาจหมอกรูปร่างสูงใหญ่ มีเขายาว เขี้ยวโง้งปรากฏให้เห็นเป็นเงารางๆ ยืนค้ำเหนือร่างของอลิเซียอย่างมาดร้าย
หัวใจแทบจะกระดอนออกจากอกเมื่อเอลลานีนสังเกตเห็นอาวุธที่อยู่ในมือของมัน คมเคียวขาววาววับกระทบกับแสงไฟยามมือใหญ่ยกขึ้นเล็งยังเป้าหมายที่ไม่มีทีท่าจะรู้ตัวเลยสักนิด ดวงตาปูดโปนจ้องตรงไปยังลำคอระหงของอลิเซีย แล้วก็ตวัดเคียวหมายจะเกี่ยวลำคอให้ขาดออกจากกันในครั้งเดียว
"กรี๊ด!" เอลลานีนกรีดร้องสุดเสียง แต่กลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาให้ได้ยินเลย เด็กสาวใช้แรงทั้งหมดที่มีกระชากประตูรถเปิดออกแล้ววิ่งเข้าหาอลิเซียทันที เธอรู้ว่าจากตรงนี้คงไปไม่ทันเป็นแน่ ยิงเห็นคมเคียวขาวใกล้จะประชิดลำคอของอลิเซียหัวใจก็บีบรัดอย่างตระหนก
"อลิซ!" เธอตะเบงเรียกชื่อพี่สาวสุดเสียงหวังเพียงว่าจะสามารถช่วยได้ทันการณ์ แต่กลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาจากปากของเด็กสาวเลย
ขณะที่เอลลานีนวิ่งเข้าหาอลิเซียอย่างสิ้นหวังลูกไฟสีส้มที่ไม่รู้ที่มาก็ปะทะเข้ากับอาวุธทำให้พลาดเป้าอย่างหวาดเสียว จากนั้นลูกไฟไร้ที่มาอีกหลายลูกก็ลอยเข้าจู่โจมร่างใหญ่ยักษ์ของปีสาจหมอก
มันพยายามที่จะหนี แต่ก็ถูกลูกไฟโอบประชิดตัวปิดทางรอดจนหมดสิ้น สุดท้ายร่างใหญ่โตของปีสาจก็ทนพลังทำลายล้างของลูกไฟไม่ไหว ไม่นานร่างของมันก็สูญสลายไปไม่เหลือซาก
"เกิดอะไรขึ้นเอลล่า" มือเย็นๆ เขย่าร่างที่ยืนตลึงของเอลลานีนอย่างร้อนรน เด็กสาวกระพริบตา สะบัดศีรษะเพื่อเรียกสติที่กระเจิดกระเจิงให้กลับเข้าที่
"พะ...พี่อลิซ...พี่ไม่เป็นไรใช่ไหม" กวาดตามองหาตัวประหลาดที่จะคร่าชีวิตอลิเซียเมื่อครู่อย่างหวาดหวั่น พอเห็นเพียงความว่างเปล่าก็พลูลมอย่างโล่งใจ พึ่งรู้ว่าตลอดเหตุการณ์ระทึกขวัญนั้นเด็กสาวกลั้นหายใจอยู่
"เปล่านี่...พี่จะเป็นอะไรได้ ว่าแต่เราน่ะเป็นอะไร จู่ๆ ก็กระโจนออกมาจากรถ ในรถมีสัตว์ประหลาดหรือไงฮะ" อลิเซียมองน้องสาวอย่างขบขัน โดยไม่ได้สังเกตอาการผิดปกติของเธอ
"ว่าแต่เมื่อครู่พี่ไม่รู้สึกอะไรใช่ไหม" เธอถามเพราะอลิเซียไม่แสดงอาการหวาดวิตกออกมาให้เห็นแม้แต่นิด
"รู้สึกอะไร ไม่มีนะ ก็ปกติดีนี่" อลิเซียส่ายหน้าปฏิเสธ พลางมองน้องสาวอย่างแปลกใจ แต่เมื่อเด็กสาวมองเลยไปยังด้านหลังของตนด้วยสีหน้าแปลกใจอลิเซียก็อดที่จะหันกลับไปมองตามสายตาของน้องสาวไม่ได้
"มีอะไรเหรอ" อลิเซียถามเอลลานีนด้วยเสียงกระซิบ
เพราะสายตาที่น้องสาวกำลังจับจ้องอยู่นั้นคือบุรุษร่างสูงที่ยืนเยื้องอยู่ไม่ไกลจากพวกเธอมากนัก แต่สิ่งที่อลิเซียมองไม่เห็นอย่างเด็กสาวนั้นคือลูกไฟสีส้มที่อยู่ในมือของเขาที่ค่อยๆ กลืนหายไปในฝ่ามือนั่นต่างหาก และเมื่อเขาตั้งท่าจะผละจากไป อลิเซียก็ต้องอุทานอย่างตกใจเมื่อเอลลานีนผละจากเธอวิ่งไปคว้าแขนชายหนุ่มด้วยอาการร้อนรน
"เดี๋ยวก่อนค่ะ คุณเห็นตัวประหลาด เอ่อ...ปีสาจนั่น และก็ช่วยพี่สาวฉันไว้ใช่ไหม" เธอถามละล้ำละลัก อยากให้เขาช่วยยืนยันว่าสิ่งที่เธอเห็นเมื่อครู่นั้นไม่ใช่ภาพลวงตา และอีกอย่างเธอก็จำเขาได้ ชายที่เธอกำลังยึดต้นแขนไว้มั่นอยู่ตอนนี้คือชายคนเดียวกันที่ช่วยพยุงเธอลุกขึ้นที่โรงเรียนเมื่อตอนเย็นนั่นเอง เอลลานีนไม่ได้รับคำตอบจากเขา แต่แววตาดุดันของเขาที่ปรายมองมือของเธอบนต้นแขนนั้นทำให้เอลลานีนจำใจปล่อยออกอย่างช้าๆ
"ขอโทษที่น้องสาวของฉันเสียมารยาทด้วยนะคะ" อลิเซียรีบเข้ามาไกล่เกลี่ยเมื่อรู้สึกถึงความไม่พอใจจากชายตรงหน้า
"ไม่เป็นไร" น้ำเสียงนุ่มอย่างนี้ กลิ่นไออันตรายที่แผ่ออกมาจากเรือนร่างอย่างไม่ตั้งใจ ทั้งยังท่วงท่าสง่างามยามเยื้องกรายคนอย่างเอลลานีนไม่มีวันลืมแน่นอน แต่ในเมื่อเขาไม่อยากรู้จักเธอก็ไม่ดึงดัน
"ขอโทษค่ะ ฉันคงจำคนผิด" เด็กสาวยอมขอโทษเขาในที่สุดเมื่ออลิเซียถลึงตาใส่
"ถ้าอย่างนั้นขอตัวก่อนนะคะ...ไปเอลล่า" ประโยคหลังอลิเซียดึงแขนเด็กสาวให้เดินตาม
จังหวะที่เดินเฉียดกับบุรุษลึกลับข้อมือของเธอก็สัมผัสกับวัตถุเย็นๆ พอยกขึ้นดูก็เห็นว่ามีกำไลหยกคล้องบนข้อมือเสียแล้ว เอลลานีนหันกลับไปมองก็พบว่าเขากำลังมองเธออยู่ก่อน จึงสบประสานเข้ากับดวงตาสีน้ำทะเลที่มีแววประหลาดอย่างไม่ตั้งใจ มุมปากของเขาขยับเป็นคำพูดที่อ่านได้ว่า
"เก็บไว้ให้ดี" ก่อนที่เขาจะหมุนตัวหันหลังปิดกั้นเสียงทักท้วงที่กำลังจะลอดออกจากปากของเธอ ทำให้เห็นเพียงสายหนังที่ออกแบบมาอย่างปราณีตรวบกับผมสีรัตติกาลขยับไหวยามเจ้าของร่างเคลื่อนกายห่างออกไป
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 24965
แสดงความคิดเห็น