บทที่ 183: มันไม่มืดอีกต่อไป
“...” ตอนนี้หลงโม่นิ่งเงียบไม่พูดอะไรพลางคิดในใจว่า
เจ้ามังกรน้อยปีกกล้าขาแข็งแล้วสินะ
ทางด้านหลงจงแอบยกนิ้วให้กับหลงเหยาด้วยความเหลือเชื่อ
เจ้าเด็กนี่ยังคงยอดเยี่ยมเช่นเคย!
ครู่ต่อมา พ่อมังกรชำเลืองมองพวกหลงอวี้ที่ขณะนี้เด็กทุกคนยืนอยู่ข้างหลังแม่จิ้งจอกเงียบ ๆ แต่สีหน้าท่าทางของพวกเขาบ่งบอกชัดเจนมากว่ากำลังรู้สึกเช่นไร
นี่คือการประท้วงเงียบ…
ไม่นานหูเจียวเจียวก็ขมวดคิ้วมองหลงโม่และพูดตำหนิเขา “ทำไมเจ้าถึงโหดร้ายกับลูก ๆ แบบนี้ เจ้าจะทำยังไงถ้าเหยาเอ๋อหวาดกลัว”
ในครอบครัวของเธอ หลงเหยาเป็นโรคขาดสารอาหารอยู่แล้ว จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาหวาดกลัวจนส่งผลต่อการเจริญเติบโตของเขา
ถัดมา ผู้เป็นแม่ก้มลงสัมผัสศีรษะของลูกชายคนเล็ก ทำให้หัวใจของฝ่ายที่ถูกปลอบประโลมสงบลง
ส่วนหลงโม่ที่โดนต่อว่ารู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย “ข้าไม่ได้ทำร้ายเขา ข้าแค่มองเขาเฉย ๆ”
จิ้งจอกสาวก้มหน้ามองหลงเหยาที่กำลังสั่นเทาเหมือนกระต่ายตัวน้อยที่กำลังตื่นตระหนก ก่อนจะหันไปมองมังกรหนุ่ม “จะให้ข้าเชื่อเจ้าได้ยังไง?”
คำพูดของหญิงสาวเปรียบดั่งฟ้าผ่าลงกลางใจของชายหนุ่มเลยก็ว่าได้
จากนั้นหูเจียวเจียวก็สำรวจร่างกายลูกทั้ง 5 คน พลางไถ่ถามอาการของพวกเขา และสรุปได้ว่าทุกคนมีอาการอาหารเป็นพิษแต่ไม่ได้รุนแรงมากนัก
โชคดีที่เจ้าตัวเล็กแค่ท้องเสีย ซึ่งไม่มีอาการอาเจียนหรือท้องร่วง
เธอนึกไม่ออกว่าหลงโม่สามารถทำให้เด็กพวกนี้มีสภาพเป็นแบบที่เห็นได้อย่างไรด้วยการทำอาหารเช้าให้พวกเขากิน
ต่อมา จิ้งจอกสาวหยิบยาแก้ท้องเสียจากมิติมาป้อนให้กับลูกน้อยเพื่อหลีกเลี่ยงอาการป่วยเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร ตอนนี้เด็กทุกคนไม่สามารถกินอะไรได้อีก เธอจึงให้แต่ละคนกลับไปที่ห้องเพื่อพักผ่อนก่อน
หลังจากที่เด็กตระกูลหลงแยกย้ายกันไปแล้ว หูเจียวเจียวก็หันมาพูดคุยกับหลงโม่อย่างจริงจัง
“ต่อไปเจ้าอย่าเข้าครัวดีกว่า” เธอพูดออกไปก็เพื่อให้ลูก ๆ ได้เติบโตแข็งแรงสมวัย
ดูเหมือนว่าเธอไม่สามารถปล่อยให้พ่อมังกรทำร้ายเจ้าเด็กน้อยตัวอ้วนพีที่เธอคอยเฝ้าฟูมฟักได้อีก
“อืม” ชายหนุ่มตอบรับอย่างตรงไปตรงมา แต่เขาไม่เคยล้มเลิกความตั้งใจที่จะฝึกฝนการทำอาหาร
ตรงกันข้าม เขากลับมีความมุ่งมั่นมากขึ้น
ในอนาคตเขาแอบวางแผนที่จะไปฝึกที่อื่นอย่างลับ ๆ
เมื่อหูเจียวเจียวมองไปที่ใบหน้าเศร้าหมองของหลงโม่ เธอก็คิดว่าตนเองพูดแรงเกินไป และเสียงของเธอก็เบาลง “ข้าจะทำอาหารเบา ๆ ให้ลูก เจ้าอยากกินด้วยไหม?”
หลงโม่ส่ายหัวปฏิเสธ “ข้าไม่กินแล้ว เมื่อคืนข้าอิ่มแล้ว ข้าจะออกไปล่าสัตว์”
จิ้งจอกสาวอึ้งไปชั่วขณะ เธอรู้สึกว่าคำพูดของเขาแปลกมาก!
ก่อนที่มังกรหนุ่มจะออกไปจากบ้าน เขาถามเธอว่ามีเหยื่ออะไรที่เธออยากกินหรือไม่ ซึ่งหูเจียวเจียวนิ่งคิดสักพักและบอกให้เขานำวัวกลับมา
เนื่องจากเนื้อสับคั่วพริกที่เธอทำครั้งที่แล้วเผ็ดมาก ลูก ๆ จึงกินไม่ได้ และหลงโม่เองก็ไม่ชอบอาหารรสเผ็ด ครั้งนี้เธอเลยคิดไว้ว่าจะทำเนื้อสับคั่วพริกแบบไม่เผ็ดตุนเอาไว้ โดยแบ่งบางส่วนส่งไปให้พ่อแม่จิ้งจอก
นอกจากอุบัติเหตุเมื่อคืนแล้ว ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม มีเพียงความรู้สึกของทั้ง 2 ฝ่ายที่เปลี่ยนไป
หลังจากหูเจียวเจียวกินผลไม้ที่หลงโม่นำมาให้ไม่กี่คำ เธอก็ไปที่ครัวเพื่อทำอาหารอ่อน ๆ ให้ลูก
ผู้ป่วยท้องเสียกินได้แต่อาหารรสจืดและย่อยง่าย อีกทั้งเด็กตระกูลหลงชอบกินเนื้อ เธอจึงปรุงโจ๊กใส่ไข่ผสมเนื้อไม่ติดมัน 1 หม้อ
เมื่อลูกทั้ง 5 คนกินโจ๊กเสร็จเรียบร้อยก็หมดเรี่ยวแรงจนไม่มีอารมณ์ออกไปเล่นข้างนอกแล้ว แม่จิ้งจอกจึงเอาม้านั่งเล็ก ๆ 5 ตัวมาให้พวกเขานอนอาบแดดในสวน ขณะที่เธอหยิบหนังสัตว์จากโกดังที่เจ้ามังกรดำล่ามาใช้ทำเสื้อผ้าหนังสัตว์
อีกประมาณ 1 เดือนก็จะถึงหน้าหนาวแล้ว นอกจากตัดเย็บเสื้อผ้าชุดใหม่ เธอต้องทำเสื้อผ้าหนา ๆ ไว้ใส่ในฤดูหนาวด้วย
เสื้อผ้าของหลงโม่ทำได้ไม่ยุ่งยาก ตราบใดที่พวกมันถูกตัดเย็บตามขนาดรูปร่าง อีกทั้งภูตก็ไม่มีข้อกำหนดใด ๆ สำหรับการตัดเย็บ ขอแค่ชุดหนังสัตว์พวกนั้นสามารถสวมใส่ได้สบายและไม่ฉีกขาดง่ายก็เพียงพอแล้ว
ถึงแม้จะบอกว่าไม่ยุ่งยาก แต่จิ้งจอกสาวต้องใช้เวลานานมากกว่าจะทำเสื้อผ้าขึ้นมาได้ 3 ชุด
ถัดมาเป็นเสื้อผ้าหนาสำหรับสวมใส่ยามฤดูหนาว
หูเจียวเจียวเลือกหนังหมีกับหนังแกะที่หนากว่าหนังชนิดอื่น รวมถึงหนังของสัตว์ประเภทนี้สามารถกันลมได้ด้วย การนำพวกมันมาสวมใส่ท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บจะสามารถช่วยต้านทานลมหนาวจัดเอาไว้ได้เกือบทั้งหมด ซึ่งตอนนี้ในโกดังเก็บของของเธอเต็มไปด้วยหนังของสัตว์ทั้ง 2 ชนิด เห็นได้ชัดว่าหลงโม่เตรียมหนังสัตว์พวกนี้ไว้สำหรับฤดูหนาวโดยเฉพาะ
จากนั้นหญิงสาวใช้สายวัดเพื่อวัดตัวของเด็กทุกคนพร้อมจดบันทึกเอาไว้ ก่อนจะเริ่มทำเสื้อผ้าให้ลูก ๆ เป็นอย่างแรก
จนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 2 เดือนแล้วที่เธอทะลุมิติเข้ามาในโลกภูต เจ้าตัวเล็กทั้งหลายเติบโตแข็งแรงขึ้นจากแต่ก่อนที่มีรูปร่างผอมแห้งติดกระดูก
แน่นอนว่ายกเว้นหลงเหยาที่เติบโตออกไปด้านข้าง…
มันทำให้หูเจียวเจียวกังวลเล็กน้อยว่าเขาจะโตไปเป็นชายร่างเล็กจ้ำม่ำเสียมากกว่า
แต่เธอก็ยังมีเวลาอีก 1 เดือนก่อนฤดูหนาวจะมาถึง และเมื่อลูกเติบโตอีกครั้ง เธอตัดสินใจว่าจะทำเสื้อผ้าให้ใหญ่กว่าตัวพวกเขาเล็กน้อย แต่จะไม่ให้มันใหญ่เทอะทะเกินไปที่จะสวมใส่ในหน้าหนาว
เสื้อผ้าฤดูหนาวมีรูปแบบที่เรียบง่าย เธอทำเป็นกางเกงและเสื้อคลุมตัวหนา แต่ฝีเข็มจะหนาแน่นกว่าเดิม ไม่เช่นนั้นอากาศจะแทรกซึมเข้ามาตามรอยตะเข็บ อีกทั้งเข็มธรรมดาไม่สามารถแทงเข้าไปในผิวหนังสัตว์หนา ๆ ได้ ดังนั้นเข็มกระดูกที่หูชิงหยวนผู้เป็นพี่สี่ทำมาให้จึงมีประโยชน์มากในเวลานี้
เมื่อจิ้งจอกสาวพิจารณาถึงการกักเก็บความอบอุ่น เธอเลยเพิ่มผ้าฝ้ายเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง
แล้วในระยะเวลาช่วงบ่ายของวัน เธอสามารถตัดเย็บเสื้อผ้าได้เพียง 2 ตัว
สิ่งที่หญิงสาวทำในวันนี้คือชุดของหลงเหยา ซึ่งเธอแทบรอไม่ไหวแล้วจึงขอให้คนตัวเล็กมาลองสวมใส่มันดู
“ท่านแม่ นี่เป็นเสื้อผ้าใหม่ของข้าหรือ?” เจ้าของดวงตาสีทับทิมเป็นประกาย มันเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับสิ่งใหม่ ๆ
หลังจากที่เขาพักผ่อนมาทั้งวัน เขาก็ได้พลังเอ่อล้นกลับคืนมาเช่นกัน
“แน่นอน” แม่จิ้งจอกยิ้มพลางพยักหน้า
ปัจจุบันเด็กหนุ่มยังคงสวมผ้ากันเปื้อนขนาดเล็ก และหูเจียวเจียวก็สวมเสื้อกันหนาวไว้ข้างนอกให้เขา
คนตัวเล็กให้ความร่วมมือดีมาก เมื่อเขาหันไปใส่เสื้อเสร็จ แต่พอจะสวมกางเกง ขาของเจ้าตัวเล็กนั้นสั้นเกินไป แค่เขายกเท้าข้างเดียวก็ยืนไม่มั่นคงแล้ว เขาจึงได้แต่นั่งลงใส่กางเกงแทน
2 แม่ลูกต้องใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะสวมชุดสำหรับหน้าหนาวจนเสร็จ
ในเวลาเดียวกัน เด็กอีก 3 คนก็เฝ้าดูเพื่อส่งกำลังใจให้ทั้งคู่ ขณะที่หลงเซียวเงี่ยหูฟังพร้อมกับรู้สึกอิจฉาน้องชายคนเล็กที่ได้สวมชุดกันหนาวเป็นคนแรก
“ท่านแม่ เสื้อผ้าใหม่มันหนักมาก”
หลงเหยายกแขนขึ้นด้วยความยากลำบาก และทันทีที่เขาพูดจบ พี่ ๆ ทั้ง 4 คนก็หัวเราะออกมา
เมื่อแม่จิ้งจอกได้เห็นภาพของลูกชายก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเช่นกัน
เนื่องจากหลงเหยาตัวกลมขึ้นในยามที่สวมเสื้อกันหนาวขนาดใหญ่กว่าตัวเอง 1 ขนาด รูปร่างของเขาจึงดูเหมือนลูกหมีตัวอ้วนอุ้ยอ้าย แถมเวลาเดินเขาก็เหมือนกับนกเพนกวินโยกเยกไปมาที่สามารถขยับตัวได้ทีละนิด
หูเจียวเจียวอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก ดูเหมือนว่าในอนาคตเธอต้องควบคุมอาหารของเจ้าตัวเล็กเสียแล้ว หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป รูปร่างของเขาจะต้องน่าเป็นห่วงจริง ๆ
ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มจะอ้วนขึ้นก็ไม่เป็นไร ทว่ามันคงไม่ดีสำหรับเขาหากเอาแต่สะสมไขมันไว้แต่ไม่สูงขึ้น
ขณะนั้นหลงเซียวพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า “เสี่ยวเหยา เจ้าอ้วนเกินไปแล้ว ต่อจากนี้ไปเจ้าควรจะกินให้น้อยลง”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมาจากปากของเขา เด็กคนอื่นรวมถึงหูเจียวเจียวก็ตกตะลึง พวกเขาทั้งหมดหันหน้ามามองคนพูดด้วยความประหลาดใจ
“พี่รอง ท่านเห็นเสี่ยวเหยาด้วยหรือ?” หลงหลิงเอ๋อยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง แล้วเสียงที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังประหลาดใจก็เล็ดรอดออกมาจากระหว่างนิ้ว
“เซียวเซียว ตาของเจ้าหายดีแล้วหรือ?” แม่จิ้งจอกถามด้วยความเหลือเชื่อ
ช่วงนี้เธอยืนกรานว่าจะให้ยากับหลงเซียวและหลงจงทุกวัน แต่ลูกทั้ง 2 ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลย แต่ถึงกระนั้นเธอก็ไม่ยอมแพ้ หญิงสาววางแผนที่จะยื้อต่อไปอีก 2-3 เดือนโดยหวังว่ามันจะเห็นผลบ้าง ซึ่งเธอเองก็ไม่อยากรบเร้าถามพวกเขาให้รำคาญใจทุกวัน
หูเจียวเจียวกลัวว่าหากไปกดดันเด็ก ๆ มากเกินไป ทั้งคู่จะอ่อนไหวกับการที่ตนไม่เหมือนเด็กคนอื่น เรื่องนี้เธอกังวลยิ่งกว่าการที่พวกเขาจะไม่สามารถฟื้นตัวได้เสียอีก
ยามนี้หลงอวี้กับหลงจงหันหน้าไปมองหลงเซียว ขณะที่ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
ทางด้านเด็กหนุ่มตาบอดรีบหลับตาลง เขากลัวว่ามันจะยังมืดอยู่หากเขาลืมตาอีกครั้ง ไม่กี่อึดใจต่อมา เขารวบรวมความกล้าเปิดตาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ในตอนนี้เขาได้ยินเสียงทุกคนหัวเราะอย่างมีความสุข และเห็นหมอกหนาอยู่ข้างหน้า แม้ว่าเขาจะมองเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก แต่มันก็ไม่ได้เป็นสีดำสนิทอย่างที่เคยเป็นมาตลอด
ทิวทัศน์ปัจจุบันมันคล้ายกับว่าเขาถูกผ้าสีเทาหนา ๆ คลุมหัวเอาไว้ ทำให้เขายังสามารถมองเห็นภาพที่อยู่ด้านนอกเป็นเงาเลือนราง
และรูปร่างของหลงเหยานั้นอ้วนท้วนกว่าคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด
ถึงกระนั้น หลงเซียวก็ตกใจเกินกว่าจะเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง
“พี่รอง ท่านมองเห็นแล้วใช่ไหม?” หลงเหยาเบิกตากว้างด้วยความดีใจ เขาพยายามที่จะวิ่งไปหาพี่ชายด้วยขาป้อมสั้น แต่เขากลับสะดุดล้มลงตรงหน้าพี่คนรองในตอนที่เขาอยู่ห่างจากอีกฝ่ายเพียง 2 ก้าว
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: เซียวเซียวเริ่มมองเห็นบ้างแล้วใช่ไหม ตื่นเต้น ๆ แสดงว่ายาในมิติได้ผลจริง
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 220
แสดงความคิดเห็น