บทที่ 11...3/3
“หัวใจของคุณอยู่ข้างขวานี่นา” ธามิณีเม้มปากทำหน้าไม่ถูกเพราะเธอไม่รู้ แถมยังทำอะไรกับร่างกายของเขาไปตั้งหลายอย่าง
ศนิยิ้มรับก่อนจะยอมปล่อยข้อมือของธามิณี แล้วกอดเอวบางเอาไว้แทน เมื่อครู่เธอทั้งกดหน้าอกเขา ล่วงเกินริมฝีปากของเขา ช่างเป็นมนุษย์ผู้หญิงที่ทำตามใจตัวเอง หากเป็นมนุษย์อื่นทำเช่นนี้คงถูกเขาฟาดด้วยพลังไปแล้ว
“ขอโทษค่ะ ธามไม่รู้จริงๆ เลย...เลยคิดว่าคุณจะตาย”
สีหน้าตอนธามิณีพูดคำว่าตายเธอคงเจ็บปวดมาก ตอนนี้นอกจากเพื่อนสนิทสองคน ทนายที่เป็นเพื่อนกับมาสุและเขา ธามิณีก็ไม่มีใครในชีวิตอีกแล้ว
“ฉันยังไม่ดับขันธ์...หมายถึงตายน่ะ ฉันยังไม่ตายเร็วๆ นี้หรอก ฉะนั้นต่อให้เลือดแทบหมดกาย ฉันก็ไม่มีทางตาย”
“ถ้างั้นก็ดีสิคะ” ธามิณีฟังแล้วก็ยิ้มกว้างอย่างโล่งอก แล้วขยับลงนอนข้างๆ ศนิที่ปล่อยเอวของเธอแล้ว
ศนิขยับตัวนอนตะแคงพลางเท้าแขนใช้มือรองใบหน้าตัวเองเพื่อที่จะมองใบหน้าที่กำลังยิ้มของธามิณี ทำไมการตื่นมาในเช้าวันนี้ช่างสดใสเหมือนรอยยิ้มของเธอผู้นี้ที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีดำตัวยาวของเขา เธอนอนบนที่นอนของเขา ครอบครองผลึกกาลอีกครึ่งของเขา แต่เธอไม่ใช่ของเขา
“การที่ไม่มีวันตายมันดียังไง”
ธามิณีหันมากำลังจะตอบ แต่กลับต้องรีบหันไป ศนิเท้าแขนนอนมองเธอแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ความใกล้เกินไปทำให้หัวใจเต้นแรง แต่การไม่ตอบคงกลายเป็นพิรุธยิ่งกว่า
“อย่างน้อยธามก็ไม่ต้องเห็นคุณตาย ไม่ว่ายังไงธามคงตายก่อนคุณอยู่ดี มันคงดีกว่าธามต้องเห็นคนที่อยากให้มีความสุขต้องมาตายไปก่อน”
ศนิรับฟังไม่อยากจะเอ่ยถาม ไม่คิดบ้างหรือว่าเขาเองก็ไม่ได้ชาชินที่จะเห็นใครต่อใครตายไปก่อน แต่จะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อคนตายไปแล้วย่อมไม่ต้องมารับผิดชอบความรู้สึกของคนที่ยังมีชีวิตต่อ หญิงสาวผงกหัวขึ้นไม่ทันได้มองเลยไปโขกหน้าผากของศนิเข้าเต็มรัก
“โอ้ย!”
ศนิไม่ได้รู้สึกเจ็บเท่าไหร่ แต่ธามิณีน่าจะเจ็บแน่ๆ เพราะหญิงสาวคลำหน้าผากตัวเองป้อยๆ เขายื่นมือไปจะสัมผัสหน้าผากมน แต่กลับถูกธามิณีจ้องแล้วปัดมือของเขาออก ความรู้สึกไม่ชอบใจของการถูกมองข้ามกระมังทำให้ศนิขยับแขนคล่อมร่างบางไว้ ใบหน้าของเขาเลื่อนลงมาใกล้ ดวงตาของธามิณีเบิกกว้างด้วยความตกใจไม่คิดว่าเพียงทำแค่นั้นไปจะทำให้ศนิโกรธ
“คือ...”
เรียวปากบางถูกครอบครองอย่างหมดจดด้วยเรียวปากหนา แต่เพียงเสี้ยววินาทีศนิก็เลื่อนริมฝีปากห่างออกมานิดเดียวเท่านั้น จมูกของเขาเคลียอยู่ที่แก้มของธามิณี เธอมองเขา มือทั้งสองข้างยันอกหนาไว้ หัวใจของเธอเต้นแรงจนเขารู้สึกได้
“คุณ...”
เรียวปากของศนิแนบประทับเรียวปากที่เผยอค้างของธามิณีอีกครั้งแล้วขยับออก หญิงสาวเม้มปากพลางมองว่าเขาทำแบบนี้ทำไม ความโกรธของเขาต้องระบายด้วยการจูบอย่างนั้นเหรอ
“ธาม...”
ธามิณีเม้มริมฝีปากเมื่อเรียวปากของศนิเข้ามาแนบ แต่คราวนี้เขากลับจูบเม้มเบาๆ ไล้วนที่เรียวปากบนและล่างของเธอ หญิงสาวหลับตาเพราะความรู้สึกแบบนี้มันเหมือนจูบอย่างที่เคยอ่านในนิยาย เธอกลั้นใจจนกระทั่งเผลอถอนใจ ทำให้ริมฝีปากของเธอเปิดออก ริมฝีปากอุ่นของเขาเลื่อนมาจูบมุมปากข้างหนึ่งก่อนจะย้ายไปอีกข้าง ปลายจมูกของเขาไล้จมูกของเธอไปพร้อมกัน ก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะเลื่อนออกมา หญิงสาวกลืนลมหายใจเมื่อรู้สึกว่าอากาศน้อยเกินไปแล้ว
“หายกัน เธอจูบฉัน 3 ครั้ง ฉันจูบเธอ 3 ครั้ง เราจะได้ไม่ต้องติดค้างกันในเรื่องนี้อีก”
แม้จุดเริ่มจะมาจากความไม่พอใจ แต่พอได้ทำเรื่องที่ทำให้ ‘หายกัน’ คงมีแค่เขาที่พอใจระคนหวานละมุนอยู่ในอก
ธามิณีผลักอกของศนิเต็มแรงแล้วนั่งมองเขาที่นอนมองเธอ แถมยังเอาแขนรองศีรษะ สีหน้าดูสบายใจเหลือเกิน แน่ล่ะสิ เขาได้แกล้งเธอแล้ว เทพกึ่งมนุษย์อะไรช่างไม่ยอมราข้อกันบ้าง แค่เธอปัดมือเขาออก เขาต้องหาเรื่องที่ทำให้หายกันได้น่าโมโหกว่าเดิมด้วยเหรอ
“ธามทำ CPR ให้คุณ แบบนั้นไม่เรียกว่าจูบสักหน่อย”
ศนิเปลี่ยนใจยันแขนลุกขึ้นมานั่งบ้าง “หรือว่าเธอจะให้ฉันทำ CPR แบบเดียวกัน”
“ไม่ต้องค่ะ หายกันแล้วนี่ ต่อไปธามจะจูบกับคนที่ธามชอบ แล้วเขาก็ชอบธามเท่านั้น” ธามิณีลืมตัวค้อนใส่ศนิไปเรียบร้อย ตอนนี้เขาช่างไม่เหมือนครั้งแรกที่พบกัน “มีอายุหลายร้อยปี แต่ทำไมกวนโมโหได้ขนาดนี้”
ศนิเลิกคิ้วการทำแบบนี้เรียกว่ากวนโมโห แล้วใครกันทำให้เขาโมโหก่อน แต่พอได้ทำตามใจตัวเองกับมนุษย์ผู้หญิงคนนี้ก็ทำให้เขาปลอดโปร่งรู้สึกสนุกดีเหมือนกัน
“ไปอาบน้ำได้แล้ว พอกินอาหารเช้าเสร็จ ฉันจะส่งเธอกลับหอพัก”
ธามิณีพยักหน้าเพิ่งสังเกตว่าศนิจงใจกอดอกนั่งขัดสมาธิเลียนแบบเธอนี่นา จูบแรกของเธอเกิดขึ้นกับเขา จูบที่สองก็ยังเป็นเขาอีก ทำไมคราวนี้เธอไม่รู้สึกเหมือนมีผีเสื้อในอกอย่างที่เคยอ่าน แต่กลับรู้สึกอยากประทุษร้ายมากกว่า หญิงสาวลงจากเตียงพร้อมกับเม้มปาก ถอนใจแรง แต่คนที่ทำให้เธอเป็นแบบนั้นกลับยิ้มชอบใจ ศนิมองตามร่างเพรียวพลันเกิดคำถามว่าทุกวันของตลอดชีวิตที่ยาวนาน เขาเคยพบเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนบ้างไหม
คำตอบคือ...ไม่มี ไม่เคยมีเลย จนกระทั่ง...วันนี้
ธามิณีเหมือนได้เลือกเสื้อผ้าจากตู้ใบเดิมของตัวเองซึ่งก็ไม่มีอะไรให้แปลกใจ พระเสาร์ทำอะไรที่คาดไม่ถึงได้เสมอ รวมทั้งการเปิดประตูห้องน้ำเข้าไป แล้วพบตู้เสื้อผ้าของตัวเองอยู่ในนั้น พอเลือกเสร็จตู้เสื้อผ้าก็หายไปในพริบตา ตอนนี้เธอเหมือนได้อยู่ห้องตัวเอง เพียงแต่สิ่งต่างๆ เป็นบ้านของเขา เธอเดินมาเรื่อยๆ ผ่านห้องต่างๆ และห้องโถงใหญ่ที่เพดานเป็นหลังคาใส หากเธอมีบ้านแบบนี้คงมานอนดูดาวในบางคืนแน่นอน แต่เขาคนนั้นที่อยู่มาหลายร้อยปี การนอนมองดูดาวคงเป็นเรื่องน่าเบื่อ
ศนิเงยหน้ามองหญิงสาวในชุดเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์สีซีดที่ได้มาจากตู้เสื้อผ้าของเธอเอง ผมยาวถูกมัดไว้ลวกๆ ใบหน้าของเธอไม่มีเครื่องสำอางใดๆ มองดูแล้วเหมือนเด็กน้อยสักคน ธามิณีหาที่นั่งให้ตัวเองซึ่งก็ถัดจากเขาที่นั่งอยู่หัวโต๊ะนั่นเอง โต๊ะอาหารตัวยาว แต่ถ้าต้องนั่งคนเดียวคงเหงาน่าดู
“ฉันไม่รู้ว่าเธอชอบหรือไม่ชอบอะไรเลยสั่งให้ธำรงค์เตรียมมาภายในเวลาครึ่งชั่วโมง”
ธามิณีฟังแล้วมองอาหารบนโต๊ะอย่างทึ่งๆ ภายในครึ่งชั่วโมงคนที่ชื่อธำรงค์ซึ่งไม่รู้ไปอยู่เสียที่ไหน เตรียมอาหารได้ถึง 10 อย่างเชียวนะ ต้มจืด แกงเผ็ด ผัดผัก ของทอดต่างๆ ข้าวต้ม ข้าวผัด ก๋วยเตี๋ยว เธอคงกินไม่หมดแน่ๆ หญิงสาวมองอย่างทึ่งๆ พลางตักข้าวผัดมาใส่จาน
“คุณจะกินอะไรคะ ข้าวต้ม ข้าวผัด หรือว่าจะกินอย่างอื่น” ธามิณีถามชักรู้สึกเกรงใจที่มาอยู่ฟรี กินฟรี แถมเผลอโมโหใส่เจ้าของบ้านอีกด้วย
“เหมือนเธอแล้วกัน”
ธามิณีตักข้าวผัดที่ใส่ หมู หมึก แต่ไม่มีกุ้งมาใส่จานให้ศนิ เธอฉุกสงสัยว่าเขารู้งั้นหรือว่าเธอแพ้กุ้ง ว่าแต่เขาแพ้อาหารทะเลได้ไหม แต่คนแข็งแรงขนาดนั้นคงไม่แพ้อะไรหรอกมั้ง หญิงสาวกินอาหารเช้าไปเงียบๆ ในขณะที่ศนิก็ไม่อยากทำให้เธอโกรธอะไรอีก การผ่านมาความตายมาด้วยความอดทนควรได้สิ่งตอบแทนเป็นความสุขจากการได้กินของอร่อย
“ธามถามเรื่องกาญเกล้าได้ไหมคะ” ธามิณีรอจนเห็นว่าศนิพยักหน้าจึงถามว่า “กาญเกล้าเป็นยังไงบ้างคะ”
ศนิเลิกคิ้วมองธามิณีที่จงใจเลี่ยงคำว่า ‘ตาย’ แม้จะมีชีวิตมายาวนาน แต่บางครั้งเขาก็ไม่เข้าใจมนุษย์ ตอนมีชีวิตอยู่กาญเกล้าไม่เคยปรารถนาดีต่อธามิณีเลย แต่พอกลัวว่าจะตายกลับขอให้ธามิณีช่วย ธามิณีก็พร้อมจะช่วยทั้งที่ถูกอีกฝ่ายกลั่นแกล้งมาหลายครั้ง ความเป็นคนดีจนเกินไปบางทีก็ดูเหมือนมนุษย์คนนั้นไม่เข็ดหลาบเอาเสียเลย
“หมดอายุขัย ฉันบอกเธอไปแล้วว่าเปลี่ยนอะไรไม่ได้หรอก”
ธามิณีพอจะรู้คำตอบอยู่แล้วเพียงแค่ถามให้สิ้นสงสัยเท่านั้น หญิงสาวถอนใจรู้สึกใจหาย สงสารและเสียใจ แม้กาญเกล้าจะไม่ใช่ลูกพี่ลูกน้องที่หวังดีต่อกัน แต่การตายจากเป็นเรื่องที่น่าหดหู่ หากกาญเกล้าไม่ได้อยากจะตาย ชะตากรรมเป็นเรื่องน่าโมโห บางคนอยากมีชีวิตยืนยาวกลับตายเร็วจนไม่ทันคาดคิด ในขณะที่บางคนอยากตายทุกลมหายใจกลับไม่ได้ตายสมใจ ราวกับจงอยู่อย่างทรมานในการมีชีวิตต่อไป
“อย่าโทษตัวเอง ฉันบอกเธอแล้ว มันเป็นเรื่องที่มนุษย์อย่างเธอแก้ไขไม่ได้หรอก”
สีหน้าของเธอคงบอกความรู้สึกออกไปจนศนิเดาได้ ธามิณีรู้ว่าตัวเองจะต้องรู้สึกแบบนี้ถึงได้พยายามเพื่อที่จะแก้ไขความตาย แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้จริงๆ อย่างที่เขาบอก
“ถ้าแก้ไขไม่ได้ ทำไมต้องทำให้ธามเห็นว่ากาญเกล้าจะจากไปยังไงด้วยล่ะคะ”
“ประโยชน์อีกอย่างของผลึกกาลคือการได้เห็นความตายในอนาคต อย่างเคสของเธอคือคนที่เป็นญาติ แต่คนอื่นๆ เธอจะไม่เห็น อย่างน้อยก็เป็นการเตือนเพื่อให้มีโอกาสได้ทำดีต่อกัน ได้ร่ำลากระมัง”
ธามิณีหมดคำถามเพราะมันตื้อไปหมด แม้จะรู้ว่าแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่เธอก็รู้สึกไม่อยากเห็นนิมิตแบบนั้นอีกแล้ว ศนิมองแต่ไม่พูดอะไร ธามิณีต้องเรียนรู้ที่จะปล่อยวาง เพราะเมื่อถึงเวลาหนึ่งจะเป็นเธอเองที่ต้องจากไป แต่ทำไมเขาถึงเกิดความรู้สึกว่าไม่อยากให้ถึงเวลานั้น อีก 3 เดือน เธอช่างไม่รู้เลย เขาเองก็ไม่รู้ว่าเธอจะตายเพราะอะไร
...หากเป็นเขาที่ยื่นมือเข้าไปทำให้การตายไม่เกิดขึ้น
ไม่! เขาไม่ควรทำแบบนั้น การมีชีวิตต่ออาจทรมานกว่าการตาย เขามีบทเรียนมาแล้ว ดังนั้นจะไม่ยอมทำผิดซ้ำอีก
แจ้งข่าวนะคะ
1. ขอเพียงรักนี้นิรันดร จำหน่ายในรูปแบบ E-Book แล้วนะคะที่เว็บ MEB ในวันนี้ (8 มีนาคม 2566) หมวด นิยายรัก
2. โบว์ทำโปรโมชั่นลดราคานิยายเป็นเวลา 18 วัน ในราคา 180 บาท จากราคาเต็มหน้าปก 329 ราคาลดลง 45% ค่ะ
3. โบว์จะลงนิยายให้อ่านประมาณ 65% ของเรื่องราวทั้งหมด หรือประมาณบทที่ 16 แล้วสิ้นสุดการลงนิยายนะคะ
*****************************************************
เคยรู้สึกว่าคิดถึงใครสักคนจนอยากร้องไห้บ้างไหม?
ฝันถึงใครบางคนที่ไม่รู้ชื่อ แต่รู้สึกว่ารักคนคนนั้นมากอย่างไม่น่าเชื่อ
อยากหาเหตุผลว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนั้น แต่ก็หาคำตอบไม่พบ
ขอบคุณไม่นับครั้ง
อัมราน
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 177
แสดงความคิดเห็น