ตอนที่ 11 เข้าเมืองครั้งแรก
จางอี้เทาและจางอี้หมิงกลับมาถึงบ้านในช่วงบ่าย สองพ่อลูกเห็นหลี่อ้ายที่อาการค่อยยังชั่วขึ้นแล้วนั่งคุยอยู่กับนางหูซึ่งกำลังปะชุนเสื้อผ้า
“น้องหญิง เจ้าตื่นแล้ว” อี้เทาเอ่ยพร้อมกับเดินเข้าไปหา
“ท่านพี่ ข้าดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ พักอีกแค่วันสองวันคงหายดีแล้ว เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ท่านหัวหน้าหมู่บ้านยินดีช่วยครอบครัวเราหรือไม่”
“ท่านลุงถงรับปาก พวกเขาชอบน้ำตาลผักของบ้านเรานะ หมิงเอ๋อร์แนะนำว่าควรทำไปแจกให้ชาวบ้านได้ลองชิมดู อาจจะช่วยให้พวกเขาตัดสินใจแลกเปลี่ยนแรงงานกับบ้านเราง่ายขึ้น” เขาตอบ
“วันนี้ข้ากับหมิงเอ๋อร์จะขึ้นเขาไปเก็บต้นหญ้าหวานมาทำน้ำตาลผักเพิ่ม พรุ่งนี้จะเอาไปให้ท่านลุงถงแจกจ่ายและอีกสามวันท่านลุงถงนัดให้ไปฟังคำตอบจากชาวบ้าน”
“อาเทา หมิงเอ๋อร์จะกินข้าวเลยหรือไม่ แม่จะไปยกมาให้” นางหูเอ่ยถามและเงยหน้าจากผ้าในมือ“แม่กับเมียเจ้ากินแล้วเรียบร้อย หลี่อ้ายยังป่วยแม่เลยไม่ได้รอลูกกับหมิงเอ๋อร์ อีกอย่างแม่ว่าจะไปเก็บผักบุ้งมาทำอาหารอีกครั้งในตอนเย็น อาเทาว่าดีหรือไม่”
“ท่านแม่ ข้ากับหมิงเอ๋อร์กินมาจากบ้านท่านลุงถงแล้วขอรับ เมื่อวานข้าไม่มีผักป่ากลับบ้าน วันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะได้ผักป่ากลับมาไหม ท่านแม่ทำผัดผักบุ้งเหมือนเมื่อคืนวานก็ดีขอรับ ดีกว่ากินโจ๊กธัญพืชเปล่า ๆ”
“ท่านพ่อ ข้าว่าพวกเรารีบขึ้นเขาไปเก็บต้นหญ้าหวานกันเถอะขอรับ เรายังต้องเอามาตากแดดอีก” อี้หมิงเสนอ เขาคำนวณเวลาดูแล้วเห็นว่าควรรีบทำอะไรให้เรียบร้อย
“ได้สิ ท่านแม่ น้องหญิง พี่ไปก่อนนะ” จางอี้เทาบอกลามารดากับภรรยา
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน เดินไปแบกตะกร้าขึ้นสะพายหลัง เขาไม่ลืมหยิบมีดและเสียมไปด้วย เสร็จแล้วจึงจูงมือบุตรชายออกจากบ้าน
เมื่อขึ้นมาถึงบนเขา ทั้งสองคนก็รีบตรงไปที่กอหญ้าหวานทันที เมื่อเก็บจนได้ตามจำนวนที่ต้องการแล้วจึงพากันเดินกลับบ้าน เมื่อถึงบ้านก็นำต้นหญ้าหวานไปล้าง ตากแดด รอจนแห้งและเอามาต้มทำน้ำเชื่อม พวกเขาสละเวลาช่วงเย็นทั้งวันหมดไปกับการต้มหญ้าหวาน เนื่องจากต้องการปริมาณมากสำหรับนำไปแจกให้ชาวบ้านได้ทดลองชิม จางอี้เทาตัดกระบอกไม้ไผ่มาเพิ่มด้วย
“เฮ้อ ขืนเป็นแบบนี้ไม้ไผ่คงได้หมดป่าแน่” จางอี้เทาถอนใจ เขาบ่นเบาๆขณะทยอยนำกระบอกไม้ไผ่ไปล้างที่ริมธารแล้วนำกลับมาผึ่งให้แห้ง
นางหูเองก็ไม่นิ่งดูดาย นางจัดการมื้อเย็นไว้พร้อมสำหรับทุกคนในครอบครัว วันนี้ยังคงเป็นโจ๊กธัญพืชกับผัดผักบุ้งไฟแดงเหมือนเคย ซึ่งตอนนี้นับว่าเป็นอาหารชั้นเลิศแต่สำหรับจางอี้หมิงแล้วให้กินแบบนี้ทุกวันเขาได้อกแตกตายแน่ เขาเคยกินอาหารที่หลากหลายและถูกปรุงรสอย่างดี ทว่าตอนนี้กลับต้องมาจำกัดเพราะความยากจน มันจึงไม่น่ายินดีเอาเสียเลย จางอี้หมิงมองภาพตรงหน้าแล้วได้แต่สัญญากับตนเองว่าเขาจะทนไปอีกไม่นานแน่นอน
แต่ก่อนอื่นต้องหาเงินเข้าบ้านก่อน
***
***
ยามเหม่า (05.00 - 06.59) ของวันถัดไปสองพ่อลูกบ้านจางหอบเอาน้ำตาลผักที่เตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อวานไปส่งให้ที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน ส่วนที่เหลืออีก 30 กระบอก จางอี้หมิงจะนำไปลองขายในเมือง
เด็กชายตื่นเต้นดีใจ เขาอยากจะออกไปสำรวจเต็มที โดยเมืองที่บ้านจางอาศัยอยู่เรียกว่า เมืองไห่ถง เป็นเพียงเมืองเล็กๆแต่อี้หมิงอดใจรอแทบไม่ไหว อยากจะรู้นักว่าผู้คนจะมีความเป็นอยู่อย่างไร สองพ่อลูกเดินมาถึงปากทางหมู่บ้านจึงเห็นเกวียนของลุงผินจอดรออยู่ก่อนแล้ว
“ท่านลุงผินขอรับ ค่าเกวียนวันนี้ข้ากับท่านพ่อขอจ่ายเป็นน้ำตาลผักได้หรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงได้โอกาสใช้ความเป็นเด็กเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“สวัสดีอาเทา นี่คงเป็นหมิงหมิงน้อยสินะ หายป่วยแล้วหรือ” ลุงผินก้มตัวคุยกับเจ้าตัวน้อยที่เอ่ยถามเสียงใส
“สวัสดีขอรับท่านลุงผิน หมิงเอ๋อร์หายป่วยแล้วขอรับ” จางอี้เทาตอบคำถาม
“เจ้าว่าเจ้าทำอันใดมานะหมิงหมิงน้อย” ท่านลุงผิงถามกลับ เด็กน้อยจึงได้ทีรีบนำเสนอ
“น้ำตาลผักขอรับ มันให้รสหวานเหมือนน้ำตาลเลยขอรับ วันนี้ข้าเอาไปฝากไว้ที่บ้านหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อแจกให้กับชาวบ้านได้ลองชิมดู ส่วนนี้ข้าจะเอาไปลองขายที่ตลาดในเมืองดูขอรับ ท่านลุงผินเพียงแค่เติมลงไปในอาหาร ได้ทั้งอาหารและชาเลยนะขอรับ ชอบหวานมากหรือหวานน้อยก็ใส่ได้ตามใจชอบเลยขอรับ”
จางอี้หมิงยื่นกระบอกใส่น้ำตาลผักให้ชายแก่แล้วพูดต่อ
“ท่านลุงผินลองเอาใส่ลงไปในโจ๊กธัญพืชดูนะขอรับ ข้ารับรองว่าอร่อยกว่าเดิมเยอะเลยขอรับ”
“มันดีเช่นนั้นเชียวหรือหมิงหมิงน้อย” เจ้าของเกวียนรับของมานึกอย่างเอ็นดู “ได้ ค่ารับค่าเดินทางเข้าเมืองเป็นน้ำตาลผักตามที่เจ้าขอ ถ้ามันอร่อยจริง วันหลังข้าอุดหนุนครอบครัวเจ้าอีกแน่นอน”
เสร็จจากการพูดคุยกับสองพ่อลูกบ้านจาง ลุงผินจึงเร่งให้ทุกคนขึ้นเกวียนเพื่อออกเดินทางเข้าเมือง ซึ่งต้องใช้เวลาราวครึ่งชั่วยาม ค่าโดยสารคิดรายคนเที่ยวละ 5 อีแปะ สำหรับผู้ใหญ่ และ 1 อีแปะ สำหรับเด็ก นอกจากที่ต้องจ่ายค่าโดยสารจากหมู่บ้านมาในเมืองไห่ถงแล้ว ยังต้องจ่ายค่าผ่านทางเข้าเมืองด้วย โดยผู้ใหญ่คิด 3 อีแปะ ส่วนเด็กไม่คิดค่าเข้าเมือง
จางอี้เทาได้เงินจากซุนซูเย่มา 10 อีแปะ ลูกชายหัวหน้าหมู่บ้านให้เอาไว้ติดตัว อย่างน้อยจะได้มีเงินซื้อซาลาเปากิน ตอนแรกจางอี้เทาจะไม่รับ แต่ซุนซูเย่บอกให้รับไว้ อย่างน้อยจางอี้หมิงก็คงทนหิวไม่ไหว เขาจึงได้แต่ก้มหัวขอบคุณอยู่นาน
เมื่อผ่านด่านตรวจเข้าเมืองมาแล้ว ลุงผินพาทุกคนไปจอดลงที่พักซึ่งห่างจากกำแพงเมืองไม่มากนัก พร้อมกับย้ำว่าถ้าต้องการกลับบ้านพร้อมเกวียนของแกต้องมาให้ตรงเวลาในยามเซิน (15.00 – 16.59) ไม่เช่นนั้นก็ให้เดินกลับเอง
“ท่านพ่อขอรับ พวกเราลองไปเดินดูกันดีไหมขอรับว่าในเมืองมีร้านขายอะไรบ้าง” จางอี้หมิงกล่าว เด็กน้อยอยากสำรวจให้ทั่ว
“ไปสิ แต่พ่อว่าพวกเราเดินไปที่ร้านขายของก่อนดีหรือไม่ เพราะถ้าต้องแบกน้ำตาลผักไปตลอดทางแบบนี้มันลำบาก”
“ขอรับ”
จางอี้เทาสอบถามคนแถวนั้นถึงร้านขายของต่าง ๆ เมื่อได้รับคำตอบจึงออกเดินหาเพียงครึ่งเค่อจึงพบ ร้านตรงหน้าเป็นเหมือนห้องแถวสองชั้นทำด้วยไม้มี 2 ห้อง เสียงชายวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังเอ่ยสั่งงานกับผู้ที่คาดว่าเป็นผู้ช่วยขายของดังออกมาถึงข้างนอก
“พี่ชาย ที่นี่รับซื้อสินค้าหรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงรอจังหวะช่วงลูกค้าเดินออกไปรีบเข้ามาสอบถามเด็กหนุ่มที่กำลังยืนขายของ
“น้องชายตัวน้อย ร้านนี้เป็นร้านขายของแต่ก็รับซื้อสินค้าด้วย เจ้าต้องการเอาสินค้าอันใดมาขายเช่นนั้นหรือ”
“ข้ามีสินค้าใหม่มานำเสนอให้เถ้าแก่ พี่ชายได้โปรดบอกเถ้าแก่ให้ข้าได้หรือไม่”
“ได้ ๆ เจ้าตามข้ามาทางนี้”
เด็กหนุ่มบอกให้จางอี้หมิงเดินตามตัวเขาเข้าไปด้านในร้านที่มีเถ้าแก่นั่งอยู่ตรงโต๊ะคิดเงิน จางอี้เทาเห็นบุตรชายเดินตามเด็กหนุ่มไป เขาจึงแบกตะกร้าเดินตามบุตรชายไปด้วย
“เถ้าแก่ขอรับ มีคนอยากขายสินค้าให้กับทางร้าน ข้าจึงพามาหาเถ้าแก่ขอรับ” เด็กหนุ่มเอ่ยกับเจ้าของร้าน เขาหันมายกยิ้มให้เด็กน้อยและขอตัวกลับไปทำงานต่อ
“เจ้าหรือที่มีสินค้ามาขาย ไหนล่ะ มันคือสิ่งใด” เถ้าแก่ละสายตาจากการคิดบัญชี มองดูเด็กน้อยที่ยืมยิ้มร่า
“เถ้าแก่ขอรับ ข้ามีนามว่า จางอี้หมิง ส่วนนั่นคือท่านพ่อของข้า ชื่อจางอี้เทา ท่านพ่อของข้ากำลังฝึกให้ข้าทำการค้าขาย ในวันนี้ข้าจึงเป็นฝ่ายเจรจาการค้าขอรับ เถ้าแก่ได้โปรดเมตตาเด็กน้อยเช่นข้าด้วยนะขอรับ” จางอี้หมิงใช้ความเป็นเด็กส่งสายตาออดอ้อนเข้าช่วย
“ข้าชื่อ หวังหลีจุน เจ้าเรียกข้าว่าเถ้าแก่หวังเช่นคนอื่นเถอะ ข้าเรียกเจ้าว่าอาหมิงได้ใช่หรือไม่”
“ขอบคุณเถ้าแก่หวังที่เมตตา เรียกข้าว่าอาหมิงได้เลยขอรับ”
“ไหนล่ะ สินค้าของเจ้า ขอข้าดูหน่อย”
“ท่านพ่อขอรับ ข้าขอน้ำตาลผักกับน้ำชาผักอย่างละกระบอกขอรับ” จางอี้หมิงหันไปขอสินค้ามาจากบิดา จางอี้เทาหยิบเอากระบอกน้ำตาลผักส่งให้ลูกชายไปอย่างละหนึ่งกระบอก
“เจ้าเรียกสินค้านี้ว่าอันใดนะ”
“อันนี้เรียกว่าน้ำตาลผักขอรับ มีสีเข้มและมีรสหวานเช่นน้ำตาล แต่มันทำมาจากผักขอรับ สามารถนำไปปรุงอาหารได้ทั้งคาวและหวาน เก็บไว้ได้นาน ใช้ไม่เยอะเพราะมันหวานมากขอรับ เถ้าแก่หวังลองชิมดูก่อนได้ขอรับ” จางอี้หมิงยื่นน้ำตาลผักให้กับเถ้าแก่หวังพร้อมกับอธิบายสิ่งต่าง ๆ อย่างละเอียด
“หืม น้ำตาลผัก และยังทำมาจากผักด้วย ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยในชีวิตนี้ของข้า” เถ้าแก่เปิดกระบอกไม้ไผ่พินิจดูไปมาและลองชิมดู จางอี้หมิงลุ้นในใจ
“โอ้ มันมีรสหวานเหมือนกับที่เจ้าบอกจริงด้วย” เถ้าแก่หวังพยักหน้าพอใจ
“ใช่แล้วขอรับ ส่วนกระบอกนี้เรียกว่าชาน้ำตาลผัก จะมีสีอ่อนกว่า ไม่ต้องเอาไปปรุงอาหาร สามารถดื่มได้เลยเช่นเดียวกับชาขอรับ วิธีทำก็ง่ายมาก เพียงแค่เอาน้ำตาลผักมาผสมน้ำร้อนก็จะได้ชาน้ำตาลผักแล้วขอรับ” จางอี้หมิงอธิบายเสร็จสรรพแล้วจึงยื่นชาน้ำตาลผักอีกหนึ่งกระบอกให้ เถ้าแก่หวังเทลงถ้วยและทดลองชิมดู
“แบบนี้ก็มีรสหวานที่อ่อนลงจริงดังว่า แล้วสินค้าของเจ้ากินแล้วจะไม่เป็นพิษใช่หรือไม่”
“ไม่เป็นพิษแน่นอนขอรับเพราะครอบครัวข้าก็กินน้ำตาลผักเช่นเดียวกัน ข้าจึงอยากจะลองนำมาขายให้เถ้าแก่เพียงกระบอกละ 15 อีแปะ เท่านั้นขอรับ”
“อาหมิงข้าก็อยากซื้อน้ำตาลผักของเจ้าเอาไว้นะ แต่ข้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่ามันจะขายได้ ของสิ่งนี้มันยังไม่เคยมีคนกินมาก่อน หากข้าซื้อเอาไว้แล้วเกิดขายไม่ได้ ข้ามิขาดทุนหรือ” เถ้าแก่ถาม
“ทำเช่นนี้ดีหรือไม่ขอรับ ข้ารบกวนเถ้าแก่ให้คนไปต้มโจ๊กธัญพืชแค่หนึ่งหม้อเล็ก แล้วเติมน้ำตาลผักลงไปเพียงเท่านั้น ไม่ต้องใส่เกลือ ไม่ต้องใส่อันใดลงไป แล้วท่านลองนำมาแจกให้กับคนที่เดินผ่านไปมาได้ลองชิมดู อีกไม่นานก็ถึงเวลากินข้าวแล้ว ถ้าชาวบ้านชอบ ท่านจึงค่อยซื้อน้ำตาลผักของข้า แต่ถ้าชาวบ้านไม่ชอบ ข้าก็จะไม่ทู่ซี้ให้เถ้าแก่รับสินค้าไว้เลยขอรับ” จางอี้หมิงเสนอวิธีการ เถ้าแก่หวังยกยิ้มพึงใจในปัญญาของเด็กชายไม่น้อย
“ได้ ข้าจะลองทำตามที่เจ้าบอก” เถ้าแก่หวังตะโกนเรียกเด็กหนุ่มคนเดิมกับที่พาเขาเข้ามาและสั่งให้ไปต้มโจ๊กธัญพืชมาหนึ่งหม้อเล็ก
เวลาผ่านไปราวสองเค่อ
“เด็กน้อย นี่คือโจ๊กหนึ่งหม้อเล็กของเจ้า เจ้าจะทำอันใดต่อไป” เด็กขายของคนเดิมก็เข้ามาพร้อมกับโจ๊กหม้อเล็ก
“ข้าขอถ้วยใบเล็กสักสิบใบได้หรือไม่ขอรับพร้อมกับช้อนด้วย”
“บ๊ะ เจ้าตัวเล็กได้คืบจะเอาศอก โจ๊กข้าก็ให้โดยไม่คิดเงิน นี่ยังต้องให้เจ้ายืมช้อนอีกเช่นนั้นหรือ”
“โธ่ เถ้าแก่ขอรับ ถ้าท่านไม่ให้ข้ายืมช้อนกับถ้วย แล้วข้าจะเอาอันใดไปใส่โจ๊กให้กับชาวบ้านเล่าขอรับ เสร็จแล้วข้าจะล้างทำความสะอาดให้นะขอรับ” จางอี้หมิงได้แต่ส่งสายตาปริบ ๆ อ้อนไปอย่างนั้น
“อ้าว อาคุนเจ้าไปเอาช้อนกับถ้วยเล็กมาให้เจ้าพ่อค้าตัวน้อยนี่ด้วย” เถ้าแก่หวังได้แต่ส่ายหน้า เอ่ยบอกลูกน้องตนเองให้ไปเอาของมา
“ขอบคุณขอรับ” จางอี้หมิงรีบก้มหัวขอบคุณ ส่งยิ้มหวานไปให้จนเถ้าแก่มันเขี้ยว
เอาล่ะ...ได้เวลาขายของแล้ว
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 294
แสดงความคิดเห็น