บทที่ 7...2/3
ช่วงพักเที่ยงทีมงานแยกย้ายกันไปกินข้าว บางคนเตรียมอาหารมาเอง บางคนไปหากินจากร้านอาหารในโรงแรม แต่มีนาเล็งไว้แล้วว่าจะไปกินก๋วยเตี๋ยวเรือซึ่งร้านอยู่ก่อนถึงโรงแรมนิดหน่อย ใช้เวลาเดินไปเรื่อยๆ ไม่ถึง 10 นาทีก็ถึงแล้ว เธอสั่งเล็กชิ้นสดและเล็กชิ้นเนื้อมาอย่างละชาม มื้อนี้ไม่อิ่มให้มันรู้ไป
“ผมกินด้วยคนได้ไหมครับ เอาเป็นว่าคราวนี้ผมขอทวงสัญญาจากคุณมีนจะได้ไหม” ภูบดีไม่ถามเปล่าๆ ยังนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม เขาถอดเสื้อสูททิ้งไว้ที่ห้องรับรอง แล้วเดินตามมีนามา
มีนาเกือบสำลัก “แต่มีนกินก๋วยเตี๋ยวเรือนะคะ คุณภูบดีแน่ใจนะคะว่าจะให้มีนเลี้ยงแค่เท่านี้”
“ผมกินจุนะครับ อย่าชะล่าใจไป”
ช่างเป็นคำขู่ที่ไม่น่ากลัวเลยสักนิด มีนาช่วยสั่งก๋วยเตี๋ยวเรือให้ภูบดีไป 3 ชาม แค่นี้เขาก็น่าจะกินจนอืดไปถึงตอนเย็นแล้ว เธอรอจนก๋วยเตี๋ยวของภูบดีมาแล้ว หลังจากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาสูดเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าปากอย่างกับมาแข่งกิน พอชามที่ 2 มีนาก็ชักท้องตึงๆ ต้องกินน้ำตาม แล้วนั่งมองโน่นมองนี่ ส่วนภูบดีกำลังจัดการชามที่ 3 ด้วยท่าทีสบายๆ เห็นเขาตัวสูงไม่ลงพุงแบบนี้ แต่กินเก่งเหมือนกันแฮะ
“เชื่อหรือยังครับว่าผมกินจุ คุณมีนเตรียมตังไว้เยอะๆ แล้วกัน”
มีนาพยักหน้าพลางมองภูบดีอย่างทึ่งๆ ถ้าเขากินได้ถึง 5 ชามจะทำลายสถิติของภาคินพอดี น่าลุ้นเหมือนกัน นานๆ จะเจอคนกินเก่งสูสีกับเพื่อนรัก
“คุณภูบดี...”
“เรียกภูก็พอครับ ตอนนี้ผมว่าเราเป็นเพื่อนกันแล้วนะ” นี่ล่ะเหตุผลสำคัญที่เขาตามมีนามาที่ร้านนี้ เรื่องกินน่ะข้ออ้าง
ท่าทีของภูบดีเป็นมิตรไม่ได้ทำให้มีนารีบขีดเส้นแบ่งเหมือนกับรุ่นพี่แบบวนัท เธอจึงไม่ต้องคิดอะไรมากหากคนที่คุยด้วยแล้วไม่ทำให้ปวดหัวจะมาขอเป็นเพื่อน
“ก็ได้ค่ะ ถ้างั้นคุณภูเรียกมีนว่ามีนก็พอนะคะ”
คำตอบของภูบดีเป็นมือที่ยกค้าง มีนายกมือตัวเองไปแท็กอย่างรู้ทันกัน แบบนี้ภาคินเคยทำบ่อยๆ เวลาต่อรองอะไรกับเธอ
“เป็นอันว่าตกลงครับ”
“สั่งเพิ่มอีกไหมคะคุณภู มีนจะสั่งให้ จะได้ต่อเนื่อง” ตอนนี้ก๋วยเตี๋ยวชามที่ 3 ของภูบดีใกล้จะหมด ถ้าพอแค่นี้จะจุใจเจ้ามืออย่างเธอได้ยังไงเล่า
“อีกสักชามน่าจะเต็มท้องพอดีครับมีน”
แล้วจะรอช้าทำไม มีนาสั่งก๋วยเตี๋ยวกับแม่ค้าทันที ไม่ได้ เดี๋ยวไม่ทันใจเพื่อนใหม่ นี่คงเป็นการเลี้ยงตอบแทนที่เขาน่าจะเสียเปรียบเธออย่างกู่ไม่กลับ ค่าเสียหายมื้อนี้รวมกับที่เธอกินไปและน้ำอัดลมคนละขวดด้วยไม่ถึง 400 บาทด้วยซ้ำ ภูบดีเดินกลับโรงแรมมากับมีนา ระหว่างทางเธอยังเลี้ยงไอติมเขาอีกรอบ ช่างเป็นมื้อกลางวันที่เขาอิ่มและอาหารคงย่อยดีกว่ามื้อไหนๆ ในรอบปีที่ผ่านมา
หลังจากรอมาหลายวัน แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปในทางที่หวัง แม้ว่าพริมาจะส่งข่าวว่ากลับมาแล้ว หากเขมินท์คิดว่าจะหนีอดีตที่ถูกทำให้หยุดลงไม่ใช่ลืมเลือนได้ เธอจะเป็นฝ่ายให้โอกาสตัวเองและให้โอกาสเขาได้คิดเพื่อที่จะก้าวต่อจากที่หยุดความสัมพันธ์เอาไว้มาเนิ่นนาน ประโยคที่บอกว่าแยกกันไปเติบโตสามารถแทนสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเราสองคนได้ เธอต้องทำตามความฝัน เขาเองก็เหมือนกัน เพียงแต่เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเขาทำเหมือนว่าเธอผิดอยู่ฝ่ายเดียว
คุณรุจาจำพริมาได้จึงอนุญาตให้แขกที่ไม่ได้ยินชื่อมานานเข้ามาในบ้าน คงตั้งแต่น้องชายของนางกับลูกสะใภ้จากไปเมื่อ 5 ปีก่อน หลังจากนั้นนางก็ไม่เคยได้ยินชื่อนี้จากปากเขมินท์อีกเลย รุจาพาพริมามาหาเจตน์ที่กำลังนั่งเล่นอยู่ที่ชั้นลอยของบ้าน ซึ่งบรรดาหลานๆ เนรมิตให้เหมือนกับสวนลอยมีกล้วยไม้ กระบองเพชรและบอนสีต่างๆ ให้ชายชราได้เพลิดเพลิน
“หนูพริมามาหาน่ะเจตน์” รุจาแนะนำ บางทีเจตน์อาจจะจำพริมาไม่ได้ “เดี๋ยวป้ามานะ กำลังเตรียมอาหารเย็นอยู่น่ะ”
ในทุกมื้อรุจาจะเข้าครัวทำอาหารให้น้องชายด้วยตัวเอง ส่วนเจตน์ไม่ได้อยู่ตามลำพังเพราะมีพยาบาลพิเศษที่เขมินท์หามาคอยดูแลตลอด
“ค่ะคุณป้า”
พริมาหันไปยิ้มอย่างเป็นมิตรกับพยาบาลพิเศษที่ไม่ได้ตามรุจาไป ซึ่งไม่ได้เป็นปัญหาอะไรเพราะเป้าหมายในการมาของเธอในวันนี้ไม่ใช่เจตน์ แต่ตามมารยาทเธอก็ควรมาไหว้ชายชราที่เขมินท์เคารพรักก่อน
“พริมมาเยี่ยมคุณปู่ค่ะ เมื่อก่อนพริมมาที่บ้านหลังนี้บ่อยๆ คุณปู่จำได้ไหมคะ”
“อืม... ขอนึกก่อนนะ ปู่คุ้นหน้าคุ้นตาอยู่เหมือนกัน” ความจำของเจตน์ก็พร่องหายบ้างไปตามวัย แต่ยังไม่ถึงขนาดหลงลืม “อ้อ จำได้แล้ว เพื่อนของเขมใช่ไหม”
“ใช่ค่ะปู่ พริมเป็นเพื่อนสนิทของเขม” พริมายิ้มกว้าง แม้จะยอมใช้คำว่าเพื่อนสนิทแทนคำว่าแฟนเก่า “พอดีว่าพริมไปต่างประเทศหลายปี พอกลับมาก็เลยมาหาคุณปู่ค่ะ คุณปู่สบายดีไหมคะ”
“สบายดี แล้วเจอเขมหรือยังล่ะ” เจตน์ถามพลางชี้ไปยังกระบองเพชรที่กำลังผลิดอกบานสีชมพูสดใส ชายชรายิ้มมีความสุขแม้จะเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่การเฝ้าดูการเติบโตของต้นไม้ก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งเหมือนกัน
“เดี๋ยวคงได้เจอมั้งคะ”
พริมามองต้นไม้นานาชนิดๆ ในสวยลอยแห่งนี้และจดจำ คราวหน้าถ้ามาอีก เธอจะได้รู้ว่าควรต้องเตรียมอะไรมานอกจากของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ที่เตรียมมาวันนี้
ประตูบ้านบานใหญ่กำลังเลื่อนเพราะใครสักคนกดรีโมท รถคันหนึ่งกำลังขับเข้ามาจอดตรงโรงจอดรถ เจตน์ชะเง้อมองก่อนหันมาทางพริมา
“เขมคงกลับมาแล้วกระมัง เสียงรถคงจะใช่ ถ้างั้นไปหาเขมสิ ปู่ก็จะพักเหมือนกัน”
“พริมดีใจที่ได้พบปู่นะคะ เอาไว้พริมจะมาหาอีกได้ไหมคะ” พริมาขอซึ่งมันคงดีกว่าการไปมาที่นี่ตามใจตัวเอง หากเธอยังไม่ได้เขมินท์คืนมา การมาที่นี่ได้บ่อยๆ ย่อมเหมือนประตูอีกบานที่เขมินท์ต้องเปิดสักวัน
“ได้สิ”
พริมาไหว้ชายชราที่พยาบาลกำลังเข้ามาช่วยประคองเพื่อพากลับไปพักต่อในห้อง หญิงสาวเดินลงบันไดมาชั้นล่างเพื่อรอเขมินท์ เขาไม่สามารถหลบเลี่ยงเธอได้ หากว่าตรงนี้เป็นทางเดียวที่เขาจะขึ้นบันไดไปชั้นสองของบ้านเพื่อหาปู่ของเขา
รถที่จอดอยู่ก่อนแล้วในโรงจอดรถ ทำให้ใบหน้าที่เรียบเฉยของเขมินท์เปลี่ยนเป็นยิ้มที่มุมปากคล้ายเห็นเรื่องสนุกรออยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มลงจากรถมาแล้วเดินเข้าไปในบ้านอย่างไม่ลังเล แม้จะรู้ว่าต้องพบกับใคร การที่เขาไม่ยุ่งเกี่ยวหรือแม้กระทั่งไม่เอ่ยถึง หากอีกฝ่ายยังไม่รู้คำตอบ นั่นคงเพราะไม่เข้าใจจริงๆ หรืออาจจะเข้าใจ แต่คิดว่าสามารถเปลี่ยนใจเขาได้ หากใครคิดอย่างนั้นย่อมแสดงว่าไม่รู้จักเขาจริง
5 ปีผ่านไปจนกระทั่งมาถึงวินาทีนี้ เสมือนกับเวลาของเราสองคนได้มาบรรจบกันในที่สุด พริมามองเขมินท์ราวกับเปรียบเทียบในวันวาน การเดินอย่างมั่นใจและใบหน้าที่นิ่งเฉย ริมฝีปากกดยิ้มคล้ายรู้ทันคนทั้งโลก ช่างเป็นเสน่ห์ที่เธอไม่อาจลืมเลือนได้ หญิงสาวยิ้มประหนึ่งผู้ชนะ ในที่สุดเธอก็ได้พบเขา
“เขมไม่แปลกใจหรือคะที่เห็นพริม อ้อ เขมคงรู้อยู่แล้วว่าสักวันพริมต้องมาหาที่นี่” ข้อยืนยันว่าพริมาคาดการณ์ไม่ผิดคงเป็นรอยยิ้มที่มุมปากของเขานั่นล่ะ เราต่างรู้เท่าทันกันมาตลอด
“เราเจอกันแล้วยังไง ไม่เจอกันแล้วยังไง มันจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปไหม” สำหรับพริมาในสายตาของเขมินท์ เธอดูสวยสะพรั่ง มีความเย้ายวนที่ผู้ชายรู้สึกได้ แต่การพบเธอหลังจากไม่ได้พบกันมานานไม่ได้ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นมาเลยสักนิด “พริมน่าจะรู้ว่าผมเป็นคนยังไง วิธีนี้ไม่ได้ผลหรอก ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ผมให้คำตอบกับพริมชัดเจนพอแล้วไม่ใช่หรือ”
การปฏิเสธการติดต่อทุกช่องทางเป็นสิ่งที่พริมารู้ว่าเขมินท์มอบให้กับเธอมาตลอด เธอเลยไม่รู้สึกผิดหวังสักนิด เธอค่อนข้างพอใจด้วยซ้ำที่เขมินท์ยังเหมือนเดิม
“พริมไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมเขมถึงทำเหมือนว่าต้องเป็นฝ่ายที่ยกโทษให้พริมด้วยล่ะ พริมมีความจำเป็น เขมน่าจะเข้าใจ”
ตอนนั้นพริมาได้โอกาสที่ดีในสายงานของตัวเอง การเดินทางไปอังกฤษเพื่อคว้าสิ่งที่คนอื่นอาจจะแย่งไปมันเป็นสิ่งที่ควรทำ แต่เขมินท์กลับตัดขาดจากเธอทุกช่องทาง ทั้งที่เขาผ่านช่วงเวลาของการสูญเสียมาโดยที่ไม่ต้องมีเธอได้อยู่แล้ว ดูตอนนี้สิ เขาได้เป็นนักธุรกิจเต็มตัว เขาทำตามความฝันของเขา แล้วเธอทำตามความฝันของเธอ แต่ทำไมเขากลับทำแบบนั้นตลอด 5 ปี ไม่รับโทรศัพท์ ไม่ตอบข้อความ ทำเหมือนเราตายจากกันไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น
“เอาเป็นว่าผมเข้าใจ แต่ 5 ปีที่ผ่านมามันดีอยู่แล้ว ตอนผมไม่มีคุณ”
แม้จะผ่านไปนานแล้วแต่พริมาก็ยังคงไม่เข้าใจ เขมินท์จึงไม่เห็นความจำเป็นต้องอธิบายอีก ตอนนั้นเขาไม่ได้โกรธและไม่เสียใจที่พริมาเลือกอนาคตตัวเอง แต่เพราะเธอเลือกจะทิ้งเขาไปในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุด พอไปอังกฤษแล้วเธอเงียบหายไปหลายเดือนกว่าจะโทรหาเขา แต่มันก็สายไปแล้ว เขาได้ก้าวต่อไปโดยไม่จำเป็นต้องมีเธออีกแล้ว
เวลาช่างน่ามหัศจรรย์จนทำให้เขมินท์ไม่รู้สึกอะไรต่อสิ่งที่พริมาทำ เขาผ่านการสูญเสียพ่อกับแม่ไปพร้อมกันและความยากลำบากในการรักษาธุรกิจครอบครัวมาได้อย่างแสนสาหัสด้วยตัวเอง จนไม่อยากเสียเวลาให้อดีต เขาถึงได้รู้ว่าควรเก็บรักษาใครให้อยู่ในชีวิตตลอดไปและใครไม่ควรอยู่ในวงโคจรอีกแล้ว
พริมายื่นมือออกไปจับมือของเขมินท์ไว้แน่น หากเขาเมินเฉย เธอจะโอนอ่อนเข้าหา
“ลองกลับมาคบกันใหม่ดีไหมคะเขม”
เขมินท์ยิ้มกว้างคิดไม่ผิดว่าจะได้เจอเรื่องสนุก มือหนาเลื่อนออกมาจากมือบางพลางกอดอกมองอีกฝ่าย แล้วขมวดคิ้วคล้ายนึกอะไรสักอย่าง
“เมื่อก้าวเดินมาจากจุดนั้นแล้ว ผมจะไม่กลับไปอีก การที่ผมไม่ติดต่อกลับพริมเลยน่าจะเป็นคำตอบมานานแล้วนะ”
ตอนนั้นการแสดงออกของเขาที่มอบให้แก่เธอคือความรักไม่ใช่หรือ ที่เขาทำอยู่ตอนนี้ก็เพราะยังโกรธเธออยู่เท่านั้นใช่ไหม พริมากอดอกแล้วขมวดคิ้วเหมือนกับที่เขมินท์เพิ่งทำไป
“ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา เขมไม่ได้คบใครเลยนะคะ” หากไม่แน่ใจในเรื่องนี้ พริมาคงไม่พาตัวเองมาถึงที่นี่ ความเย็นชาของเขาเป็นเพียงเกราะเท่านั้น หากเขาลืมเธอได้ ป่านนี้คงมีแฟนหรือแต่งงานไปแล้ว
เขมินท์พยักหน้ายอมรับ แต่เหตุผลที่เขาไม่ได้คบใคร พริมากลับไม่รู้ ช่างน่าผิดหวัง เขาคงคาดหวังความรู้เท่าทันกันจากเธอสูงเกินไป
“ก็ใช่ว่าผมจะไม่มีใครอยู่ในใจ ซึ่งคนคนนั้นไม่ใช่พริมหรอกนะ”
“ปากแข็งเหมือนเดิม”
พริมายิ้มกว้างมั่นใจว่าที่เขาพูดมาเป็นเพียงข้ออ้างที่เลื่อนลอย หญิงสาวเดินเข้ามากอดเขมินท์พลางเอนหน้าซบกับอกกว้าง พอได้กอดเขา เธอถึงได้รู้ตัวว่าคิดถึงความอบอุ่นนี้มาตลอด
“วันนี้พริมแค่มาทักทาย แต่ถ้าเจอกันครั้งต่อๆ ไป พริมจะทำให้เขมกลับมาเหมือนเดิมให้ได้นะคะ”
“ผมไม่ได้ปากแข็ง พริมก็รู้ว่าผมเด็ดขาดและซื่อตรงเสมอ”
พริมาคลายกอดเพื่อที่จะมองใบหน้าของเขมินท์ให้ชัด ไม่มีความขบขันในดวงตาของเขา เรียวปากหนาเม้มปิด แขนทั้งสองข้างของเขาไม่แม้จะกอดตอบเธอด้วยซ้ำ
อืม...สิ่งนี้ช่างผิดไปจากที่เธอคาดการณ์เอาไว้
เรียวปากสวยยิ้มกว้างยอมรับหากเขมินท์จะทำแบบนี้ เธอกลับมาแล้วและจะชดเชยอะไรก็ตามเพื่อให้เขากลับมา หากว่าเขาจะยอมยกโทษให้เธอ ก็ได้ เธอจะยอมเป็นฝ่ายที่ทำทุกทางให้เขาเปิดใจอีกครั้ง
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
บรรพตี
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 273
แสดงความคิดเห็น