ก่อนมวลแสงสุดท้ายจะเลือนหาย
“คุณแน่ใจหรือว่าจะไป?” เสียงของชายตัวสูงที่นอนอยู่บนเตียง ดวงตาจับจ้องที่หญิงสาวผู้ยืนรับลมเย็นจากหน้าต่าง “แน่นอนอยู่แล้ว นั่นคือคาราวานที่จะแวะมาเพียงชั่วชีวิตละครั้งเท่านั้นนะคะ” เธอหันกลับมา เส้นผมที่ปลิวไสวไม่ต่างจากรวงข้าวพร้อมเก็บเกี่ยวแต่ในอีกมุมก็ไม่ต่างจากลำธารหลายสาย ไม่ยาวและสั้นจนเกินพอดี รอยยิ้มบนใบหน้าเมื่อเห็นสีหน้าของชายคนรักค่อยๆ จางหายไป
เลโอน่าขึ้นไปนอนบนเตียง ที่ข้างตัวเจมส์ผู้กางแขนข้างหนึ่งออกเป็นหมอนตัวที่สองให้เธอ เริ่มสวมกอดอย่างโหยหา “ฉันรู้ว่าคุณกังวลเรื่องเหตุการณ์ลอบปลงพระชนต์ราชาดุคแต่เรื่องนั้นมันก็ผ่านมาสักพักหนึ่งแล้ว อีกอย่างคุณคิดว่านราเซมจะได้อะไรจากการทำลายคาราวานนี้กันล่ะ?” ดวงตาที่จ้องมองของลีโอน่าไม่ต่างจากตาของแมวพราวเสน่ห์ มันกำลังอ้อนวอนเจ้าของผู้กุมกุญแจบ้านและหัวใจให้ทำตามในสิ่งที่เธอร้องขอ “ก็ได้ครับ” ลีโอน่ายิ้มกว้าง เธอกอดแผ่นหน้าอกอบอุ่นของเจมส์แน่น “แต่มีข้อแม้ครับ” รอยยิ้มยังคงอยู่ที่เดิม “ผมจะไปกับคุณด้วย” ลีโอน่าค่อยๆ หุบยิ้ม เธอต้องการเขามากกว่าใครแต่แล้วก็คิดบางอย่างขึ้นมาได้ ใบหน้าจิ้มลิ้มดั่งแสงจากดวงดาวบนฟากฟ้า แก้วตาดวงใจของพวกเขา “แล้วใครจะดูแลเจ้าหญิงของพวกเรากันล่ะ? คุณอยู่ที่นี่ดีกว่าค่ะ ฉันตัวคนเดียวเสียที่ไหนกันล่ะ” ลีโอน่าซุกหน้าเข้าสัมผัสกลิ่นกายของเจมส์ มันเป็นกลิ่นที่คุ้นเคยเหมือนเช่นทุกวัน เจมส์ไม่ได้กล่าวอะไรนอกจากสวมกอดร่างบางกลับและปล่อยให้ค่ำคืนนั้นผ่านไปอย่างเงียบสงบ
ยามค่ำที่จบลงเข้าสู่เช้ามืดของวันใหม่ ลีโอน่าเก็บสัมภาระที่จำเป็นอย่างเป็นระเบียบในกระเป๋าหนังสี่เหลี่ยม 2 อัน มันถูกขนลงไปโดยข้ารับใช้ที่เดินนำเธอลงไปชั้นหนึ่งของคฤหาสน์ เมื่อประตูถูกเปิดออก เธอมองเห็นในความมืดรอบข้าง รถม้าที่จอดรอเธออยู่กับชายหนึ่งคนผู้สวมชุดแตกต่างจากข้ารับใช้และเห็นได้ชัดว่าไม่ได้กำลังรอส่งเธอด้วยรอยยิ้ม “นี่มันหมายความว่ายังไงหรือคะ?” ลีโอน่าพุ่งตรงเข้าไปหาเจมส์ด้วยความตื่นเต้นแม้เธอจะพยายามปิดบังมันไว้ในใจ “ผมจะไปกับคุณครับ” เจมส์กล่าวเข้าประเด็นอย่างตรงไปตรงมา “แล้วใครจะดูแลเจ้าหญิงของพวกเราล่ะคะ?” เจมส์ไม่ได้ตอบด้วยคำพูดแต่เขาใช้สายตามองออกในจุดที่ลีโอน่าไม่สามารถมองเห็น
ลีโอน่าหันกลับมาที่หน้าคฤหาสน์ ไม่มีร่างเล็กที่รอการจากไปของเธอแต่เป็นร่างของชายปริศนากับชุดหลากสีสันและลวดลาย รอยยิ้มที่ติดอยู่บนใบหน้าทำให้เธอยิ้มตามอย่างไม่รู้ตัว กว่าจะรู้ตัวว่าขามันขัดขืนคำสั่งสมองก็ตอนที่เธอกำลังสวมกอดชายปริศนาตรงหน้าอย่างคุ้นเคย “ขอบคุณนะที่มา” นิโคลัสสวมกอดร่างบางตามมารยาท เขาไม่ได้ใช้แรงอะไรมากมายเพราะกลัวกลีบดอกไม้นี้อาจช้ำจากมือหนาและกระด้างของตนเอง “มีผมอยู่ที่นี่แล้วไม่ต้องเป็นห่วงอะไร แค่อย่าลืมกลับมาก็พอครับ” นิโคลัสกล่าวอย่างติดตลก หลังจากการอำลาก็ถึงเวลาที่ต้องเดินทาง
ก่อนจะไป ลีโอน่าได้หันกลับมามองที่คฤหาสน์อีกครั้ง เธอยังจำใบหน้าของเจ้าหญิงตัวน้อยที่นอนอยู่บนเตียงได้เป็นอย่างดี ไม่รู้ว่าตื่นขึ้นมาแล้วเธอจะว่ายังไงที่ไม่เห็นพ่อและแม่อยู่ที่นี่ แต่เมื่อตัดสินใจแล้วก็ไม่อาจเปลี่ยนใจได้ เจมส์ขึ้นไปบนรถม้าก่อนจะยื่นมือให้ลีโอน่า มองดูเธอจากภายในผู้ชูขนนกสีขาวขึ้น “ดูเหมือนฉันจะลืมบอกคุณไป” แสงสว่างเปล่งออกจากขนนกที่ลอยขึ้นและหายไปบนท้องฟ้าที่ส่องประกายแสงเจิดจ้า ข้ารับใช้ที่แหงนมองตามขึ้นไปมองเห็นบางอย่างที่กำลังร่วงลงมาด้วยความเร็วก่อนจะชะลอตัวอย่างฉับพลันจนกงล้อไม้ทั้ง 4 จอดชิดติดพื้นโดยสมบูรณ์
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ลีโอน่า” ชายเจ้าของบังเหียนรถม้าจากฟากฟ้ากล่าวทักทายลีโอน่าอย่างคุ้นชิน “จะไปไหนดีล่ะวันนี้?” อากิรัวมองดูหญิงสาวที่เดินตรงเข้ามาหาด้วยสายตาเอ็นดู เธอสัมผัสที่แขนของเขาก่อนจะปรากฏแสงจากจุดที่เธอสัมผัสและที่ดวงตาที่กำลังเปล่งแสงสว่าง “ช่วยย้ายสัมภาระพวกเรามาไว้ที่รถม้าคันนี้แทนด้วยค่ะ” ลีโอน่าหันกลับไปหาข้ารับใช้
ประตูรถม้าปิดลงอีกครั้งและทันใดนั้นแสงสว่างที่แตกต่างจากบรรยากาศภายนอกตัวรถก็ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน ในขณะที่รถม้ากำลังเคลื่อนที่ออกจากเขตคฤหาสน์ ที่สุดแล้วความสงสัยก็ไม่อาจถูกปิดบังอีกต่อไป “ฉันรู้สึกเกรงใจคุณนิโคลัสค่ะ” ลีโอน่ากล่าวพร้อมรอยยิ้มที่เบาบาง “หมอนั่นไม่ว่าอะไรหรอกครับ ออกจะดูรักเจ้าหญิงของพวกเรา….” เจมส์รับรู้ถึงสัมผัสที่พิงไหล่ของเขาอย่างฉับพลัน แรงกระตุกจากด้านนอกไม่ช่วยให้หัวที่พิงอยู่หลุดออกจากตำแหน่งเพราะมือที่คอยรั้งไว้ของเจมส์ "คุณไม่เคยปล่อยให้ฉันไปไหนโดยไม่มีคุณเลยนะคะ" ลีโอน่ายิ้มกว้างขึ้นเ “หวังว่าคงจะไม่ทำให้คุณรำคาญนะครับ?” เจมส์เบนหน้าลง รับรู้ได้ถึงการสั่นไหวของหัวที่พิงอยู่ “ฉันรู้สึกปลอดภัยทุกครั้งที่คุณอยู่ข้างกายฉัน.....ขอบคุณที่มานะ” เจมส์เบนหน้ากลับสู่ตำแหน่งเดิม เขากำลังอมยิ้มที่มุมปากแทนคำตอบ
ณ ทุ่งหญ้ากว้างสุดลูกหูลูกตา ใบหญ้าเขียวอ่อนรื่นตาบัดนี้ถูกเหยียบโดยขาหลากคู่ที่ทรงพลัง ขบวนรถม้าจากทิศทางเดียวหลั่งไหลออกมาจากประตูประเทศที่ติดกับเขตโนซาล์บ ประชาชนของประเทศอินเพอริโอ พวกเขามุ่งตรงมายังสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่นับ 10 ที่ตั้งกระจายอยู่โดยรอบ ทิ้งระยะห่างของแต่ละเต็นท์เพียงเล็กน้อย กึ่งกลางตั้งเวทีขนาดใหญ่ที่ด้านบนมีสิ่งของที่ทำจากหินประหลาด ปรากฏรูเต็มไปหมด แท่งไม้ที่ปักโดยรอบอาณาเขตคาราวานฝังหินสีส้มที่ส่วนบนสุดของแท่งไม้ รอยแตกสีดำลากยาวลงมาจากจุดที่ฝังหินจนถึงกึ่งกลางของลำไม้ เสียงของสัตว์หลากชนิดที่ดังออกมาจากแต่ละเต็นท์เรียกความสนใจของผู้คนที่เดินไปมาในยามที่แสงใกล้ลับหายไปจากฟากฟ้าให้เดินเข้าไปดู เสียงหัวเราะ ปรบมือ ตะโกนอย่างเมามันกับบรรยากาศอันแสนน่าครื้นเครง
หากไม่ยินดีกับการแสดงโชว์ของสัตว์ปริศนาที่มีทั้งสง่างามไปจนถึงน่าเกลียดน่ากลัวก็ยังมีร้านอาหารและเครื่องดื่มให้เดินจับจ่ายที่ด้านนอกงานไม่ไกลจากเสาไม้ที่ในยามนี้กำลังส่องประกายแสงแห่งดวงอาทิตย์แทนลูกแก้วที่กำลังลับขอบฟ้ายามสลัว “ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่การแสดงของพวกเรา เดอะ มูฟวิ่ง โนแมนแลนด์ เซอร์กัส” อัห์บามอร์ ชายผู้ครองผมสีทองประหลาด เจ้าของเสียงต้อนรับที่เริ่มเปล่งเสียงตั้งแต่ช่วงเช้ามืดที่ผู้มาเยือนกลุ่มแรกมาถึงจนถึงตอนนี้ “ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการแสดงและรับฟังบรรเลงเพลงแห่งทะเลทรายจากพวกเราครับ” อัห์บามอร์โค้งตัวลงอย่างนอบน้อม ทำนองเพลงดังขึ้นจากด้านหลังของเขา ที่บนเวทีที่กลุ่มชายหญิงกำลังเล่นเครื่องดนตรีปริศนาที่ทำจากก้อนหินประหลาด
ลีโอน่าและเจมส์ พวกเขาใช้เวลาในเต็นท์สีน้ำเงิน ป้ายด้านนอกบอกการแสดงภายใน มหาสมุทรทั้งใบในฟองอัศจรรย์ พวกเขานั่งอยู่แถวหน้าสุดของเก้าอี้ธรรมชาติ พื้นหญ้าและพื้นดิน มองดูการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิต 2 ชนิดภายในฟองอากาศขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่กลางเต็นท์ หนึ่งมนุษย์กับอีกหนึ่งสัตว์ประหลาด ลักษณะคล้ายปลาวาฬที่ร่างกายห่อหุ้มด้วยเส้นเอ็นสีฟ้าสว่างและร่างกายส่วนใหญ่ปกคลุมด้วยเกราะผิวเรียบสีขาวแต่บางส่วนก็ดูแหลมจนน่าหวาดเสียว มี 2 ครีบยาว สัตว์ประหลาดตัวนั้นมันแสนรู้ ยื่นครีบออกจากฟองอากาศ ขยับไปมาเหมือนกับพยายามจะชักชวนลีโอน่าให้เข้าไปเต้นอยู่ในนั้นกับมัน อเล็กเซอร์เหมือนจะรู้ความคิดของคู่หู เขานำตัวเองออกมา โค้งตัวทำท่าเชิงชักชวนลีโอน่าโดยไม่ใช้คำพูดแต่อย่างใด เมื่อเธอใจอ่อนลุกขึ้น เจมส์คว้ามือเธอไว้และลุกตาม ทำให้ลีโอน่ายิ้มออกมาอย่างสบายใจ
ลีโอน่าและเจมส์ก้าวเข้าสู่โลกอีกใบที่แตกต่าง สัมผัสแรกบนใบหน้าที่กำลังเชื่อมต่อ 2 โลกเข้าด้วยกันคือสิ่งที่แตกต่างออกไปจากความคิด ในโลกสีฟ้าใสนี้มีอากาศให้หายใจและมันอบอุ่นมากกว่าจะเย็นเฉียบ พวกเขาเริ่มเต้นลีลาศภายใต้ประกายแสงจากเบื้องบนราวกับอยู่ในโลกใต้น้ำ ไม่มีแรงโน้มถ่วงที่จะดึงให้พวกเขาลอยขึ้นไป ปล่อยให้ซิจฟาฮ์วี สิ่งมีชีวิตประหลาดว่ายวนอยู่รอบตัวพวกเขาและส่งคลื่นที่กระทบแผ่นหลังของคู่เต้น เบาและต่อเนื่อง นัยน์ตามองจ้องกันและกัน ไม่มีฟองอากาศที่หลุดออกจากริมฝีปากที่อ้าออกเล็กน้อย พวกมันเขยิบเข้าหากันด้วยความหลงใหล บางส่วนของเส้นผมที่ลอยไปมาอย่างไร้น้ำหนักถูกปาดออก เผยให้เห็นใบหน้าที่ไร้การซ่อนเร้น มืออีกข้างสัมผัสที่แก้มเนียนนั้น ที่สุดริมฝีปากของพวกเขาก็แพ้ให้กับแรงดึงดูดตามธรรมชาติ ผู้ชมต่างลุกขึ้นปรบมือ
กลีบกุหลาบแห่งความสุขโรยราทีละกลีบๆ จนสุดท้ายเหลือไว้เพียงบรรยากาศสลัวบนผืนฟ้าสีน้ำเงิน ประดับประดาแสงสว่างเป็นหย่อมๆ ก่อร่างเป็นสิ่งสวยงามเกินกว่าความเข้าใจของมนุษย์ รูปร่างแห่งจักรราศีอันน่าพิศวง ลีโอน่าจ้องมองผืนฟ้าไร้กำบังในคืนนี้ ภายในอ้อมกอดอุ่นๆ ของชายที่เธอรัก พวกเขาพิงกายลงบนเสื่อที่ทำจากใบไม้ขนาดใหญ่ ไม่ต่างจากคนอื่นอีกนับ 100 ที่นอนอยู่ไม่ไกล ข้างกันคือแก้วน้ำและถาดไม้ นัยน์ตาสีฟ้าทึบเคลื่อนไปมาราวกับกำลังนับดวงบนเพดานห้องขนาดใหญ่ของโลกที่เธออาศัย วาดรูปตามการวางตัวของดวงดาวจนเกิดเป็นภาพของสิ่งมีชีวิตที่คุ้นเคย
“ทั้งที่เป็นคืนที่งดงามถึงเพียงนี้แต่ทำไมแอเรียสถึงมีสีหน้าเศร้าหมองเช่นนั้นกันนะ” ลีโอน่ากล่าวขึ้นลอยๆ ก็จริงแต่สร้างความสงสัยและสนใจให้เจมส์เป็นอย่างมาก “แน่ใจหรือครับว่าแอเรียส เท่าที่ผมเคยเห็นเขา เขาไม่เคยมีสีหน้าอื่นนอกจากเคร่งขรึม” เจมส์ไม่ได้หัวเราะออกมาแม้สิ่งที่เขากล่าวจะฟังดูติดตลก เขาสัมผัสได้ถึงแรงกอดที่มากขึ้น ทำให้รู้ทันทีว่าลีโอน่ากำลังหวั่นวิตกกับเรื่องของดวงดาวและท้องฟ้าแต่แล้วใบหน้าที่จริงจังและเคร่งขรึมของเธอก็จางหายไปทันทีที่สัมผัสมือที่กำลังลูบหัวอย่างอ่อนโยน ทำให้รู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดต้องเป็นกังวล พวกเขามองจ้องผืนฟ้าอยู่นานจนที่สุดทุกอย่างก็ดำมืดไปโดยไม่รู้ตัว
ในความมืดที่มองไม่เห็นสิ่งใด แสงสว่างขนาดใหญ่ที่ปรากฏต่อหน้าของลีโอน่าแต่กลับไม่ทำให้เธอรู้สึกแสบตาหรือบังคับให้หลบสายตาออกจากมันที่กำลังแปรรูปร่างเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่แต่เพียงชั่วขณะเหมือนภาพทุกอย่างมันดับลงก่อนที่เธอจะลืมตาขึ้นอีกครั้งในโลกของความเป็นจริง เสียงโหวกเหวกโวยวายแม้จะเบาดั่งเสียงกระซิบ สายตาที่ปรับสภาพกลับมาเป็นปกติอีกครั้งมองเห็นใบหน้าของเจมส์ผู้กำลังหันมองไปที่อีกฝั่งที่ดวงตาเธอมองเห็น แผ่นหลังเธอในตอนนี้รับรู้ถึงความแข็งที่มันกำลังพิงอยู่ เจมส์ในตอนนี้แตกต่างจากก่อนที่เธอจะตื่นมาอีกครั้ง สีหน้าของเขาดูตึงเครียด เต็มไปด้วยเหงื่อและเสียงหอบที่ลอดผ่านริมฝีปากที่เปิดอยู่ “มีอะไรหรือคะ?” ลีโอน่าพยายามจะลุกขึ้นแต่ถูกเจมส์กดไหล่ของเธอไว้ด้วยแรงที่เขาไม่เคยใช้มาก่อนและมันทำให้เธอเจ็บ “คุณต้องเรียกรถม้าออกมาเดี๋ยวนี้ครับ” น้ำเสียงของเจมส์ดูจริงจังเกินกว่าปกติและมันทำให้เธอรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติกำลังเกิดขึ้น
“เกิดอะไรขึ้นคะ?” ลีโอน่าแหงนมองตาม ทำให้รู้ว่าตอนนี้เธออยู่ในส่วนลึกของป่า ห่างไกลจนมองสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นด้านนอกไม่เห็นแต่พอได้ยินเสียงที่บ่งบอกถึงความเจ็บปวด เธอลุกขึ้น คราวนี้แม้แต่เจมส์ก็ไม่สามารถหยุดยั้งแรงเหนือหญิงของเธอได้ “อย่านะ” เจมส์จับแขนของเธออย่างแรง ไม่มีหางเสียงออกจากปาก นัยน์ตาที่จ้องปะทะของหญิงสาวเสมือนคำตอบที่ดังกว่าคำกล่าว ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกต่อไปแต่เขาก็ไม่ยอมปล่อยมือเธอแม้มันจะกำลังรั้งแขนเขาจนชูขึ้นไป เจมส์ไม่ได้ก้มต่ำหรือหลบสายตาแห่งความกล้าหาญและมั่นคงของลีโอน่า เขาซึมซับมันอย่างนอบน้อมก่อนจะลุกขึ้นและเดินตามเธอผู้มอบแสงสว่างและจะเป็นผู้นำทางเขาไปยังที่ใดก็ตาม
สิ่งก่อสร้างที่เคยตั้งตรงบัดนี้มอดไหม้และล้มครืน กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ ชีวิตที่เคยครื้นเครงบัดนี้แน่นิ่งอยู่บนผืนหญ้า เงียบสงบและมอดไหม้ เท้าที่เหยียบลงบนบ่อเลือดส่งเสียงดังจ๋อมและแจ๋ม จ๋อมแจ๋มไปเรื่อยจนโงนตัวลง จับที่คอของร่างไร้วิญญาณ ส่งเสียงฟึดฟัดเหมือนหมาที่กำลังดมกลิ่นก่อนจะโยนร่างไม่ครบประกอบออกไปไกลอย่างไม่แยแส มัวล์ ชายผู้สวมชุดหนังไม่ต่างจากหมาป่า ร่างกายส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกคลุมด้วยอาภรณ์หนัง ขาเต๊ะซากศพที่ขวางทางเดินอย่างไม่เคารพ ยื่นมือลงไปจับที่หัวของศพตรงหน้า ใบหน้าที่มีแต่แผลเหวอะ นัยน์ตากว้างข้างซ้ายที่แยกออกจากกันเป็น 2 ซีก เขายกหัวไร้วิญญาณนั้นเข้าใกล้ จมูกที่เกือบชิดผิวหนังรับกลิ่นคาวเลือดไปเต็มๆ แต่สักพักก็เขวี้ยงมันทิ้งและเดินต่อ
ผ่านซากศพอีกมากมาย รับกลิ่นแห่งความตายเฉพาะบนร่างของหญิงสาวเท่านั้น อย่างกับฆาตกรโรคจิต ศพที่แน่นิ่งพอเห็นว่ามัวล์จากไปแล้ว ค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าอีกครั้ง พยายามไม่สูดแรงจนเกินไปเผื่อว่ามันอาจจะดังเกินจนเจ้าปีศาจหวนกลับมา ชายหนุ่มหมุนตัวมาเป็นท่าหมอบและคลานไปในทิศทางที่ดวงตากำลังมองเห็นผืนป่าแต่พอใกล้ถึงกลับถูกบังคับให้ต้องแกล้งตายอีกครั้งเพราะเสียงวิ่งเข้าหาตัวอย่างรวดเร็วจากด้านในที่กำลังแสวงหา ลีโอน่าและเจมส์หลุดออกจากเขตป่า ผ่านหน้าของชายหนุ่มผู้โชคดีคนนั้นไปยังต้นกำเนิดเสียงต่อสู้ที่ดังอยู่ด้านในของเต็นท์ที่กำลังมอดไหม้
แส้ที่ถูกตวัดออกไปข้างหน้าเฉือนเนื้อหนังของชายหนุ่มในชุดหมาป่าผู้เคราะห์ร้ายจนหัวกระเด็นไปคนละทิศกับตัว คนแล้วคนเล่ากับร่างไร้วิญญาณที่กองลงกับพื้น ชายหนุ่มผมทองเอียงคอมองร่างเพื่อนสนิทที่ไร้ลมหายใจ เมื่อ 1 ชั่วโมงก่อนยังเห็นร่างเหล่านี้ขยับอย่างมีชีวิตชีวา ชั่งเป็นเรื่องตลกร้ายอะไรแบบนี้ คิดแบบนั้นอยู่ๆ ก็รู้สึกว่าน้ำตามันเอ่อล้นออกมา มือกำที่จับแส้แน่นเท่าที่จะแน่นได้เพราะความโกรธที่เข้าแทนที่อย่างรวดเร็ว และเมื่อหันกลับมาจึงเห็นร่าง 2 คนที่คุ้นตา “คุณหัวหน้าคณะ เกิดอะไรขึ้นคะ?!!” สายตาที่อันตรายค่อยๆ เปลี่ยนไปเมื่อรับรู้ถึงตัวตนที่ไม่เป็นพิษภัยของผู้มาเยือน “พวกคุณปลอดภัยดีนะครับ” แม้จะพูดออกมาแบบนั้นแต่น้ำเสียงก็ยังแฝงไปด้วยอารมณ์ที่รุนแรงและกวัดแกว่ง
“กลุ่มคนพวกนี้...” ลีโอน่าที่กำลังก้มสำรวจร่างไร้วิญญาณของชายวัยกลางคนผู้ที่ขาทั้ง 2 ข้างขาดออกจากกันเช่นเดียวกับมือ ที่หน้าอกมีรูเล็กๆ หลายรู เหมือนกับถูกเข็มขนาดใหญ่แทง อาบามอร์นั่งลงบนกล่องไม้ สีหน้าบ่งบอกความสับสน “ผมและเพื่อนๆ เดินทางไปทั่วทวีป เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มานับไม่ถ้วนแต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดีทุกครั้ง” น้ำตามันไหลไม่หยุด เจมส์มองอาบามอร์ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเห็นใจ ภาพที่กำลังสะท้อนต่อหน้าคือลีโอน่าที่กำลังสวมกอดอาบามอร์และเขาก็เข้าใจเธอดี “คงพอมีคนที่รอดชีวิตอยู่บ้าง พวกเราควรไปช่วยพวกเขา” ลีโอน่าลุกขึ้น ความโกรธแค้นจากอาบามอร์ถ่ายเทมาที่เธอและมันพร้อมที่จะทำให้เธอเป็นผู้สร้างสมดุลคนใหม่
กลิ่นของสายลมที่เปลี่ยนไปเตะจมูกร่างที่กำลังถูกชโลมด้วยแสงแห่งเปลวไฟ กำลังเดินตรงเข้ามาที่เต็นท์ของผู้รอดชีวิตตามคำเชิญ หัวของมนุษย์ผู้โชคดีถูกเขวี้ยงทิ้งลงกลางทางที่มันเริ่มออกวิ่งไปข้างหน้า เร็วขึ้นและเร็วขึ้นอีกจนไปถึงที่หน้าทางเข้าที่มีบางสิ่งลอดออกมาอย่างรวดเร็ว มัวล์เอนหลังกลับด้วยท่าที่เกินมนุษย์จะทำได้พร้อมกันนั้นยังได้กวาดกรงเล็บแหลมไปข้างหน้า ผ้าม่านขาดออกเป็นส่วนๆ ลุกไหม้และปลิวออกไปอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นความว่างเปล่าและกลิ่นความตายกับโล่พลังงานสีขาว
“คือเธอนี่เอง” มัวล์แลบลิ้น สายตาที่มองขนนกสีขาวในมือของลีโอน่าที่ค่อยๆ คลายแสงออกแสดงถึงความอยากเป็นเจ้าของจนตัวสั่น “นี่สินะปีศาจที่ทำให้แอเรียสมีใบหน้าเศร้าหมอง” เจมส์ตั้งท่าแต่เมื่อกำลังจะก้าวออกไปกลับถูกแขนของลีโอน่าขวางไว้ “ศัตรูคนนี้แกร่งเกินไป ให้ฉัน…..” อาบามอร์พุ่งตัวเข้าใส่มัวล์ ฟาดแส้ออกไปข้างหน้าแต่ถูกจับอย่างง่ายดายโดยมือกำยำ “หายไปซะ!!!!” คลื่นไฟสีดำพุ่งตามเส้นแส้และเผาผลาญมัวล์จนมอดไหม้ เป็นเปลวไฟที่ดำอยู่ภายนอกและแฝงสีแดงไว้อย่างน่าประหลาด
อาบามอร์กระตุกแส้กลับมาแต่มันยังตรึงไว้ที่เดิมและนั่นทำให้เขารู้สึกเสียวสันหลังวาบยิ่งเมื่อเห็นแสงสว่างจากด้านหลังและทันใดนั้น ไฟที่คลุมร่างทั้งหมดถูกดีดออกและส่งคลื่นพลังงานที่มองไม่เห็น ทำลายสิ่งก่อสร้างโดยรอบจนกลายเป็นตอตะโกและแม้แต่โล่อันทรงพลังของลีโอน่าก็ถึงกับพังทลายหลังจากรับแรงปะทะ “มูทุค….ขอโทษนะ” เธอค่อยๆ สอดขนนกสีขาวกลับเข้าไปใต้แขนเสื้อและหยิบขนนกสีทองชิ้นหนึ่งออกมาแทน “ใช่แล้ว นั่นแหละคือพลังที่ฉันมองหา!!” มัวล์เบิกตากว้างอย่างสุดแสนน่าขยะแขยง น้ำลายไหลเต็มริมฝีปากที่กำลังแสยะยิ้มกว้างในขณะที่พุ่งตัวเข้าหาลีโอน่าด้วยความเร็วที่ผิดมนุษย์
ตาไม่ได้มองดูต้นกำเนิดแสงจากบนฟากฟ้าในคืนอันดำมืด มัวล์ใช้แขนเพียงข้างเดียวคว้าแส้ที่เขวี้ยงเข้าใส่และกระตุกมันเข้าหาตัวพร้อมทั้งใช้หมัดเสยหน้าของอาบามอร์จนหัวหลุดออกจากตัวที่ร่วงลง ในขณะที่ทุกอย่างดูน่าสะพรึงกลัวสำหรับลีโอน่าแต่เธอมิอาจหยุดสิ่งที่เธอกำลังทำได้ ดวงดาว 9 ดวงถูกอัญเชิญลงมายังผืนโลก 6 ดวงแรงเรียงตัวเป็น 2 แถวอย่างเท่าเทียม 2 ดวงอยู่เหนือขึ้นไปและ 1 ดวงสุดท้ายลอยขึ้นระหว่างกึ่งกลางของส่วนบนและล่าง ร่างกายไร้ตัวตนแปรผันตามอำนาจแห่งมหาเวทย์ ขนสีน้ำตาลหนา ขาบึกบึนและทรงพลัง หน้าท้องมีกล้าม 6 มัดที่ฝังลูกแก้วสีขาวสว่าง เขาทั้ง 2 ม้วนเหมือนลายก้นหอยและที่ส่วนปลายแต่ละข้างมีลูกแก้วสีขาวลอยอยู่ตรงปลายแหลม ปีกสีขาวเรืองแสงในเงามืด ใบหน้าดุดันส่งอายร้อนจากปากที่อ้ากว้าง หูยาวห้อยลงระหว่างลำคอที่หนากว้าง ดวงตาสีแดงที่จ้องมองร่างที่กำลังวิ่งเข้าใส่อย่างนิ่งสงบกระแทกแขนอันทรงพลังลงกับพื้น ก่อให้เกิดคลื่นสั่นสะเทือนไม่ต่างจากแผ่นดินไหวระดับสูง บังคับให้มัวล์ต้องกระโดดขึ้นฟ้าแต่สิ่งไร้ปีกก็ต้องเหยียบผืนดินเช่นเดิม
ทันทีที่ขาของมัลน์แตะพื้น เขากลิ้งตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่พื้นดินตรงนั้นเกิดหลุมขนาดใหญ่ มัลน์ลุกขึ้นอย่างกระฉับกระเฉง เขาวิ่งตรงเข้าใส่เจ้าปีศาจยักษ์อย่างไม่เกรงกลัว ความเร็วที่เหนือมนุษย์ทำให้แม้แต่ผืนดินที่ยุบลงอย่างกะทันหันก็ไม่อาจหยุดเขาผู้กระโดดข้ามช่องว่างขนาดใหญ่ได้แต่ก็เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ รอยแยกปรากฏขึ้นต่อหน้า ไม่มีพื้นให้เขาเหยียบอีกต่อไป ลีโอน่ามองดูจิ้งหรีดตัวกระจ้อยที่ร่วงหายไปในรอยแยกที่ปิดลงอีกครั้ง ในใจของเธอยังกระวนกระวายไม่เปลี่ยน
“รับนี่ไปค่ะ” ลีโอน่ายื่นขนนกสีขาวให้เจมส์ มือของเธอถูกขยับกลับไปที่ข้างตัว สัมผัสอันอบอุ่นจากชายคนรักที่กำลังประสานมือของเธอเป็นหนึ่ง มันคือสัญญาใจที่ไม่อาจถูกทำลาย เมื่อมีเธอก็ต้องมีเขา จะอยู่ด้วยกันตลอดไปไม่ว่าที่ใดจะไม่พรากจากกัน รอยยิ้มของเจมส์ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยทุกครั้งที่ได้เห็น เสียงขู่ในลำคอของสัตว์ประหลาดร่างยักษ์เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าดวงจิตใต้ผืนดินยังไม่ถูกทำลาย “ซูรัวท์??” ทันทีที่ความสงสัยบังเกิด ซูรัวท์กระทืบขาที่ทำให้เกิดคลื่นสะเทือนขนาดมหึมาอีกครั้งแต่แล้วมันก็คว้าตัวลีโอน่าและเจมส์ด้วยความเร็วพร้อมทั้งชกแขนลงที่พื้นที่ตรงนั้นที่เธอเคยยืนอย่างแรง ส่งร่างที่เพิ่งโผล่พ้นดินจนได้ยินเสียงกระดูกหักและเสียงระเบิดจากแรงกระแทก ซูรัวท์กระโดดและบินเหนือฟ้า สิ่งที่พวกเขามองเห็นคือกองเลือดขนาดใหญ่บนพื้นและเครื่องในที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ซูรัวท์บินลงบนพื้นห่างจากกองเลือดพอสมควรก่อนจะกลายเป็นก้อนดาวดังเดิมและหายไปบนฟากฟ้า
ลีโอน่ารู้ทั้งรู้ว่าป่วยการที่จะช่วยเหลือแต่ก็วิ่งเข้าไปดูสภาพของอาบามอร์ หัวและตัวที่แยกออกจากกันทำให้เธอได้แต่ยืนมองด้วยความอาลัย “ผมไม่คิดว่าจะมีใครเหลือรอดแล้วนะครับ เพราะงั้นพวกเราเองก็รีบกลับกันเถอะ” เจมส์กล่าวอย่างเป็นกังวล กลิ่นความตายที่เพิ่มมา 2 ไม่ได้ช่วยยืนยันความปลอดภัยของพวกเขาและนั่นเขารู้ดีว่าควรทำเช่นไรต่อไป ลีโอน่าหยิบขนนกสีขาวขึ้นมาแต่ยังไม่ทันได้เรียกก็ชะงักไปดื้อๆ เจมส์มองหน้าของเธอแล้วรู้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติยิ่งเมื่อเห็นใบหน้าแหลมออกมาเล็กน้อยที่ด้านหลังของผู้เป็นภรรยา “ลีโอน่า!!!” เจมส์เบิกตากว้าง เขาจับอาวุธและวิ่งออกไปข้างหน้า มองเห็นร่างที่ล้มลงกับพื้นก่อนจะถูกกรงเล็บแหลมปาดดาบจนขาดออกเป็นส่วนๆ และมันตะปบลงบนใบหน้าของเขา ความเจ็บปวดอยู่เพียงเสี้ยวอึดใจก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบไป เงียบไปหมด
ณ คฤหาสน์ตระกูลอัลเบอร์โต ค่ำคืนที่ไร้แสงจันทร์ภายในห้องนอนที่เปิดหน้าต่างรับลม นัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลจ้องมองเด็กสาวผู้หลับใหลบนเตียงจากอีกฟากในเงามืดของมุมห้อง พอรู้ว่าเธอหลับสนิทแล้วก็จึงค่อยๆ ลุกขึ้น ย่องไปที่บานหน้าต่างนั้นและเตรียมที่จะปิดมันทว่า ในเงามืดของบรรยากาศภายนอก ท้องฟ้าที่อาบด้วยน้ำหมึกสีน้ำเงินมีประกายแสงที่ลอยตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว เป็นแสงดวงใหญ่ที่ทำให้ปืนที่เหน็บข้างเอวถูกยกขึ้น เตรียมจัดการกับสิ่งแปลกปลอมตรงหน้าแต่ว่าสิ่งนั้นมันหายไปเหมือนรับรู้ถึงอันตราย จะว่าไปทำไมห้องนอนมันเปล่งแสงสว่างอย่างน่าประหลาด กระบอกปืนถูกเล็งไปที่เป้าหมายอย่างรวดเร็วและชัดเจนแต่พอมองดูให้ดี เมื่อแสงสว่างก้อนโตดับแสงลง มันคือขนนกสีทอง 1 ชิ้น และกลุ่มขนนกสีขาวอีกจำนวนหนึ่งที่วางบนหน้าอกที่ถูกคลุมด้วยผ้าห่มของเด็กสาวตัวน้อย ดวงตาที่เบิกกว้างของนิโคลัสเป็นข้อความที่ชัดเจนแล้วว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับเจ้าของขนนกเหล่านี้ โดยเฉพาะขนนกสีทองชิ้นนั้นที่มันเปรอะเปื้อนสีแดงของเลือด
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 270
แสดงความคิดเห็น