คำสาบานคงอยู่แม้ไร้ลม
เสียงหอบหายใจ ไม่ใช่จากหนึ่งแต่มากมาย เหมือนขามันชาแต่ก็ต้องฝืนเพราะเสียงที่ดังตามหลัง เหมือนภูเขาไฟระเบิด สัมผัสของผืนดินที่สั่นสะเทือน ความตายกำลังไล่ตามมา เด็กหนุ่มขายาว ดวงตาจดจ้องด้านหน้า มีคนมากมายกำลังวิ่งนำไป แต่ก็มีบางคนที่หมดกำลังบ้าง สะดุดบ้าง ไม่มีเวลาหันไปมอง อาจเพราะไม่อยากมองเพราะเสียงกรีดร้องที่ตามหลังมาก็เพียงพอแล้ว ลำธารน้ำใสไหลเอ่อล้นบนใบหน้า เสมือนตัวแทนบอกลา ไม่อาจคืนกลับมา
เริ่มจากพันรอดเพียงสิบ ทั้งเหมันต์ชั่วนิรันด์และความตายอันใหญ่ยักษ์ พวกมันไล่ตาม กัดกินชีวิตนี้ดับสลาย กลับมิอาจหยุดฝันอันยิ่งใหญ่ จากบ้านมาไกลแสนคณา จะหวนกลับคืนหาใช่เลือกได้ เมื่อสวรรค์ไม่ทรงเมตตา ก็จงลิขิตชะตาตน บทกลอนแห่งความตาย อยู่ๆ ก็หลั่งไหลออกมาในหัว คล้ายกับจะบอกให้หยุด ยอมแพ้ต่อโชคชะตาเสีย
เด็กหนุ่มกัดฟันแน่น รู้ว่าขาทั้งสองดับสิ้นแล้วจึงกระโดด เอาให้ไกลที่สุด คิดเสียว่าอย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่ตัวเองทำได้เป็นครั้งสุดท้าย หน้าครูดไปกับทุ่งหญ้าอย่างแรงจนรู้สึกเจ็บ แต่คงอีกไม่นานแล้วสินะที่ความเจ็บนี้จะจบลง เขาไม่มีแรงแม้แต่จะลุกยืน เอียงคอกลับไปเล็กน้อย แม้จะเลือนรางแต่นั่น เจ้าของเสียงราวกับภูเขาไฟปะทุ ขายาวใหญ่ สูงไม่ต่ำกว่าตึงสองชั้น สีฟ้าค่อนไปขาวราวกับมีหิมะคลุมกำลังก้มตัวลง เขมือบบางสิ่งตรงหน้าด้วยปากกลมและฟันแหลมหลายชุด เสียงกรีดร้องดังเพียงชั่วครู่ เหมือนความเจ็บปวดทั้งหมดนั้นจางหายไปแล้ว และมันจะเกิดกับเขาเช่นกัน
“เพรนิควี จะทำบ้าอะไร!!!!” เสียงชายหนุ่มหลายสิบคนพร้อมใจกันตะโกน ฟังดูคงไม่ได้อยู่ไกลจากตรงนี้นัก เพียงชั่วครู่ก็เหมือนตัวกำลังถูกยกขึ้นพาดใหล่ “ปิดตาไว้ เจ้าหนุ่ม!!” เด็กหนุ่มรีบทำตามคำสั่งทันใด คงเพราะความกลัว บวกกับเสียงบดเคี้ยวที่ถูกแทนที่ด้วยเสียงอื่น มันกำลังตรงมา ใกล้เข้ามา หนีไม่พ้นแล้ว!! เปรี้ยง!! แสงสีขาวกับเสียงที่ดังกระหึ่ม แต่ขาทั้งสองคู่ก็ยังเคลื่อนออกไปข้างหน้า แต่ความเร็วของเพรนิควี ช้าลงมาก ‘เพราะข้าสินะ’ แสงสีขาวส่องประกายอีกครั้ง มันสว่างจนต้องลืมตาขึ้นมอง เจ้าปีศาจขายาว ส่วนหัวกำลังลุกไหม้เพียงเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่หยุดเดิน ใกล้เข้ามาอีกแล้ว มันใกล้เข้ามาอีกแล้ว เสี้ยววินาทีที่มันกำลังโงนส่วนหัวลงมา ทำให้เด็กหนุ่มขนลุกชันด้วยความตายที่ส่งกลิ่นโชยมาจากด้านบน
“อ๊ะ!!” นั่นเป็นคำอุทานเพียงสั้นๆ เพราะไม่ทันตั้งตัวที่ตัวเองถูกแรงลมมหึมาซัดเข้าใส่จนปลิวออกไปไกล เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืน ใบหน้าแหงนขึ้นมองปากขนาดใหญ่ที่กำลังเปิดอ้า เขาหลับตาลง ท่ามกลางกลุ่มคนที่ยืนมองการตัดสินใจอันแน่วแน่ของคนรุ่นหนุ่มก่อนจะเริ่มวิ่งออกไปอีกครั้ง คลื่นลมผิดธรรมชาติปรากฏขึ้นที่บริเวณที่เขายืน เป็นกำลังเฮือกสุดท้ายที่ทำได้ ไม่นานเสียงหวีดร้องด้วยความเจ็บปวดก็ดังขึ้นมา แต่เพียงชั่วครู่ ตามด้วยเสียงของกระดูกและร่างกายที่ถูกบด ไม่ใช่เสียงที่น่าอภภิรมณ์เท่าไหร่นัก ยิ่งในสถานการณ์เช่นนี้ที่ต้องหันหลังให้กับการเสียสละอันยิ่งใหญ่ ยิ่งทำให้รู้สึกว่าต้องทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองรอดให้ไวที่สุด ไม่งั้นก็ไม่อยากตายเพราะคงอายเด็กหนุ่มคนนั้นน่าดู
จากพื้นน้ำแข็งที่เย็นจับใจแปรเปลี่ยนเป็นผืนดินไร้ชีวิต จากการวิ่งเริ่มเปลี่ยนเป็นเดิน จากเดินเป็นคลาน เหลียวมองข้างหลังไม่เห็นสิ่งใดแล้ว ความตาย ความตายมันไม่ตามมาแล้ว “ห้ามหยุดนะ!!” เพรนิควีตะโกนแต่เหมือนตัวเองก็ไม่ไหวเหมือนกันเพราะลุกขึ้นได้ไม่กี่วิก็ล้มลงกับพื้นอีกครั้ง ขามันสั่นไปหมด “พักก่อนเถอะท่าน” “ถึงข้าจะอยากวิ่งต่อ แต่สังขารข้ามันไปไม่ไหวแล้วจริงๆ” ชายสองในสิบกว่าคนกล่าวแบบนั้นก่อนจะมองออกไปโดยรอบ ชายฉกรรพ์และวัยกลางคนส่วนน้อยล้วนแต่ส่งเสียงหอบหายใจ “อีกอย่างถึงพวกเราจะรอดจากทวีปบ้านั่นได้แต่ก็สร้างหมู่บ้านไม่ได้แล้วล่ะ ก็ไม่มีผู้หญิงเหลือแล้ว” ฟังเหมือนตลกแต่โทนเสียงของผู้พูดกับการตอบสนองโดยรอบกลับตรงข้าม “นี่เจ้ามองอนาคตถึงการสืบตระกูลเลยรึเจ้าบ้า ฮ่าๆๆ เจ้าพวกอ่อนประสบการณ์เอ๊ย” ชายวันกลางคนหัวเราะกลบเกลื่อนบรรยากาศ แต่เป็นเขาคนเดียวที่หัวเราะออกมาได้ และเสียงของเขามันดังอยู่เพียงชั่วครู่เท่านั้น
เพรนิควีนั่งลงกับพื้น ใบหน้ามองตรงไปที่ผืนน้ำแข็งข้างหน้าไกลริบ “ไปได้แล้ว” เพรนิควีลุกขึ้นเดินนำไปข้างหน้า ผ่านไปไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ แต่แล้วก็ล้มลงราวกับขาถูกใครเตะอย่างแรง หน้าคะมำกันไปแทบจะพร้อมกัน เพรนิควีมองร่างเพื่อนร่วมทางที่ต่างหมดสภาพ พอมองขาตัวเองจึงรู้ว่ามันกำลังสั่นจนเหมือนมีแผ่นดินไหว เขาหันกลับไปมองที่อีกฟากที่หนีตายมา ไม่มีวี่แววของภูเขาลูกใหญ่จะตามมา ‘ช่วยไม่ได้’ เพรนิควีทิ้งตัวลงบ้าง รู้สึกว่าแสงแดดบนฟ้าตอนนี้ชั่งแสบตาเหลือเกิน หลับตา เขาหลับตาลง ในความฝันที่เขายืนอยู่ภายในป่าประหลาด ลำต้นไม้กว้างราวกับบ้านหลังหนึ่งก็ไม่ปาน ต้นหญ้าสูงและยาวราวกับคอยีราฟ เขามองดูบ้านเรือนนับสิบ ทำจากใบหน้ายักษ์ ชีวิตนับร้อยกำลังทำกิจวัตรประจำวันตามปกติแต่แล้วรู้สึกไหว เป็นแผ่นดินไหวไม่ผิดแน่ที่ทำให้ขาทั้งสองสั่นได้มากขนาดนี้ แหงนหน้าขึ้นมองเพราะท้องฟ้าที่ดับแสง เห็นเพียงสีดำกำลังตกลงมา....กลิ่นไหม้?
เพรนิควีดีดตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว มือทั้งสองตั้งท่าเตรียมปะทะ แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่าและแสงแดดจ้าบนหัว กระนั้นก็ยังได้กลิ่นไหมัชัดเจน หันกลับไปจึงเห็นกองไฟขนาดใหญ่กับซากสัตว์เสียบไม้ กลุ่มชายผู้ติดตามกำลังสวาปามอาหารมื้อแรกกันอย่างมุมมาม เป็นภาพที่เรียกรอยยิ้มให้เพรนิควีได้พอสมควร
“อ่ะ ของท่าน” เนื้อสัตว์กำลังสุกได้ที่ถูกยื่นจ่อหน้าเพรนิควีที่พยายามสลัดหัวไปมาเพื่อคลายอาการมึนหัว “ขอบใจ กรีแฟน”
ถึงจะรู้สึกปลอดภัยแต่ก็ไม่เต็มที่ จึงต้องเดินทางกันต่อไป เอาให้ไกลที่สุด จากบ่ายจนถึงเที่ยงของอีกวัน เริ่มมองเห็นภูเขาไฟหลายลูกตั้งตระหง่าน ไอร้อนยังปะทุออกมาไม่ขาดสาย พื้นที่เบื้องล่างภูเขาไฟดำเมื่อมเหมือนกับทางผ่านของลำธารลาวา ทุ่งหญ้าตรงหน้ายังคงกว้างใหญ่ กว้างเกินกว่าจะหาจุดจบเจอ เพรนิควีปักธงพักอีกครั้ง มอบหมายหน้าที่ให้แต่ละคนทำ ตัวเขาออกวิ่ง วนไปรอบๆ จนครบวงจึงเดินมาที่กองไฟที่กำลังถูกจุดกับซากสัตว์จำนวนหนึ่ง เขาเหยียบลงบนก้อนหินก้อนหนึ่ง ใบหน้าแหงนมองท้องฟ้า มันเป็นท้องฟ้าสีครามที่ไม่ได้งดงามที่สุด แต่ก็เป็นผืนฟ้าอีกแห่งที่เขาไม่เคยมา “จากนี้ไป” คำพูดลอยๆ ของเพรนิควีเรียกความสนใจของทุกคนจนต้องหยุดทุกการทกระทำพร้อมหันหน้ามองไปที่เขาคนนั้น “จะไม่มีราชาที่พวกเจ้ารู้จักอีกต่อไป นับจากนี้ข้า และพวกเจ้ามีเป้าหมายเดียวกันคือการกำจัดพระเจ้า” เขาเน้นเสียง “การเสียสละของเพื่อนและพี่น้องของพวกเราจะไม่สูญเปล่า” น้ำตาหลั่งรินรดแก้มของผู้กล่าว แผ่นหลังนั้นยังจำได้ดี “แสดงให้พระองค์ผู้ต้องการทำลายเราได้เห็นว่าเราแข็งแกร่งกว่าชะตาที่พระองค์ทรงลิขิตให้พวกเรา!!!” เสียงโห่ร้องด้วยความฮึกเหิมจากผู้เฉียดความตาย ทรงพลังเสียจนแม้แต่สัตว์ที่หลบซ่อนอยู่โดยรอบก็สัมผัสได้ถึงความแค้นภายในจิตใจของพวกเขา หนึ่งในนั้นกำลังยิ้มให้จากภายในส่วนลึกของเงาใบไม้ “ขอต้อนรับสู่สวรรค์”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 283
แสดงความคิดเห็น