บ้านร้างในป่าลึก

-A A +A

บ้านร้างในป่าลึก

          การจากไปของกลุ่มนักเรียนปริศนาคืนความครึกครื้นอีกครั้ง   ส่วนใหญ่ต่างกำลังต่อยอดสิ่งที่ได้รับสาส์นมา   “เจ้าชายฟรานซิสโก้มาที่โรงเรียนนี้จริงๆ หรือ?”   “ใช่สิ   เรื่องใหญ่เลยนายรู้ไหม?”   “ใช่ๆ สาขาฉันส่งคนตามหากันวุ่น   สาขานายล่ะ?”   “เงียบกริบ   ฉันว่าสาขาแพะค่อนข้างแตกต่างจาก   3   สาขาที่เหลือ”   แม้โทมัสจะไม่แสดงอารมณ์ผ่านใบหน้าเยือกเย็นแต่ซาคาเรียสสามารถรับรู้ได้จากใบหูที่แดงขึ้นอย่างชัดเจน   “วันนี้ทรงผมไม่ค่อยสวยเลยนะครับ”   ซาคาเรียสปัดเส้นผมยาวสีดำจนคลุมใบหูทั้งสอง   แม้จะตกใจอยู่บ้างแต่ก็ปล่อยให้อีกฝ่ายทำไป

          ประตูห้องเปิดออก   ก็ยังไม่ใช่ผู้สวมชุดอาจารย์   ผมหางม้าสองจุก   เป็นลอน   สีของเปลวกุหลาบ   ขาเรียวยาวหุ้มรองเท้าหนังสัตว์อย่างดีแตะลงบนเวที   “สวัสดีค่ะ”   เธอกล่าวท่ามกลางใบหน้าอันสับสนและงุนงงกับการปรากฏตัวของเธอ   “ดิฉันเลดี้สตาร์ลิน จูปิตัน   เป็นคู่หมั้นในอนาคตของเจ้าชายฟรานซิสโก้”   เสียงตอบรับจากทุกคนคือความเงียบกริบอันน่าตกใจกระนั้นใบหน้านั้นก็ยังมั่นคง   “หากใครรู้ว่าเจ้าชายฟรานซิสโก้เป็นใคร   ให้ติดต่อดิฉันเพียงคนเดียว   ดิฉันขอย้ำว่าให้ติดต่อดิฉันเพียงคนเดียว   ไม่ใช่นักเรียนที่มาจากตระกูลซานเชส   ขอบคุณค่ะ”   เธอหายไปจากห้องราวกับตัวตนที่ถูกสร้างจากธาตุอากาศ   ไม่มีใครปรบมือ   โห่ร้องหรือแม้แต่เสียงตะโกนก็ไม่มี

          ซาคาเรียสรู้สึกเหมือนหน้าตัวเองมันตึง   ไร้ความรู้สึกไปหมด   ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องตัวเองแต่กลับมีคำถามมากมาย   ยิ่งเมื่อกำลังมองเห็นใบหน้าเยือกเย็นของโทมัสปรากฏความสับสนอย่างรุนแรง   “เจ้าชายฟรานซิสโก้เนื้อหอมจริงๆ เลยนะครับ”   ซาคาเรียสหัวเราะในลำคอ   “เนื้อหอมขนาดที่มีคู่หมั้นตั้งแต่ยังวัยเยาว์   ผมว่าเจ้าชายฟรานซิสโก้คงกำลังยิ้มอยู่ที่มุมไหนสักแห่งในโรงเรียนแน่เลยครับ”   วิลเลี่ยมกล่าวกับซาคาเรียสก็จริงแต่ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังจิกกัดเขาอยู่   ไม่ชอบใจ   โทมัสแสดงออกผ่านสีหน้าอย่างชัดเจน   “นี่พวกนาย!!   ดูเหมือนพวกนายจะมีข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้คุมประชาชนของพวกเรากำลังตามหา   ใช่ไหม?”   นักเรียนที่นั่งข้างหน้าหันมาถามเชิงหาเรื่อง   “ไม่หรอกครับ   พวกเราก็แค่อยากลองพูดตามคนอื่นบ้างครับ”   วิลเลี่ยมยิ้มตอบ   “ใช่ครับๆ”   ซาคาเรียสเสริม   “งั้นรึ?   ถ้าเกิดรู้อะไรขึ้นมา   บอกพวกฉัน   เข้าใจไหม?”   วิลเลี่ยมพยักหน้า   “คุยกันเสร็จแล้วนะครับ?”   เสียงที่ดังจากบนเวทีทำลายทุกเสียงและดึงความสนใจของทุกคนให้หันไปมองในทิศทางเดียวกัน   ชายในชุดหนังดำมันเลื่อม   สวมหมวกคาวบอยและผ้าปิดปากสีเดียวกับชุด   มองเห็นเพียงประกายสว่างของดวงตาสีฟ้าในเงามืดที่ถูกสร้างจากส่วนหน้าของหมวก   คำถามอันน่าสงสัยเกิดขึ้นกับทุกคนไม่เว้นแม้กระทั่งโทมัสที่มีสายตาล็อกอยู่บนเวทีว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?   ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ชายปริศนาคนนั้นยืนอยู่บนเวที?

          ร่างนั้นใช้เวลากับกระดานดำอยู่พักใหญ่ก่อนจะหยุดกดชอล์ก   หันกลับมามองที่นักเรียน   “วิชาศาสตร์ธาตุพื้นฐานขอต้อนรับครับ”   ด้านหลังคือประโยคยาวที่ไม่สามารถจับใจความได้ว่ามีความหมายเช่นไร   “นักเรียนทุกคนยืน!”   ในขณะที่กำลังแสดงความเคารพ   โทมัสเห็นสายตาของชายชุดดำที่กำลังจ้องมาที่ตน   แม้ไม่เห็นริมฝีปากแต่รู้สึกว่ามันขยับและเปล่งเสียงบางอย่างออกมาแต่ไม่รู้ว่าพูดอะไร

          “วิชาศาสตร์ธาตุพื้นฐานแบ่งการสอนเป็น   2   ชั้นเรียนคือชั้นเรียนภาคทฤษฎีและชั้นเรียนภาคปฏิบัติ   เริ่มเรียนภาคทฤษฎี   8   โมงเช้าจนถึงเที่ยงส่วนภาคปฏิบัติจะเป็นช่วงบ่ายสองจนถึงหกโมงเย็นของวันอังคารครับ”   นิโคลัสใช้ผ้าลบข้อความเดิมทิ้งก่อนจะเริ่มเขียนข้อความใหม่ลงไป   “ธาตุคือส่วนประกอบในธรรมชาติ   ดินคือปฐพี   น้ำคือมหาสมุทร   ลมคืออากาศและไฟคือแสงแดดและความร้อน….”   นิโคลัสหยุดเขียนกระดาน   ค้างอยู่ในท่านั้นครู่หนึ่งก่อนจะหยิบหนังสือขนาดเหมาะมือขึ้นมาเปิดอ่าน   “....สัตว์ทุกชนิดในโลกรวมถึงมนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่ล้วนแต่มีธาตุอยู่ในตัว...เอ่อ...ซึ่งพวกเขา....อืม...ส่วนใหญ่จะมี   1   ถึง   4   ธาตุ....”   นิโคลัสปิดหนังสือพร้อมสอดมันกลับเข้าที่เดิม   “สรุปก็คือมีธาตุอยู่   4   ชนิดและพวกคุณที่นั่งอยู่ในนี้ทุกคนมีพลังธาตุไฟ   เข้าใจนะครับ”   นิโคลัสสรุปตามความเข้าใจแต่ไม่ช่วยให้นักเรียนส่วนใหญ่หยุดแสดงสีหน้างุนงงกับข้อมูลลอยๆ ได้เลย

          นิโคลัสยกมือทั้งสองข้างขึ้นก่อนจะปรากฏเปลวไฟสีแดงลุกไหม้   “มนุษย์ควบคุมพลังธาตุจากบรรยากาศภายนอกด้วยพลังจิต   สิ่งพื้นฐานที่พระเจ้าประทานให้มนุษย์ทุกคน”   ไฟลามจนทั่วแขน   โทมัสสังเกตเห็นแขนเสื้อของชุดหนังดำไม่ละลายตามความร้อนของไฟที่พวยพุ่งสู่อากาศ   “พลังจิตคืออะไร?   หลายคนคงเคยได้ยินรูปแบบพลังจิตมาบ้างเช่นการอ่านใจ   สะกดจิตหรือแม้แต่การเคลื่อนที่สิ่งของ”   ไฟบนมือข้างหนึ่งแยกออกจากต้นกำเนิด   กลายเป็นก้อนไฟกลมขนาดเท่าลูกแก้ว   หมุนรอบตัวเขาราวกับห่วงไฟ   “พลังจิตที่พวกคุณมีถึงจะไม่สามารถควบคุมสิ่งของให้ลอยไปมาได้เหมือนที่ผมทำให้ลูกไฟลอยรอบตัวแต่เชื่อเถอะว่ามันสามารถทำให้พวกคุณจุดไฟบนนิ้วใดนิ้วหนึ่งได้แน่นอนครับ”  

          ความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ของพฤติกรรมนักเรียนส่วนใหญ่หลังจบชั่วโมงเรียน   บางกลุ่มที่พยายามเร่งฝีเท้าและเดินเบียดเสียดนักเรียนคนอื่น   หวังจะได้ออกจากห้องเรียนโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ปรากฏอยู่ในนัยน์ตาสีเงินคมเข้มที่กำลังสังเกตการณ์อย่างเงียบงัน   “พวกเราก็ไปกันเลยไหมครับ?”   วิลเลี่ยมกล่าวกับซาคาเรียสก็จริงแต่นัยน์ตาคู่นั้นเหมือนกำลังเหล่มองที่คนข้างๆ   “ผม...ผมก็แล้วแต่โทมัสเลยครับ”   ซาคาเรียสเริ่มรู้สึกถึงความอึดอัดของการเป็นคนกลาง   สุดท้ายพวกเขาก็ไปด้วยกันจนได้   สถานะความสัมพันธ์อันคลุมเครือ   ไม่ใช่ทั้งเพื่อนและคนแปลกหน้าแต่กลับเลือกที่จะก้าวเดินไปด้วยกันอย่างเงียบสงบ

          “คุณโทมัส   คุณซาคาเรียส   สนใจเปลี่ยนสถานที่ใหม่ครับ?”   ยังไม่ทันถึงที่นั่งเดิมก็ได้ยินเสียงแนะนำที่คุ้นหู   โทมัสหันมองวิลเลี่ยม   รอยยิ้มอันแสนน่าหงุดหงิดทำให้เขาไม่ลังเลที่จะปฏิเสธหากไม่ใช่เพราะซาคาเรียสที่ดูจะตื่นเต้นกว่าใครเพื่อน   “ครับ”   โทมัสฝืนตอบรับแบบขอไปที   ในใจคิดว่าบางทีวิลเลี่ยมอาจจะพาเขาไปที่โรงอาหารอีกที่ที่เขายังไม่เคยไป   ไม่รู้เพราะความอยากรู้อยากเห็นหรือเพราะอยากให้ซาคาเรียสมีความสุขกันแน่ที่ทำให้เขายอมลอยไปตามลม  

          เดินลึกเข้าไปในป่า   ไกลจากชานอาคารไวเวิร์นพอสมควร   ที่สุดก็มาถึงเขตลานหญ้า   โทมัสกวาดมองบรรยากาศโดยรอบอย่างสุขุม   หยุดที่บ้านหลังหนึ่ง   คล้ายจะเป็นบ้านร้าง   ‘ที่นี่?’   ส่วนหน้าของบ้าน   โทมัสเห็นรอยแตกเป็นรูคล้ายถูกของมีคมทิ่มลงและยังมีรอยข่วนบนผนังบ้าน   เสียงหลอนประสาทในยามที่เท้าของวิลเลี่ยมทิ้งน้ำหนักลงบนชานบ้าน   “ที่นี่คือบ้านร้างหรือครับ?”   ซาคาเรียสมองสิ่งก่อสร้างที่ใกล้พังตรงหน้าอย่างเป็นกังวล   “ถึงจะเก่าไปหน่อยแต่ด้านในสวยงามใช้ได้เลยนะครับ”   วิลเลี่ยมถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป   ทั้งโทมัสและซาคาเรียสต่างต้องตกตะลึงกับภาพด้านในไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์หรือเครื่องประดับที่มีสภาพใหม่   แตกต่างจากโครงสร้างภายนอกราวกับคนละมิติ   เป็นไปอย่างที่วิลเลี่ยมกล่าวไว้ไม่มีผิด

          โทมัสมองสำรวจสิ่งต่างๆ ตามนิสัย   พอมาถึงที่บนโต๊ะไม้นั้น   สิ่งหนึ่งที่เด่นสะดุดตาเขาจนต้องเกิดคำถามไม่ใช่ผ้าคลุมแดงเหนือโต๊ะแต่เป็นสำรับอาหารปริศนา   เหมือนกับว่ามีใครนอกจากพวกเขาเคยอยู่ที่นี่   มองด้วยตาเปล่าก็พอเข้าใจได้ว่าสำรับอาหารนี้ไม่ใช่ของเมื่อวานแต่อย่างใด   ยิ่งเมื่อเห็นท่าทางของวิลเลี่ยมที่กำลังมองสำรับอาหารปริศนา   อึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะเหลือบตามองประตูไม้ที่ติดกับโต๊ะ    “เชิญนั่งก่อนครับ”   วิลเลี่ยมหันกลับมาพร้อมรอยยิ้มที่ถูกปั้นขึ้นอีกครั้ง   เขาเก็บกล่องอาหารนั้น   นำไปวางไว้ที่อื่น   แม้การกระทำของวิลเลี่ยมจะดูมีพิรุธแต่ก็ไม่มีใครถามอะไรออกไป  

          “ที่นี่เป็นเหมือนที่พักกลางวันส่วนตัวของผมกับเพื่อนอีกคนครับ   ถ้าพวกคุณสนใจจะใช้งานที่นี่เมื่อไหร่ก็ได้เลยนะครับ   ตามสบายเลย”   สิ่งที่วิลเลี่ยมอธิบายยิ่งทำให้ข้อสงสัยของโทมัสหนักแน่นยิ่งขึ้นและบางทีเพื่อนที่วิลเลี่ยมหมายถึงอาจอยู่หลังประตูบานนั้น….   “ที่นี่คือบ้านพักอาจารย์เก่าหรือครับ?”   โทมัสรู้สึกเหมือนสติถูกดึงเพราะเสียงคำถามจากซาคาเรียส   “ประมาณนั้นครับ”   โทมัสมองริมฝีปากที่ขยับไปมาของวิลเลี่ยมในขณะที่อีกฝ่ายกำลังพูดราวกับกำลังพยายามอ่านใจ   “เอาล่ะ   เรามารับประทานอาหารกันดีกว่านะครับ”   วิลเลี่ยมหยิบกล่องอาหารส่วนตัวจากกระเป๋าหนัง   ส่วนพวกโทมัสเองก็ใช้วิธีการที่แตกต่างออกไป  

          ในความเงียบสงบที่พวกเขาได้ยินแต่เสียงเครื่องรับประทานอาหาร   มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ที่หางตาของโทมัสจะมองเห็นว่าวิลเลี่ยมมักเหล่ตามองที่ประตูนั้นบ่อยมากจนน่าสงสัยและหงุดหงิดในเวลาเดียวกัน   “มีอะไรหรือเปล่าครับ?”   ซาคาเรียสเริ่มจับสังเกตได้   “เปล่าครับๆ”   วิลเลี่ยมยิ้มกลบเกลื่อน   เขามองกล่องอาหารของโทมัสและขมวดคิ้ว   “เหมือนคุณจะไม่ชอบผักเอาซะเลยนะครับ”   วิลเลี่ยมชำเลืองมองส้อมที่กำลังเขี่ยชิ้นส่วนสีเขียวไปกองข้างกล่องสำรับอาหารพลันเผยรอยยิ้มที่มุมปาก   “ผมขอได้ไหมครับ?”   มือที่ถือส้อมหยุดชะงักอยู่กลางอากาศก่อนที่โทมัสจะชำเลืองมองไปที่ใบหน้าของวิลเลี่ยมด้วยแววตาเรียบนิ่งหากแต่สะท้อนความสงสัยที่เอ่อล้นอยู่ภายใน   “ครับ”   วิลเลี่ยมตักของโปรดสีเขียวจากสำรับอาหารของโทมัสอย่างสำรวม  

          “ทำไมคุณถึงไม่รับประทานอาหารที่โรงอาหารครับ?”   ใบหน้าที่กำลังยิ้มแย้มอย่างมีความสุขถอดสีในทันที   วิลเลี่ยมก้มหน้าลงครู่หนึ่งก่อนจะแหงนขึ้นมาอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มที่ปั้นขึ้น   “กระผมแค่ไม่ชอบความแออัดของที่นั่น”   นัยน์ตาที่มองจ้องกันและกันหากแต่ภาพที่ฉายผ่านพวกมันกลับแตกต่างโดยสิ้นเชิง

 

          ช่วงบ่ายของการเรียนในห้องเรียน   312   นิโคลัสยืนรอนักเรียนของเขาที่กำลังเดินจับจองที่นั่งอย่างเงียบสงบ   นิโคลัสกวาดสายตาไปโดยรอบห้อง   พอเห็นว่าทุกคนมาครบแล้วจึงเริ่มการสอนสำหรับภาคปฏิบัติ   “พวกคุณรู้ไหมครับว่าไฟคือธาตุที่อันตรายที่สุดในบรรดาธาตุทั้ง   4?”   ประโยคของนิโคลัสสเรียกความสนใจของนักเรียนได้อย่างน่าเหลือเชื่อ   “การจุดไฟขึ้นบนร่างกายในแต่ละครั้ง   ผู้ควบคุมไฟต้องทนความร้อนของมันให้ได้ครับ”   นิโคลัสหยิบวัตถุทรงกลม   คล้ายลูกแก้วใสขนาดเหมาะมือ   ยกมันขึ้นในระดับศีรษะก่อนจะขว้างมันออกไปข้างหน้าด้วยความแรงที่น่าเหลือเชื่อปะทะเข้ากับบานประตูไม้   เกิดระเบิดคลื่นไฟที่ถาโถมเข้าใส่นักเรียนแถวหลังเวทีโดยไม่ให้โอกาสได้ไหวตัวหนีการมาถึงของมัน   เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจอย่างสุดขีด   ตามมาด้วยเสียงเก้าอี้ล้มระเนระนาดและเพียงพริบตาเดียว   นักเรียนทั้งหมดมาหยุดยืนหอบหายใจอยู่บนเวทีไม้เสียแล้ว   “นี่คุณจะฆ่าพวกเราหรือไง!!?”   จากหนึ่งเสียงก่อให้เกิดเสียงอีกมากมายจนกลายเป็นการประท้วงขึ้นมา   กระนั้นอาจารย์ชุดดำก็ไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านกับผลงานของตนที่ทำให้พื้นที่ในห้องเรียนจมอยู่ใน ทะเลเพลิงสีแดง  

          นิโคลัสกระโดดจากเวทีเพียงครั้งเดียวไปเหยียบที่พื้นห้องที่ทางเดินกลางห้องที่กำลังลุกไหม้โดยไม่มีความกลัวและก็ไม่น่าเชื่อว่าเปลวไฟจะไม่สามารถเผาไหม้ร่างที่กำลังยืนอยู่บนพื้นได้   “ทำไมถึงพูดเหมือนกับว่าผมได้ทำลายข้าวของไปแล้วอย่างงั้นล่ะครับ?”   แม้จะไม่สามารถสยบเสียงประท้วงของนักเรียนแต่ก็ทำให้บางคนคิดตาม   เป็นจริงอย่างที่นิโคลัสอ้าง   สิ่งของที่กำลังถูกไฟคลอกไม่ว่าจะเป็นพื้นพรมและโต๊ะเรียนต่างคงสภาพปกติราวกับว่าความรู้เรื่องวัตถุไวไฟเป็นเรื่องโกหกที่ถูกสั่งสอนกันมากกว่าชั่วอายุคน   “พรมสีชาต!!”   ครั้งนี้เสียงของเขามีอำนาจมากพอที่จะสยบเสียงโวยวายให้เงียบไป   “บทเรียนแรกของพวกคุณในชั้นเรียนศาสตร์ธาตุพื้นฐานภาคปฏิบัติ”   นิโคลัสเหลือบตามองมาที่โทมัสอย่างจงใจ   “ทุกบทเรียนที่ผมสอนมีกฎตายตัวเพียงข้อเดียวก็คือหากมีพวกคุณคนไหนที่ไม่ผ่านบทเรียนของผมแม้แต่คนเดียว   จะไม่มีการขึ้นบทเรียนถัดไปครับ”   นิโคลัสกล่าว   “สำหรับบทเรียนนี้   พวกคุณทุกคนจะต้องลงจากเวทีและใช้แรงทั้งหมดที่มีวิ่งมาให้ถึงที่ที่ผมยืนครับ”   เปลวไฟบริเวณที่นิโคลัสยืน   ลอยขึ้นไปและสลายไปในอากาศ   ปรากฏเป็นพื้นวงกลมขนาดใหญ่ซึ่งปราศจากเปลวไฟหรือก็คือจุดเซฟพอยท์ที่รอการมาถึงของผู้กล้าที่ต่างก็หน้าถอดสี

          “ว่าไงครับ   ไม่มีใครอาสาหรือครับ?”   “ถ้างั้น...”   นิโคลัสควักลูกแก้วใสลูกขึ้นและเตรียมขว้างใส่เวที   วินาทีนั้นต่างคนต่างวิ่งเข้ากองไฟโดยไม่สนใจความร้อนตรงหน้าอีกต่อไป   ความชุลมุนสะท้อนผ่านดวงตาสีฟ้าสว่าง   แม้แต่น้ำแข็งที่เย็นเฉียบที่สุดก็ต้องละลายหายไปเมื่อถูกกระตุ้น   นิโคลัสยิ้ม

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.