บทที่ 2 ความฝัน 1/2
บทที่ 2 ความฝั่น 1/2
ก่อนที่รูรุจะกล่าวจบ เสียงบางอย่างพลันดังกึกก้องกัมปนาท
ไบรท์ดีดตัวขึ้น ก่อนที่จะกวาดตาไปรอบ ๆ เพื่อมองสำรวจ ทว่าเขากับรู้สึกปวดศีรษะอย่างรุนแรง พลังเวทที่มีพลันเหือดแห้งลงอย่างรวดเร็ว ท่าทางของไบรท์ทำให้รูรุต้องรีบสาวเท้าเข้ามาประคอง
“อย่าใจร้อน จนกว่าจะรู้ว่าตัวที่บุกมามันคือตัวอะไร” รูรุกระซิบข้างหูไบรท์อย่างแผ่วเบา ชายหนุ่มที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกับอิสตรีค่อย ๆ พยุงร่างของเด็กหนุ่ม ก่อนที่จะ ค่อย ๆ ทำท่าทางบุ้ยไบ้ให้ไบรท์ไปนั่งอยู่ที่เดิม
“ร่างกายมีปัญหาอย่างงั้นหรือไง”
ไบรท์พยัหน้ารับคำ “ใช่ จู่ ๆ พลังเวทที่เคยมีก็หายไป เหมือนกับว่าพลังเวทถูกดูดออกไปอย่างกระทันหัน”
รูรุคิดอยู่สักพัก “หรือว่า นายยังใช้เวทมนตร์ร่วมกับคาเสะมินาโตะจังอยู่”
ไบรท์ส่ายหัว “ไม่น่าจะนะ แต่ว่าฉันก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน ไม่รู้ว่าตอนนี้ยายนั่นได้คลายเวทมนตร์ที่เป็นเวทพันธสัญญาหรือยัง”
รูรุซุดกายอยู่ขาง ๆ ก่อนที่จะเอื้อมมือไปข้างหน้าเพื่อนำมือไปผิงไฟ แสงไฟส่องวาววับทำให้สามารถมองเห็นรอบ ๆ บริเวณ ถึงแม้พวกเข้าจะอยู่ในถ่ำ แต่ว่าพวกรูรุก็ไม่คิดจะเข้าไปในส่วนลึกสุดของถ้ำ นั่นก็เพราะว่าอาการบาดเจ็บของไบรท์ทำให้ชายหนุ่มผมฟ้าไม่อยากจะปล่อยให้ไบรท์นานอยู่ที่แห่งนี้เพียงคนเดียว
“ถ้าแบบนั้น ฉันคิดว่าเวทพันธสัญญาคงยังไม่สิ้นสุด หากได้ทำพันธะแล้ว การทีจะยกเลิกสัญญาจำเป็นต้องให้ทั้งสองฝ่ายยินยอมเสียก่อน ดังนั้นถ้านายรู้สึกว่าพลังเวทของนายถูกดูดออกไป อาจจะมีสองกรณี กรณีแรกตอนนี้คาเสะมินาโตะกำลังตกอยู่ในอันตรายทำให้เธอจำเป็นต้องดึงพลังเวทของนายไปใช้ ส่วนกรณีที่สองพลังเวทของเธอหมดทำให้เธอต้องดึงพลังเวทไปเสริมส่วนที่ขาด แต่ว่าพลังเวทของคนธรรมดากับลูกกครึ่งของเทพมันไม่เหมือนกัน ดังนั้นเวลาเธอดึงพลังเวทไปใส่ร่างกาย พลังเวทของนายจึงเกือบหมด”
ไบรท์มีท่าทางไม่พอใจ “บ้าชิบหายเลย แล้วถ้าเป็นแบบนี้เกิดหน้าสิ่วหน้าขวานขึ้นมาจะทำยังไงกัน”
“เรื่องนั้น ฉันก็ไม่รู้หรอกนะ แต่ว่าตอนนี้สิ่งที่สำคัญพวกเราจำเป็นต้องรู้ว่าตอนนี้พวกเรามาอยู่ที่ไหน โชคดีที่เวทแปลธาตุกับอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ที่ฉันเอาติดตัวมาด้วยไม่ได้รับความเสียหาย ทำให้พวกเราน่าจะเดินทางได้สบายมากกว่าเดิม”
สิ้นคำของรูรุ ไบรท์ก็ยิ้มก่อนที่จะปบมือเสียงดัง “เยส แสดงว่ารถเวทมนตร์ก็ยังอยู่ พวกเราก็จะได้เดินทางเร็วขึ้นกว่าเดิมใช่ไหม” ไบรท์ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ก่อนที่เขาจะเห็นสีหน้าท่าทางของรู้รุ
รูรุส่ายหน้า “ไม่ รถยนต?เวทมนตร์หายไปแล้ว พอดีตอนที่ตกลงมาแคปซูลที่ใช้เก็บพวกอุปกรณ์บางส่วนหล่นหายไป”
ไบรท์มีท่าทางเสียดายอย่างเห็นได้ชัด นั่นก็เพราะว่าทางเขามีแคปซูลที่บรรจุอุปกรณ์เวทมนต์ การเดินทางในป่ากว้างแห่งนี้ก็จะเป็นไปได้อย่างง่ายดาย แต่เด็กน้อยก็รู้ดีว่าต่อให้จากคุณคิดเสียดายสักแค่ไหน ของที่ไม่สามารถนำกลับมาได้มันก็ไม่สามารถนำกลับมาได้อยู่วันยังค่ำ
ถึงแม้อุปกรณ์เวทย์มนต์จะมีความสำคัญ แต่สำหรับเขาที่ใช้มันไม่เป็น ถ้าจะพูดให้ถูกตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยพึ่งพาของเหล่านี้ จะมีหรือไม่มีมันก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่นะ สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือพวกสัตว์ปริศนาที่อยู่ข้างนอกถ้ำต่างหาก ภาพพลังเวทของเขายังสมบูรณ์เด็กหนุ่มก็คิดว่าคงจะออกไปปะทะด้วย แต่ว่าพลังเวทย์ของเขาตอนนี้กับยังไม่กลับคืนมาอย่างสมบูรณ์ เท่าที่สัมผัสพลังธาตุในร่างกายพลังธาตุไฟ หายไปเล็กน้อย แต่ถ้าลมที่เป็นธาตุสำรองพลังนั้นกับหายไปเกือบหมด
ห้ามใช้ท่าเดียวในการต่อสู้ผลลัพธ์ก็จะมีน้อย โดยเฉพาะหากจำเป็นต้องโจมตีในรูปแบบการโจมตีขนาดใหญ่ ที่สามารถสังหารสัตว์ได้เป็นจำนวนมาก ข้อสอบอสูรบุกมาเกรงว่าตอนนี้เขาก็คงไม่สามารถเอาชนะได้
หากถามว่ารูรุสามารถต่อสู้ได้หรือไม่ ชายหนุ่มผมฟ้านั้นสามารถต่อสู้ได้ แต่สำหรับเขาเด็กหนุ่มถนัดเวทย์มนต์สรรสร้างมากกว่า การโจมตีของเด็กหนุ่มจะใช้ปืนเวทย์มนต์ที่บรรจุพลังเวทย์ แต่พลังเวทย์ของเขาก็น้อยมากทำให้เขาไม่สามารถใช้ปืนเวทย์มนต์โจมตีต่อเนื่องได้
“น่าเสียดายอยู่หรอก แต่ว่าคิดไปก็เท่านั้นตอนนี้พวกเราต้องมาช่วยกันคิดดีกว่าว่าเราจะทำยังไงถ้าไม่มีอุปกรณ์วิทยาศาสตร์” รูรุปรึกษาหารือ
ตอนนี้ร่างกายของเขารู้สึกเหนื่อยล้าอย่างประหลาด คงเป็นเพราะว่าตั้งแต่เล็กจนโตชายหนุ่มผมฟ้าไม่เคยเดินทางไปไหน วันๆเขาจะอาศัยอยู่แต่ในห้องวิทยาศาสตร์ เขาค้นคว้าวิชาที่สามารถทำให้วิทยาการและเวทมนตร์มารวมกันเป็นหนึ่งได้
ดังนั้นการที่ต้องมาระเห็ดระเหิน เดินดงจึงไม่ใช่เรื่องถนัดของเด็กหนุ่ม ยิ่งต้องมาคุ้มครองรุ่นน้องในอนาคตก็ยิ่งแล้วใหญ่ รูรุใช้สายตาพิจารณาดู ชายหนุ่มผมฟ้าก็พบว่า เด็กตรงหน้าถึงจะมีพลังเวทย์ที่น่าสนใจ พลังธาตุที่ดูเป็นปริศนา แต่ว่าถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นประสบการณ์ในการต่อสู้จริงของเด็กตรงหน้ากับน้อย จากที่ถามเขาก็พบว่าเด็กน้อยตรงหน้าเคยต่อสู้กับสัตว์อสูรมาบ้าง แต่ว่าสิ่งที่ไบรท์เคยต่อสู้ก็คือการสู้กับมนุษย์
การสู้กับสัตว์อสูรและมนุษย์มีความต่างชั้นกันมาก ถึงแม้ว่าสัตว์อสูรจะไม่ได้มีสติปัญญาทุกตัว แต่ว่าสิ่งที่มันเหนือกว่าก็คือพลังเวทย์และกำลังกายส่วนมนุษย์สิ่งที่เหนือกว่าสัตว์อสูรย่อมเป็นสติปัญญา ถึงแม้ว่าจะมีบางคนที่มีความสามารถทางด้านร่างกายที่เหนือกว่า แต่ก็นับหัวได้ หนึ่งในพันจะมีสักคนที่มีพลังกายและพลังเวทย์เท่าเทียมกับ มอนสเตอร์
แสงจันทร์ศรีนวลส่องแสงประกาย สายลมค่อยๆพัดมาอย่างเชื่องช้า ่ปาาที่เคยมีแต่เสียงสัตว์ร่ำร้องเงียบสนิท ราวกับว่าป่าแห่งนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิต ถึงแม้ว่ากองไฟที่กองไฟจะลุกโชติช่วง แต่ใช้หนุ่มผมฟ้าก็รู้ดีว่าสถานการณ์แบบนี้มันไม่น่าไว้วางใจเป็นอย่างมาก
เขามองไปยังเด็กน้อยที่นอนหลับสลบไสลไม่ได้สติอยู่เบื้องหน้า เด็กหนุ่มถอนหายใจก่อนที่จะคิดว่า
‘คนอะไรขนาดนอนหลับยังดูน่ารักเลย’
ชายหนุ่มส่ายหัวสะบัดความคิดของตนเอง เขาไม่รู้เลยว่าการหลับไหลของเด็กน้อยตรงหน้ามันไม่ใช่การหาความสุข แต่มันคือการเข้าไปสู่ความทุกข์อีกรูปแบบหนึ่ง
นั่นก็เพราะว่าทุกครั้งที่ไบรท์หลับไหล เขาจะต้องเจอกับฝันร้ายที่หลอกหลอนเขาซ้ำไปซ้ำมา จนกว่าเขาจะสามารถตื่นมาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงได้
ชายหนุ่มบิดขี้เกียจก่อนที่จะค่อยๆนำไม้เข้าไปในกองไฟเพื่อเพิ่มแสงสว่าง ประกายสีแดงของไฟประกอบกับความร้อนทำให้เขารู้สึกดีอย่างประหลาด สัญชาตญาณในตัวร่ำร้องว่าตอนนี้ป่าแห่งนี้มันอันตราย แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ตามเขาก็ไม่สามารถขยับไปไหนได้
รูรุนำแคปซูลเวทมนตร์มาตรวจสอบอีกครั้ง เขาโล่งอกเมื่อพบว่าตอนนี้สมุนไพรกับยาต่างๆไม่ได้ลูกนอนหายไปจนไม่เหลืออะไร แต่สิ่งที่หายไปกับเป็นอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ที่ถึงแม้ว่าจะมีแต่ก็คงไม่สามารถใช้ประโยชน์อะไรได้มากนัก
การมียารักษาโรคดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากกว่าในสถานการณ์แบบนี้ สำหรับเขาก็คงต้องขอขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าที่ยังเมตตาเด็กหนุ่มตัวน้อย ๆ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่นับถือเทพบรรพกาลก็ตาม สำหรับเด็กหนุ่มเขาเป็นคนที่ไม่นับถือศาสนาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆในโลกเวทมนตร์เลยแม้แต่อย่างเดียว
หากถามว่าทำไมนั้นก็เป็นเพราะว่า ชายหนุ่มเป็นคนที่มีความคิดก้าวหน้า เป็นคนขี้ถูกเรียกว่าปัญญาชนผู้ที่มีหัวสมัยใหม่ แต่ถึงจะไม่นับถือสิ่งใดในโลกนี้ แต่เขาก็ตั้งใจเรียนทุกศาสนาและตั้งใจศึกษาเวทมนต์คาถาที่เกี่ยวกับเทพปฐมกาล ถึงแม้ว่าข้อมูลจะหาได้ยากยิ่งก็ตาม
ในยุคที่พลังเวทย์นั้นเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว วิทยาศาสตร์นั้นเป็นสิ่งที่อยู่ห่างไกล เทพเจ้าถูกนำกลับมาในสังคมอีกครั้ง บางสังคมบูชาเทพเจ้าราวกับว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนียวหัว สำหรับเขาการทำอย่างนั้นก็คือสิ่งที่เรียกว่าการไร้เหตุผล
จากที่เขาเคยอ่านหนังสือสมัยโบราณ รูรุพบว่ามีอยู่ยุคสมัย 1 ที่มนุษย์ไม่นับถือเทพเจ้าองค์ใดเลย พวกมนุษย์นับถือเหตุผลตรรกศาสตร์และวิทยาศาสตร์อันทรงคุณค่า หากมองในยุคของเขาก็คงคิดว่ามนุษย์เหล่านั้นเป็นพวกที่ตื้นเขิน มนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่น่าแปลกประหลาดสำหรับเด็กหนุ่ม
นั่นก็เพราะว่าพวกเขาไม่นับถือเวทมนต์ ทว่านับถือวิทยาศาสตร ทั้งนี้กับมีบางส่วนที่เชื่อเรื่องเวทย์มนต์ รื้อได้รูปแบบที่เรียกว่าไสยศาสตร์หรือพลังจิต การควบคุมจิตใจด้วยการสะกดจิตก็ยังไม่หายไปจากสังคมนั้น จนเวลาได้ผ่านไปทำให้มนุษย์พวกนั้นได้รู้ว่าพลังเวทย์นั้นมีอยู่จริง
แล้วเพียงไม่นานวิทยาศาสตร์ก็สูญหายไป คนส่วนใหญ่มักสนใจเวทย์มนต์มีเพียงกลุ่มน้อยที่จะกลับไปสนใจวิทยาการอันทรงคุณค่า พลังเวทย์ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นเมื่อหลายร้อยปีก่อนตอนที่มีการเปิดประตูมิติเป็นครั้งแรก
ถึงแม้ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องไกลตัวของเขา แต่เขาก็อดรู้สึกประหลาดและแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมมนุษย์พวกนั้นทั้งที่เชื่อมั่นในวิทยาศาสตร์ ทั้งที่เชื่อมั่นว่าพลังเวทไม่มีจริง แต่กลับมีบางส่วนที่สนใจและนับถือเวทย์มนต์และไสยศาสตร์มากกว่าสิ่งใด นับถือพระผู้เป็นเจ้าและบูชายิ่งกว่าชีวิตของตน
รูรุเกาหัวของตนอีกครั้ง นั่นก็เพราะว่าเขาเผลอไผลตกสู่ห้วงแห่งความคิดของตนนานเกินไป เขาเริ่มถอนหายใจก่อนที่จะค่อยๆหลับตาลง กลิ่นหอมประหลาดพัดผ่านมาทำให้เขารู้สึกง่วงกว่าเดิม
ดวงตา 1 จ้องมองอย่างไร้จุดหมาย ปากของมันแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย สายตาของมันกวาดมองจมูกนั้นงองุ้ม มันค่อยๆสูดเอากลิ่นกลายบุรุษหนุ่มทั้งสองให้เต็มปอด ก่อนที่จะค่อยๆก้าวลงมายังถ้ำ ถ้ำที่เป็นแหล่งอาหารของพวกมัน
“ในที่สุดก็หลับแล้วสินะอาหารของข้า”
มันเลียริมฝีปาก ก่อนที่จะรำพึงรำพันกับตนเอง “เอาล่ะ ข้าจะขอลิ้มรสพวกเจา้ให้เต็มอิ่ม จงเป็นเด็กดีและตกอยู่ในห้วงนิทราเสียเถอะ”
เสียงอันหวานใสดุจระฆังแก้วกล่าว ก่อนที่ร่างนั้นจะค่อยๆเดินตรงไปยังถ้ำอันแสนมืดมิด
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 244
แสดงความคิดเห็น