Chapter 3 ผู้คุ้มกัน หรือ ผู้คุกคาม
Chapter 3 ผู้คุ้มกัน หรือ ผู้คุกคาม
ภายในปราสาทแห่งเรสทอเรียกำลังสับสนวุ่นวาย เนื่องจากการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยกว่าค่อนคืนแล้วของเจ้าหญิงผู้รั้งตำแหน่งรัชทายาทลำดับสองของอาณาจักร กษัตริย์เอลริโก้ประกาศรับสั่งให้ค้นหาองค์ธิดาทั่วทุกซอกทุกมุมของเมือง แต่ก็พบเพียงพนักงานขับรถโดยสารส่วนองค์ซึ่งอยู่ในสภาพถูกจับมัดยัดไว้ใต้กองฟางในโรงม้าของคฤหาสน์รับรองแขก เมื่อฟื้นขึ้นมาก็มีสติเลอะเลือนไร้ความทรงจำให้สอบถามความใด กระทั่งยามใกล้รุ่งสาง จึงได้ความจากมหาดเล็กว่าเจ้าหญิงได้กลับมาถึงปราสาทแล้วด้วยสภาพไม่ดีนัก
“โอ... สการ์เล็ต! แม่เป็นห่วงเหลือเกินแล้ว”
ราชินีแห่งเรสทอเรียโผเข้ากอดจูบลูบหลังธิดารักด้วยความห่วงใยทันทีที่ได้พบหน้า นางพิจารณาร่างบอบบางซึ่งอยู่ในสภาพสกปรกมอมแมมเสื้อผ้าขาดวิ่นแล้วจึงประคองดวงพักตร์งดงามขึ้นสบประสานสายตา
“เกิดอะไรขึ้น ไหนเล่าให้แม่ฟังซิ”
กษัตริย์เอลริโก้กระแอมขัดความร้อนรนหทัยของชายาก่อนจะเอ่ยบ้าง
“ข้าว่าให้ลูกไปอาบน้ำอาบท่าแต่งตัวเสียใหม่ หาอะไรรองท้องก่อนจะดีกว่านะ” ผู้ครองอาณาจักรกล่าวแล้วจึงปรายเนตรคมกริบไปยังบุรุษในชุดคลุมสีดำสวมแว่นกรอบหนาเทอะทะบดบังใบหน้าซึ่งยืนอยู่ด้านหลังบุตรี
“แล้วท่านนี้คือ...”
“เขาคือคนที่ช่วยชีวิตลูกค่ะ” สการ์เล็ตรีบตอบตามที่เตี๊ยมกันไว้กับพ่อมด
จะว่าไปก็ไม่ผิดจากที่พูดนัก เพราะอย่างไรเขาก็ได้ช่วยชีวิตนางไว้จริง ๆ เพียงแต่สิ่งที่ต้องตอบแทนนั้นนับว่าหนักหนาเกินไปสำหรับนางเหลือเกิน
เจ้าหญิงได้แต่ทอดถอนใจภายในห้วงความคิดก่อนจะกล่าวกับผู้เป็นบิดา
“แล้วลูกจะเล่าให้ฟังค่ะ”
เวลาผ่านพ้นไปราวชั่วยามหนึ่ง ความในค่ำคืนก่อนจึงถูกเรียงร้อยเล่าจากปากของเจ้าหญิงลำดับแรกให้กษัตริย์และราชินีได้กระจ่างใจ
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” ราชาเอลริโก้พึมพำหลังจากได้ฟังเรื่องราวจากบุตรสาว ขนงเรียวเข้มขมวดเข้าหากัน
“ใครที่มันบังอาจปองร้ายเจ้า ข้าจะสั่งคนสืบหานำตัวมาให้ได้ มันจะต้องได้รับโทษอย่างสาสม” กษัตริย์แห่งเรสทอเรียกล่าวด้วยสุรเสียงเยียบเย็น ดวงเนตรสีทับทิมฉายประกายกร้าวด้วยความกรุ่นโกรธ
“พ่อก็เคยเตือนแล้วว่าเจ้าควรมีผู้ติดตามไว้คอยคุ้มกันให้มากกว่านี้ แม้ว่าจะเดินอยู่ในอาณาจักรของตนก็อย่าได้ชะล่าใจไป”
สการ์เล็ตนั่งฟังอย่างสำนึก แม้นางไม่ชอบที่มีผู้ติดตามจนดูเอิกเกริก แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นมาแล้วก็ไม่อาจตอบโต้ประการใด
“ตั้งแต่วันนี้ไปเพิ่มการคุ้มกันขึ้นเถอะนะ อย่าให้แม่ต้องกังวลนักเลย” ราชินีรูริเธียบีบมือบุตรสาวเบา ๆ
สการ์เล็ตกระชับมือมารดาตอบและเอ่ย
“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง ลูกได้ตัดสินใจแล้วว่าจะให้คนผู้นี้คอยคุ้มกันลูก... แค่คนเดียวก็พอ”
“เขาน่ะหรือ!?” กษัตริย์และราชินีต่างมองไปยังอาคันตุกะผู้สวมแว่นเป็นสายตาเดียวกัน
“อันที่จริงข้าซาบซึ้งใจมากที่เจ้าช่วยชีวิตลูกข้า แต่ว่าเจ้าเพียงคนเดียว... ” เอลริโก้ละคำกล่าว เขาไม่อยากเอ่ยคำใดที่จะเป็นการดูแคลนผู้มีบุญคุณต่อบุตรสาวเกินไปนัก แต่พ่อมดหนุ่มก็ยิ้มสุภาพและค้อมศีรษะรับอย่างเข้าใจ
“เขาอาจจะผอมบาง แต่งตัวรุ่มร่ามดูไม่น่าไว้ใจหรือพึ่งพาเรื่องพละกำลังไม่ได้ แต่เขาเป็นคนที่ช่วยชีวิตลูกจากกลุ่มโจรซึ่งมีอยู่หลายคนโดยต่อสู้เพียงลำพังนะคะ”
แน่นอน...นางไม่ได้เล่าหรอก ว่านอกจากนั้นแล้วเจ้าพ่อมดโฉดฆ่าทุกคนอย่างโหดเหี้ยมเพียงไร
หญิงสาวชำเลืองมองคาอิลซึ่งกำลังส่งสายตาและรอยยิ้มหวานแฝงความนัยมาให้นางโดยเฉพาะ
บอกไม่ได้... จะบอกได้อย่างไรล่ะ
“ถึงเขาจะเป็นพ่อมด ไม่ใช่นักรบอย่างที่ควรก็ตาม แต่ลูกเชื่อว่าเขามีความสามารถพอจะปฏิบัติหน้าที่นี้ ได้โปรดเถิดค่ะ ท่านพ่อ”
เอลริโก้มองสีหน้าจริงจังและแววตาอันมุ่งมั่นของบุตรีที่รักอยู่ครู่ใหญ่แล้วจึงถอนหายใจแผ่วเบา
ในอนาคตอันใกล้ สการ์เล็ตจำเป็นต้องช่วยดูแลบริหารบ้านเมืองกับอลัน พี่ชายของนาง เขาจึงให้สิทธิในการตัดสินใจแก่ลูกมาพักใหญ่แล้ว ตอนนี้นางก็แค่มาขอตามมารยาท และเขาก็ไม่ควรจะปฏิเสธ เมื่อตัดสินใจเช่นไร นางก็ควรรู้และรับผลของการตัดสินใจนั้นด้วยตนเอง แม้มันจะทำให้ผู้เป็นพ่อต้องห่วงกังวลก็ตาม
“ก็ได้ ถ้าลูกต้องการอย่างนั้น”
สการ์เล็ตเผยยิ้มเมื่อได้รับอนุญาต ถึงอยากบอกว่าแท้จริงแล้วนางไม่ได้ต้องการพ่อมดคนนี้มาเป็นผู้คุ้มกันเลยสักนิด แต่มันเป็นสิ่งที่คาอิลแนะนำให้พูด
หรือที่จริงต้องบอกว่า ‘บังคับ’ ให้พูดจะถูกกว่ามาก
“หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้เราผิดหวัง” กษัตริย์แห่งเรสทอเรียหันไปมองว่าที่ผู้คุ้มครองบุตรสาวและกล่าวกับเขาหนักแน่นเน้นคำ พ่อมดหนุ่มจึงย่อกายถวายคำสัตย์ต่อองค์ราชา
“ข้าสาบาน ว่าจะปกป้องเจ้าหญิงสการ์เล็ตด้วยชีวิต”
“เจ้าชื่อ คาอิล สินะ ท่านพ่อมด ช่วยเงยหน้าให้เราดูหน่อยได้ไหม”
คาอิลเงยหน้าขึ้นประสานสายตากับราชินีรูริเธียซึ่งขยับมายืนตรงหน้าเขา นางมองพ่อมดอย่างพิจารณา เส้นผมขาวโพลนกับดวงหน้าใสกระจ่างยิ่งส่งให้ดวงตาสีน้ำเงินทอประกายโดดเด่นแจ่มชัด แม้มันจะถูกกระจกแว่นหนาบดบังเอาไว้ก็ตาม
ครั้นราชินีเห็นว่าดวงตาคู่นั้นทอประกายจริงจังแน่วแน่จึงเผยยิ้ม
“ข้าเคยได้ยินว่าผู้คงอาคมมักจะมีลักษณะสูงวัย แต่เจ้ายังดูเยาว์เกินกว่าจะเป็นเช่นนั้น”
คาอิลกระตุกยิ้มเล็กน้อยพอให้ไม่มีใครสังเกต
เขาเคยถูกดูแคลนมานักต่อนักแล้วเรื่องวัยที่ยังไม่สามารถสร้างความเชื่อถือให้ใครได้ กับแค่เพิ่มราชินีแห่งเรสทอเรียเข้าไปเป็นหนึ่งในคนจำพวกนั้นก็ไม่ทำให้เขารู้สึกสะเทือนอะไรหรอก เพราะสุดท้ายเขาก็ได้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่าผู้มีเวทมนตร์แก่กล้าไม่ได้มีแต่พวกตาเฒ่าเสมอไป
แต่ราชินีรูริเธียหาได้เป็นอย่างที่พ่อมดหนุ่มคิดไม่ นางยิ้มและมองเขาด้วยแววตาเชื่อมั่น ไร้ซึ่งความเคลือบแคลง
“ขอฝากลูกสาวข้าด้วยนะ ท่านพ่อมดคาอิล ช่วยดูแลนางอย่าให้ต้องร่วงโรยไปก่อนกาลอันควรเร็วนัก”
พ่อมดหนุ่มค้อมศีรษะตอบรับ เขาขยับยิ้มมุมปากและเอ่ยด้วยเสียงที่ไม่ดังไปกว่าการกระซิบ
“แน่นอนที่สุดครับ ข้าจะดูแลเจ้าหญิงของท่านอย่างดี”
“เจ้าพูดผิดไปหน่อยหรือเปล่า ที่ว่าจะปกป้องข้าด้วยชีวิตน่ะ”
สการ์เล็ตเอ่ยประชดประชันเมื่ออยู่กับคาอิลเพียงลำพังสองคนบนทางเดินริมระเบียง พ่อมดหันมายิ้มตอบอย่างอ่อนโยน ทว่าแน่นอน... ตอนนี้เจ้าหญิงแห่งเรสทอเรียเรียนรู้แล้วว่ามันเป็นรอยยิ้มของปีศาจจิ้งจอก เป็นรอยยิ้มลวงหลอกให้ผู้อื่นตายใจซึ่งเขาสวมมันไว้ตลอดเวลา
“ข้าพูดจริงนะ” คาอิลตอบจริงจัง แต่แววตาของเขากลับฉายแววเจ้าเล่ห์ “ข้าจะปล่อยให้คนอื่นมาทำลายของของข้าได้อย่างไรกันล่ะครับ”
เจ้าหญิงโฉมงามกลอกตาพลางมีดำริว่า...ไม่น่าถามเลย...
“แล้วเจ้าจะเอายังไงเรื่องที่พัก” สการ์เล็ตถามอย่างหมดอารมณ์จะต่อปากต่อคำ เขาทำให้นางเริ่มหลุดมาดเจ้าหญิงผู้เรียบร้อยอ่อนหวานมากขึ้นทุกที
“พาข้าไปที่ห้องของท่าน”
“เจ้าจะพักที่ห้องข้าหรือ!” สการ์เล็ตร้องและทำตาโต คราวนี้หลุดมาดเจ้าหญิงผู้เรียบร้อยอ่อนหวานจริง ๆ แล้ว
คาอิลพ่นลมหายใจออกมาพลางมองหน้าสตรีข้างกายอย่างขบขัน ยังผลให้แก้มนวลปลั่งของเจ้าหญิงขึ้นสีระเรื่อเพราะสำนึกได้ว่าทำอะไรบางอย่างพลาดไปเสียแล้ว
“ข้าแค่จะไปสำรวจสถานที่เพื่อหาทางหนีทีไล่ให้คนที่ข้าต้องคอยคุ้มครองเท่านั้น แต่ถ้าท่านอยากให้ข้านอนด้วย ข้าก็ไม่ขัดข้องหรอกนะครับ” บุรุษหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงยั่วเย้าพลางขยับแว่นมองหญิงสาวซึ่งกำลังส่งค้อนให้เขาชัด ๆ
“ข้าไม่มีทางต้องการเช่นนั้นแน่!” สการ์เล็ตกล่าวเน้นชัดถ้อยชัดคำพร้อมกับแสดงท่าทางรังเกียจอย่างออกนอกหน้า กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกรู้สาอะไร
คาอิลหยุดเดินกะทันหันแล้วทอดสายตาออกไปภายนอกระเบียงชั้นสูง
“ตรงนั้นมีบ้านร้างหลังเล็ก ๆ อยู่หนึ่งหลัง ข้าจะอาศัยอยู่ที่นั่น มันห่างไกลผู้คนเหมาะกับผู้ใช้เวทมนตร์ซึ่งต้องการความสงบอย่างข้ามากกว่า”
สการ์เล็ตมองตามสายตาคาอิลไปยังนอกกำแพงหลังปราสาทซึ่งมีบ้านเล็ก ๆ หลังหนึ่งตั้งอยู่ห่างจากบ้านหลังอื่น ๆ จนดูเหมือนมันถูกทิ้งร้างให้เงียบเหงาอยู่เพียงลำพัง
“นั่นมัน...” เสียงหวานพึมพำแผ่วเบาเมื่อระลึกได้ว่ามันเคยเป็นที่อยู่อาศัยของใคร
“ท่านมีความขัดข้องอันใดหรือเปล่า เจ้าหญิง”
คิ้วเรียวงามมุ่นขมวด ไม่อาจตอบคำถาม
นางไม่ได้มีกรรมสิทธิ์ในบ้านหลังนั้น ยิ่งมันไม่ได้มีคนอยู่อาศัยมานานแล้วจะไปขัดข้องทำไมกัน
“หากกังวลว่าข้าไปอยู่เสียห่างไกลขนาดนั้นแล้วจะมาคุ้มครองท่านไม่ทันก็ไม่ต้องห่วงหรอกนะครับ ข้าเป็นผู้ใช้เวทมนตร์ ไม่จำเป็นต้องใช้แต่เส้นทางธรรมดาในการวิ่งไปให้ถึงจุดหมาย”
เหมือนคาอิลจะแปลความลำบากใจของสการ์เล็ตผิดไป แต่ก็ดี นางไม่ได้อยากให้เขามาล่วงรู้สิ่งใดในใจนักหรอก
“เจ้าจะบอกว่าเพราะเหตุนี้จึงตามข้าเข้าไปในป่าได้ใช่ไหม”
เจ้าหญิงส่งยิ้มเหยียดสู้กับรอยยิ้มปีศาจจิ้งจอกของพ่อมด เขาเลิกคิ้วยียวนส่งเพิ่มให้นางเป็นของแถม
“แล้วท่านคิดว่ายังไงล่ะครับ”
ยังเฉไฉได้เหมือนเดิม...
“ดูไปแล้วเจ้าน่าจะอายุน้อยกว่าข้าอยู่หลายปี ยังไม่นับว่าเป็นผู้ใหญ่เท่าที่ควร ทำไมจึงได้เป็นคนกะล่อนเจ้าเล่ห์ร้ายกาจนัก”
สการ์เล็ตบ่นพึมพำเสียงแผ่วขณะเดินนำเข้าไปในห้องบรรทมส่วนนอกของตน นางไม่คาดคิดว่าคาอิลหูไวพอที่จะได้ยิน เขาก้าวเข้าไปด้านหลังเจ้าหญิง ก้มกระซิบแผ่วเบาข้างใบหู พอให้ลมหายใจอุ่นร้อนพัดผ่านนวลปราง
“ถึงข้าจะอายุน้อยกว่าท่านมาก แต่ก็โตพอจะทำอะไร...อะไร...ได้หลายอย่างแล้วนะครับ ท่านอยากพิสูจน์ไหม ว่าข้าทำอะไรได้บ้าง”
หญิงสาวถอยห่างพ่อมดด้วยความตระหนก นางกุมใบหูซึ่งขึ้นสีเข้มจนลามเรื่อยไปถึงดวงหน้า นิ้วสั่นระริกชี้ใส่คาอิลด้วยความโกรธ
“บังอาจนัก! เจ้าทำบ้าอะไร”
“ข้าน่ะหรือ...บังอาจ” คาอิลเอียงศีรษะตีหน้าซื่อราวกับไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนจึงถูกโกรธ
“ดูเหมือนท่านจะลืมสิทธิ์ของข้าและฐานะของตัวเองไปแล้วนะครับ เจ้าหญิง” เขาพูดพลางรั้งร่างระหงเข้ามาในอ้อมแขนและใช้ปลายนิ้วแตะลงไประหว่างทรวงอกของสการ์เล็ตซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกับที่มีดวงตราสัญญาประทับอยู่บนหัวใจ ใบหน้าคมก้มลงใกล้จนสามารถสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนของกันและกัน ริมฝีปากคลอเคลียอยู่บริเวณแก้มนวลแดงก่ำขณะพูด
“สงสัยต้องเตือนความจำกันบ้างแล้วนะครับ”
คาอิลทาบริมฝีปากลงช้า ๆ มือข้างหนึ่งโอบรัดร่างบางไม่ให้ขยับหนี แม้สการ์เล็ตจะพยายามเม้มเรียวปากเอาไว้และเบือนหน้าหลบ แต่เขาก็ยึดคางจนนางหลีกหนีไม่ได้ บางสิ่งที่อ่อนนุ่มแต่รุ่มร้อนแทรกผ่านเข้าไปในริมฝีปาก มันเคลื่อนไหวไล่ต้อน และเรียกร้องจนสติของสการ์เล็ตเตลิดเตลิง ร่างกายไร้สิ้นเรี่ยวแรงจะต่อต้านจนอยากเหนี่ยวรั้งลำคออีกฝ่ายเพื่อไม่ให้ร่างตนต้องทรุดลง
พ่อมดหนุ่มถอนจุมพิตออกก่อนที่ร่างบอบบางในอ้อมแขนจะตายเพราะขาดอากาศ แต่ยังคงคลอเคลียอ้อยอิ่งสูดความหอมจากกลีบกุหลาบแสนหวานจนกระทั่งอีกฝ่ายเลิกหอบหายใจ
เจ้าหญิงผลักคาอิลออกไปแล้วหยิบผ้ามาเช็ดถูริมฝีปากอย่างแรงด้วยท่าทางรังเกียจและเสียใจที่รู้สึกอ่อนไหวไปกับรสจูบอันจาบจ้วงนั้น นางส่งสายตาอาฆาตให้เขา แล้วก็ได้รอยยิ้มยั่วเย้ากลับมา
“เจ้าคนต่ำช้าฉวยโอกาส”
“ข้าก็ไม่เคยบอกว่าตัวเองเป็นคนดีนี่ครับ”
หญิงสาวหลุบตาลงและเม้มปากแน่นอย่างสะกดกลั้นอารมณ์ที่เหมือนลาวาปะทุ ต้องใช้เวลาชั่วระยะหนึ่งกว่าจะดับไฟที่ลุกลามในใจ
“ช่วยบอกหน่อยได้ไหม ว่าแท้จริงแล้วเจ้าต้องการอะไร” สการ์เล็ตเค้นเสียงถามหลังจากระงับสติอารมณ์ลงได้แล้ว
นางมองตามร่างสูงในชุดคลุมของผู้ใช้ศาสตร์เหนือธรรมชาติซึ่งกำลังเดินสำรวจรอบห้องจนกระทั่งไปหยุดยืนอยู่ที่หน้ากระจกบานใหญ่ด้วยท่าทางสนใจ เขายังคงไม่ตอบสิ่งใด เจ้าหญิงจึงข่มใจใช้ความกล้าก้าวเข้าใกล้แล้วรั้งแขนคาอิลให้หันมาสบสายตากับนาง
“เจ้าน่าจะรู้แต่แรกแล้วว่าข้าเป็นใคร จึงใช้ประโยชน์จากข้าเข้ามาที่นี่ บอกมาสิว่าเจ้าต้องการอะไรจากข้า เจ้าหวังสิ่งใดจากอาณาจักรของข้าอยู่หรือเปล่า”
สการ์เล็ตถามด้วยน้ำเสียงคาดคั้น สายตาบ่งบอกชัดถึงความหวาดระแวง แต่ก็ได้เพียงรอยยิ้มเป็นคำตอบกลับมาเช่นเคย
มันเป็นรอยยิ้มสบาย ๆ ที่ทำให้รู้สึกโมโหมากขึ้นทุกที
“อย่ากังวลเรื่องนั้นมาก ท่านไม่จำเป็นต้องห่วงไปนักหรอก ข้าไม่เคยหวังสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นยศศักดิ์ ทรัพย์สิน หรือสิทธิ์ในการครอบครองอาณาจักรของท่าน” คาอิลพูดพลางแกะมือหญิงสาวออกอย่างนุ่มนวลแล้วหันกลับไปให้ความสนใจกับกระจกตามเดิม
“ข้าเพียงแค่รู้สึกเบื่อ ก็เลยคิดหาของเล่นฆ่าเวลาให้ตัวเองเท่านั้น และท่านก็ผ่านเข้ามาในช่วงเวลานั้นของข้าพอดี”
พ่อมดตอบเสียงเรียบทว่าบีบหัวใจเจ้าหญิงยิ่งนัก นางซึ่งเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์กลับมีค่าเพียงแค่ของเล่นของพ่อมดเท่านั้นเองหรือ
นิ้วเรียวของพ่อมดไล้ไปตามผิวเย็นเรียบลื่นของกระจกคล้ายกำลังเขียนอะไรบางอย่างลงไปบนนั้น สการ์เล็ตไม่แน่ใจว่าตนเองตาฝาดไปหรือไม่ จึงได้เห็นว่าปลายนิ้วของเขามีละอองแสงเรืองรองออกมาก่อนที่จะสลายหายไปในกระจกเพียงเสี้ยววินาที
ม่านตาของพ่อมดหนุ่มเบิกกว้างขึ้นมาแวบหนึ่ง ราวกับเขาเห็นอะไรผิดแปลกสะท้อนจากเงาของกระจก จึงละมือจากมันแล้วเดินผ่านหน้านางไปด้วยรอยยิ้มเรียบเรื่อย เขาหยุดยืนอยู่กลางห้อง ยกมือขึ้นประกบกันพร้อมกับร่ายคาถา ปรากฏคลื่นลำแสงออกมาแล้วแผ่กระจายออกไปโดยรอบ ผนังทั่วทั้งห้องสว่างวาบขึ้นมาวูบหนึ่งแล้วทุกสิ่งจึงกลับสู่ความสงบดังเดิม
“เจ้าทำอะไรน่ะ”
“กางอาณาเขต” คาอิลตอบขณะเดินไปหยุดอยู่หน้าแจกันดอกไม้ทรงสูง “อย่างน้อยถ้ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นที่นี่ ข้าก็จะสามารถรู้ได้ทันที เช่นแบบนี้ไงล่ะครับ”
มือหนาลูบผ่านช่อดอกไม้พร้อมกับร่ายเวทมนตร์ ไม่นานก็ปรากฏละอองแสงสีเขียวลอยตัวออกมาก่อเป็นเงาร่างคล้ายผึ้งที่มีดวงตาและกรงเล็บใหญ่โตน่ากลัว เจ้าหญิงแห่งเรสทอเรียได้ยินเสียงคำรามแผ่วต่ำของสัตว์ร้ายดังมาจากเจ้าตัวประหลาดนั้น คาอิลคว้าจับมันแล้วบีบจนแตกสลายไปคามือ
“ดูเหมือนว่ารอบตัวท่านจะมีเรื่องน่าสนุกมาให้ข้าแก้หน่ายได้ไม่น้อยทีเดียวนะครับ”
พ่อมดยิ้มอย่างสนุกสนานผิดกับสการ์เล็ตที่ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกตะลึงจนไม่ได้สนใจฟัง
“นั่นมัน...อะไรน่ะ!”
“ภูตชั้นต่ำประเภทหนึ่ง” คาอิลตอบ “ถึงจะเป็นภูตที่อันตราย แต่ที่จริงแล้วพวกมันไม่ได้ชอบอาศัยอยู่ใกล้มนุษย์สักเท่าใด คงมีผู้ใช้อาคมซึ่งพอจะมีฝีมืออยู่บ้างบังคับมันให้มาอยู่ที่นี่ ยามไร้แสงตะวันมันจึงจะปรากฏกายออกมา แต่เมื่อครู่ข้าได้ใช้เวทมนตร์ที่ทำให้มันไม่อาจแฝงตัวอยู่ในดอกไม้ต่อไปได้”
“ทำเพื่ออะไรกัน” หญิงสาวคราง
พ่อมดหนุ่มมองใบหน้างามซึ่งเต็มไปด้วยริ้วรอยของความวิตกแล้วยิ้ม
“ข้าบอกแล้วว่าจะไม่ให้ใครมาทำลายสิ่งของของข้า ถือว่าไม่เลวนักสำหรับท่านไม่ใช่หรือ ที่ได้ผู้คุ้มครองฝีมือดี”
หญิงสาวชักสีหน้าแล้วมองเขาอย่างดูแคลน
“เจ้านั่นแหละ ที่ร้ายกาจที่สุด”
พ่อมดผู้ร้ายกาจหัวเราะอย่างชอบใจกับคำต่อว่า คล้ายกับถือว่ามันเป็นการชม
“ข้าไปแล้วดีกว่า ขอเชิญท่านพักผ่อนให้สบายเถิดเจ้าหญิง”
ชายหนุ่มค้อมกายอย่างนอบน้อมก่อนจะควักเหรียญเงินออกมาวางทิ้งไว้บนโต๊ะกลางห้อง
“สิ่งนี้ข้าขอคืนให้ท่านก็แล้วกัน เพราะข้าคงไม่ต้องลำบากเรื่องค่าใช้จ่ายหรือที่พักอาศัยไปอีกนาน และไม่ต้องห่วงว่าท่านจะต้องอยู่ในฐานะของเล่นของข้าตลอดไป เอาไว้เมื่อใดที่เบื่อแล้วข้าจะเป็นฝ่ายไปเอง เชิญท่านอธิษฐานให้มีเวลานั้นในเร็ววันก็แล้วกันนะครับ”
คาอิลส่งสายตาพราวอย่างเจ้าเล่ห์ให้เจ้าหญิงซึ่งกำมือแน่นอย่างเดือดแค้นก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องไป เมื่อคล้อยหลังนางจึงไม่อาจเห็นว่าแววที่สะท้อนอยู่ในดวงตาหลังกรอบแว่นนั้นแปรเปลี่ยนไปเช่นไร
เขาพูดต่อด้วยเสียงที่แผ่วเบา ดังพอแค่ให้ตัวเองได้ยิน
“แต่ถ้าวันนั้นมาถึง ข้าสาบานว่าจะไม่มาปรากฏตัวให้ท่านเห็นหน้าอีกตลอดกาล”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 301
แสดงความคิดเห็น