ภูพิง-อิงธารา บทที่ 9
"ภูพิง...ปล่อยฉัน" อิงธาราตะโกนใส่หน้าเขา พลางกำหมัดแน่นอย่างโมโห เธอไม่อาจทนอับอายกับสภาพตัวเองมากไปกว่าที่เป็นอยู่ได้อีก เท่าที่เผลอปล่อยตัวปล่อยใจให้เขาสัมผัสล่วงเกินกันอย่างสนิทชิดเชื้อจนถึงขนาดนี้ ก็รู้สึกอดสูจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนีเต็มทนแล้ว
"แน่ใจว่าจะให้ฉันหยุด" เขาถามกลับ รอยยิ้มและดวงตาแพรวพราวราวเยาะอยู่ในที
"ถ้านายไม่ลุกไปจากตัวฉันล่ะก็...นายจะต้องเสียใจ"
"เธอจะทำอะไรฉันได้...อิงธารา" รอยยิ้มอย่างผู้เหนือกว่าของเขาทำให้หญิงสาวตัดสินใจกระทำการณ์บางอย่าง
มือบางยกขึ้นหมายจะข่วนใบหน้าหล่อให้เสียโฉมแต่ภูพิงไม่พลาดท่าเสียรู้เป็นครั้งที่สอง จึงรวบจับข้อมือบางยกขึ้นเหนือศีรษะอีกครั้ง
"นี่น่ะเหรอ วิธีที่เธอจะจัดการกับฉันน่ะ...อ่อนหัดเต็มที"
ไม่เพียงแต่เย้ยหยันเท่านั้น ชายหนุ่มยังเอาคืนเธอด้วยการปล่อยมือจากข้อมือบาง จับหมับบนหน้าอกอิ่ม ทั้งยังทิ้งสะโพกของเขาทาบทับแนบสนิทติดกายแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน เจตนาให้หญิงสาวรับรู้และสัมผัสถึงความแข็งแกร่งของสิ่งที่เธอหวาดกลัว ซ้ำยังถือโอกาสนี้ใช้กายท่อนล่างสัมผัสเสียดสีความเนียนนุ่มใต้ร่มผ้าจากกายสาวอย่างพึงใจ โดยไม่ทันสังเกตแววตาแข็งกร้าวที่เธอมองเขาอย่างมุ่งร้าย
เพียงเสี้ยวนาที...หญิงสาวที่ดูเหมือนจะยอมจำนนก็กลับ ยกตัวขึ้นแล้วใช้ส่วนที่แข็งที่สุดบนหัวโขกเข้ากึ่งปากกึ่งจมูกของชายหนุ่มสุดแรงเกิด ราวกับจะเอาให้หายแค้น!
“โอ๊ย!” ภูพิงร้องลั่น
ชายหนุ่มละมือจากอกอิ่มยกขึ้นกุมจมูก อิงธาราฉวยจังหวะนั้นทั้งดิ้น ทั้งผลัก ดิ้นรนจนเป็นอิสระจากตัวเขา แล้วตั้งท่าจะวิ่งหนี แต่แข้งขากลับสั่นจนยืนแทบจะไม่อยู่ จึงได้แต่ยืนหอบหายใจมองเขาอย่างระวังระไว
"อิงธารา" เขาคำรามชื่อเธอก่อนจะทรงตัวเองลุกยืน
ผมเผ้าเปียกลู่แนบศีรษะ จุดที่ศีรษะของหญิงสาวกระแทกเกิดรอยแดง เลือดกำเดาไหลหยดย้อยลงจรดคาง แต่เขากลับไม่ใส่ใจที่จะเช็ดออก คราบกระดำกระด่างบนเสื้อผ้าจากการต่อสู้เมื่อครู่ทำให้สภาพของชายหนุ่มดั่งปีสาจที่หลุดออกมาจากขุมนรก อิงธาราหยิบสายยางที่เปิดทิ้งไว้ขึ้นมา แล้วฉีดน้ำใส่เขาที่กำลังปรี่เข้าหาเธออีกครั้ง
คราวนี้หญิงสาวไม่อยู่รอผลลัพท์ที่จะตามมาอีกแล้ว เธอวิ่งเต็มฝีเท้าตรงไปยังประตูใหญ่ ในหัวคิดแต่จะหนีทางเดียวเท่านั้น ท้ายที่สุดร่างบางก็ถูกหิ้วปีกกลับมาโดยฝีมือของยามร่างยักษ์ที่เฝ้าประตูเธอโดนคำสั่งให้ขังไว้ในห้องจนกว่าเจ้าของบ้านจะปล่อยตัว หญิงสาวทั้งก่นด่า สาปส่งให้เขาตายๆ ไปซะ ใช้แรงทั้งหมดกระเสือกกระสนดิ้นรนจนหมดแรง ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมจำนนให้กับโชคชะตาของตัวเอง
เช้านี้อิงธาราตื่นขึ้นมาเพราะเสียงเคาะประตู เธอผุดลุกไปปลดกลอน คนที่ยืนรออยู่หน้าห้องคือแม่บ้านคนที่เธอเห็นวันแรกนั่นเอง ฝ่ายนั้นเพียงบอกให้เธอรีบอาบน้ำลงไปทานอาหาร แล้วเริ่มทำงาน หญิงสาวฉงนกับคำสั่งใหม่ของนายภูพิง แต่ก็ไม่ทันจะได้ถามเพราะแม่บ้านลงไปเสียก่อน เธอจึงรีบอาบน้ำอาบท่าลงไปข้างล่างทันที
มื้อเช้าเป็นข้าวต้มกับกาแฟที่แม่บ้านเตรียมไว้บนโต๊ะเรียบร้อย เธออดที่จะถามหาเจ้าของบ้านจอมหื่นไม่ได้เมื่อไม่เห็นเขา คำตอบที่ได้ทำให้เธอเริ่มวางแผนในใจ
"คุณภูพิงไปข้างนอกค่ะ เย็นๆ ถึงจะกลับ" คำตอบของแม่บ้านทำให้อิงธาราอารมณ์ดี อาการเมื่อยขบจากเหตุการณ์เมื่อวานก็ดูจะคลายลงฉับพลัน
ขณะที่อิงธาราจัดการกับมื้อเช้า แม่บ้านก็บอกรายละเอียดงานที่เธอต้องรับผิดชอบ คราวนี้ภูพิงให้เธอดูแลสวนในบ้านทั้งหมด รดน้ำ พรวนดิน กำจัดวัชพืช และพอรับประทานอาหารเรียบร้อย นายไผ่ยามร่างยักษ์ก็พาเธอเดินสำรวจสวนรอบบ้าน ซึ่งนั้นทำให้อิงธาราถึงกับเหงื่อตก เพราะบริเวณบ้านที่คิดว่าไม่กว้างมากนั้น อันที่จริงแล้วมันกว้างใหญ่พอตัว
"เดี๋ยวผมจะเอาสายยางมาให้ คุณน้ำอิงยืนรออยู่ตรงนี้แหละครับ" นายไผ่บอกก่อนจะเดินหายเข้าไปในโรงเรือนที่อยู่ไม่ไกล ไม่นานก็อุ้มสายยางม้วนใหย่ออกมา ต่อเข้ากับก๊อกน้ำให้เสร็จสับก่อนจะกลับไปประจำตำแหน่ง
อิงธาราทำหน้าที่ของตัวเองไปพลาง สอดส่ายสายตามองหาทางหนีไปพลาง เธอรู้ตัวว่าตกอยู่ในสายตาของนายไผ่ แต่เธอหาได้ใส่ใจไม่เพราะวันนี้เป็นโอกาสเดียวของเธอแล้ว วันที่ชายเจ้าของบ้านไม่อยู่ หญิงสาวไม่รู้ว่าจะมีโอกาสอย่างนี้อีกกี่ครั้ง อย่างไรเธอก็เลือกที่จะเสี่ยง โชคดีก็คงหนีรอด โชคร้ายหน่อยก็คงกลายเป็นศพกลางป่า แต่ถ้าโชคร้ายสุดๆ ที่ต้องถูกจับกลับมาที่นี่อีก เธอก็จะขอฆ่าตัวตายเสียดีกว่าจะยอมตกเป็นเครื่องมือของนายภูพิง
หญิงสาวไม่ใช่ไม่รู้ ว่าภูพิงต้องการครอบครองเธอ เพื่อให้เธอสร้างความอับอายให้กับครอบครัว แต่เขาหารู้ไม่ว่าคนอย่างปองพลนั้นรักหน้าตามากกว่ารักเธอด้วยซ้ำ เขายอมสละลูกสาวอย่างเธอได้ถ้ามีโอกาส ถ้าแผนของภูพิงเริ่มขึ้น นั่นมันจะเป็นวันสุดท้ายของการเป็นวจีลิขิตของหญิงสาวและทุกอย่างที่แม่สร้างขึ้นก็จะตกเป็นของคนอื่นอย่างชอบธรรม ซึ่งอิงธารายอมให้เป็นอย่างนั้นไม่ได้ ที่เธอยอมทนมาจนถึงทุกวันนี้ เพื่อที่จะหาโอกาสทวงทุกอย่างของแม่คืนมา
อิงธาราแสร้งทำตัวว่าง่าย ทำงานอย่างแข็งขัน ไม่ก่อเรื่องวุ่นวายให้ยามร่างยักษ์กับแม่บ้านต้องปวดหัว จนทั้งสองลดความระมัดระวังตัวลง
เมฆดำตั้งเค้าทางทิศตะวันออกเมื่อยามสาย ตกบ่ายก็ลอยตัวต่ำลงเกลื่อนกระจายท้องฟ้าจนมืดครึ้ม เสียงครืนๆ ดังมาเป็นระยะ สายลมเอื่อยเริ่มพัดแรงตามลำดับ อิงธาราหมดกำลังใจที่จะหนี เมื่อสำรวจจนถี่ถ้วนแล้วก็ไม่มีช่องทางไหนที่จะให้เธอหนีไปจากที่นี่ได้เลย ครั้นจะปีนรั้วก็สูงเกินกว่ากำลังของเธอจะข้ามไปได้ หญิงสาวจึงไปด้อมๆ มองๆ หน้าประตูใหญ่ เผื่อฟ้าจะประทานโอกาสให้เธอบ้าง
นายไผ่ผุดลุกผุดนั่งยังป้อมหน้าประตู นี่เขาคงจะกำลังเป็นห่วงเจ้านายอยู่กระมัง อิงธาราได้แต่ภาวนาขอให้ชายหนุ่มอย่าเพิ่งกลับมา ถ้าจะให้ดีก็ขับรถหลงทาง ติดหล่มไปเลยก็ดี เธออ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยนั่งหลบมุมอยู่หลังไม้ต้นใหญ่ที่อยู่ไม่ห่างจากประตูมากนัก โชคดีที่มุมนี้มีไม้พุ่มปลูกติดกัน ทำให้สามารถพลางสายตาจากยามร่างยักษ์ได้ดีพอสมควร
เสียงแตรรถดังแทรกเสียงลมเสียงฟ้าทำให้นายไผ่มีสีหน้าโล่งอก เขากุลีกุจอเปิดประตูให้กระบะกลางเก่ากลางใหม่ที่บรรทุกลังหลายใบแล่นเข้ามา อิงธาราพลูลมออกจากปากเมื่อไม่เห็นภูพิงมากับคนเหล่านั้น และก็เหมือนว่าฟ้าจะได้ยินคำร้องขอของเธอ ขณะที่นายไผ่กำลังจะล็อคกุญแจเสียงแม่บ้านก็ตะโกนเร่งให้เขารีบไปช่วยยกลังเข้าบ้านก่อนที่จะเปียกฝน ยามร่างยักษ์จึงวางแม่กุญแจไว้หน้าป้อมยาม เพราะคิดว่าประเดี๋ยวก็คงต้องเปิดให้รถออกไปอยู่ดี จึงรีบผละจากประตูวิ่งเหยาะๆ ตรงไปหน้าตึกทันที
อิงธาราอยากจะหมอบกราบให้กับความโชคดีในครั้งนี้ หญิงสาวไม่ปล่อยเวลาให้สูญเปล่า เธอลัดเลาะตรงไปหน้าประตูโดยอาศัยพุ่มไม้พลางกาย รอจังหวะที่ทุกคนแบกลังเข้าตัวบ้าน ร่างบางก็รีบวิ่งตรงไปยังประตู ใช้แรงผลักประตูแทรกตัวลอดออกมาแล้วงับประตูเข้าที่เดิม ก่อนจะวิ่งเต็มฝีเท้าไปตามถนนลูกรังที่ทอดตัวกลืนหายไปกับความมืดและฝนเม็ดแรกที่ตกกระทบลงมาอย่างไม่คิดชีวิต
สายลมทวีความแรงขึ้นเป็นลำดับ จนไม้ใหญ่เอนลู่ซ้ายขวาราวกับว่าจะหักโค่นลงมาได้ตลอดเวลา หญิงสาวยืนริมไหล่ทางเพื่อหลบสายตาใครก็ตามที่ออกตามหาเธอหอบหายใจเมื่อมั่นใจว่าวิ่งมาได้ไกลพอสมควร จากความตื่นเต้นแทนที่ด้วยความกังวลเมื่อฝนเม็ดโตๆ ตกกระทบศีรษะลงมาถี่ๆ ฟ้าแลบแปลบปลาบสลับกับเสียงครวญครางของฟ้าร้องทำให้บรรรยากาศทวีความน่ากลัว แต่อิงธาราก็ไม่คิดที่จะถอยหลังกลับไปอีก
หญิงสาวมุ่งหน้าต่อไป โดยยึดถนนเส้นนี้ไว้มั่น อย่างน้อยเธอก็มั่นใจว่ามันไม่พาเธอหลงทางแน่นอน
ปัง! "กรี๊ด!" เสียงปืนตามด้วยเสียงกรีดร้องของผู้หญิงทำให้เท้าที่ก้าวอย่างสม่ำเสมอหยุดชะงัก หญิงสาวใจหายวาบหันซ้ายแลขวาอย่างตระหนก เสียงนั่นทำเอาเธออยากจะหันหลังกลับเสียเหลือเกิน แต่ไม่ทันที่จะตัดสินใจทำอะไรก็ต้องสะดุ้งจนตัวโยน
“ปัง ปัง ปัง!!” เสียงปืนที่ดังติดกันรัวๆ ในทิศทางเดิมยิ่งทวีความตื่นตระหนกมากขึ้นไปอีก
ขณะที่หญิงสาวตัดสินใจไม่ถูกอยู่นั่น ปลายหางตาก็เห็นแสงไฟหน้ารถส่องถนนเป็นลำใกล้เข้ามา เธอไม่หยุดคิดให้เสียเวลา ค้อมตัวนั่งลงอาศัยสุมทุมพุ่มไม้ข้างถนนช่วยพลางตัว
รถตู้แสนคุ้นตาวิ่งห้อตะบึงท่ามกลางสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ขาดสายผ่านไป แน่ละว่าคนขับจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากภูพิง...เขากำลังกลับบ้าน...และเวลาของอิงธาราก็เหลือน้อยเต็มที และเมื่อเขารู้ว่าเธอหายตัวไป เขาคงไม่นิ่งนอนใจและพลิกแผ่นดินตามล่าตัวเธอเป็นแน่ หญิงสาวคิดว่าถ้าถูกจับกลับไปก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะมีชีวิตรอดออกไปไหม ทางเดียวก็คือเธอจะต้องหนีให้รอดเท่านั้น
สายลมกรรโชกแรงจนไม้ใหญ่เอนลู่พร้อมจะหักโค่นได้ตลอดเวลา รอบกายขมุกขมัวจากม่านฝนที่เทกระหน่ำอย่างไม่ลืมหูลืมตา หญิงสาวหยัดกายโดยใช้มือเกาะต้นไม้ที่ยังไม่โตเต็มที่พยุงร่าง กวาดตาหาที่หลบฝนเพื่อรอให้ฝนซาก่อนจะวางแผนหนี แต่เสียงกัมปนาทจากอาวุธปืนสลับกับเสียงหวีดร้องอย่างหวาดกลัวของผู้หญิง ดังใกล้เข้ามายังจุดที่เธอยืนอยู่ทุกขณะ หญิงสาวจึงตัดสินใจทิ้งถนนเส้นหลักเพื่อหลบกลุ่มคนพวกนั้น แต่ยังไม่ทันที่เธอจะออกวิ่งหนึ่งในกลุ่มชายฉกรรจ์ที่กำลังไล่หญิงสาวอีกคนก็หันมาเห็นเธอพอดี
"นั่น!...มีอีกคนลูกพี่" อิงธาราใจหายวาบเมื่อชายหน้าบากซึ่งเธอคิดว่าน่าจะเป็นลูกพี่มองตรงมายังเธอที่ยืนตัวสั่น
"จับไปให้หมด" จบคำกลุ่มชายฉกรรจ์ก็แยกออกเป็นสองกลุ่ม เห็นดังนั้นอิงธาราก็หันหลังออกวิ่งเข้าไปในป่าทึบท่ามกลางสายฝนโดยมีชายฉกรรจ์กลุ่มที่แยกตัวไล่ตามเธอและตะโกนข่มขู่อยู่ข้างหลัง
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 425
ความคิดเห็น
ฝากด้วยค่า
แสดงความคิดเห็น