ตอนที่ 63 ประชันอักษร – คู่ปทุมมาลย์หนึ่งก้านอุทุม (1)
ตอนที่ 63 ประชันอักษร – คู่ปทุมมาลย์หนึ่งก้านอุทุม (1)
“นี่มัน....นี่มัน....น่าเหลือเชื่อจริงๆ!”
“สวรรค์ ข้าไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลย”
“นี่มันเหนือจินตการเกินไปแล้ว! ในที่สุดตอนนี้ข้าก็ได้รู้จักสิ่งที่เรียกว่าภาพวาดฝีมือที่แท้จริง!”
“ข้าขอสมัครเป็นศิษย์ ข้าต้องการเป็นลูกศิษย์เขา!”
“พอเถอะ เขาเป็นถึงนายน้อยแห่งตระกูลเย่ แล้วจ้าวสำนักเล็กๆอย่างเจ้าจะเป็นศิษย์เขาได้อย่างไร ยิ่งกว่านั้นเจ้ายังแก่เกินไปด้วย”
...........................
เสียงตะโกนอุทานดังเซ็งแซ่ไปทั่วบริเวณ ทั้งยังกระตือรือล้นยิ่งกว่าครั้งที่หลินเสี่ยวได้รับคำชม นับเป็นฝีมือการวาดของอัจฉริยะที่แท้จริง พวกเขาไม่เคยพบหรือได้ยินความสามารถเช่นนี้มาก่อน
มองที่รูบนกระดาษ หลินเสี่ยวสำเหนียกว่าตนเองแพ้ลงแล้ว...เย่หวูเฉินใช้เวลาเพียงไม่กี่อึดใจวาดหนอนเขียวขึ้นมา ขณะที่เขาใช้ความพยายามทั้งหมดถึงสิบนาทีกลับพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง ความภาคภูมิทรนงถูกฉีกจนเป็นชิ้นๆ สิ่งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ว่า ‘คู่ควรผยองในฝีมือ’ ได้กลับมาตบหน้าของตนเข้าอย่างจัง
เนื่องจากนกขนเขียวจิกภาพวาดจนเป็นรู จึงเท่ากับภาพวาดถูกทำลายไป หลินเสี่ยวได้แต่ลอบถอนหายใจพร้อมกับคิดว่า หากนี่เป็นแผนที่เย่หวูเฉินวางเอาไว้ เช่นนั้นความฉลาดของเขานับว่าน่าสะพรึง
สิ่งที่หลินเสี่ยวคิดและไม่อยากเชื่อ กลับกลายเป็นเช่นนั้นจริง เย่หวูเฉินผู้มีพลังแห่งจิตใจ ยามใส่ใจมองที่ฮั่วฉุ่ยโหรว เขาย่อมสังเกตเห็นปักษาขนงามกำลังหิวโหย และผลลัทธ์ที่ตามมา เมื่อหลินเสี่ยววาดภาพสระกระจ่างวารีแล้วเสร็จ เย่หวูเฉินจึงสำเร็จโทษประหารแก่ภาพวาดนี้
สมบูรณ์โดยสองบุรุษ? ภาพนี้คู่ควรงั้นหรือ? ทำลาย! องค์จักรพรรดิจะเก็บเป็นภาพสะสมอย่างนั้นหรือ? สะสมส้นตึกสิ! ถูกเจาะรูอยู่บนภาพ ดูซิว่าองค์จักรพรรดิยังจะอยากเก็บมันไว้อยู่มั้ย?
“นับถือ นับถือยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นฝีมือการวาดหรือมุมมอง ข้าหลินเสี่ยวขอยอมรับความพ่ายแพ้!” หลินเสี่ยวกล่าวพลางถอนหายใจ
เย่หวูเฉินพยักหน้ารับอย่างสงบ จากนั้นชี้แนะด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อืม พื้นฐานของท่านนับว่าไม่เลว ดังนั้นขอให้พยายามต่อไป บางทีสักวันท่านอาจจะบรรลุฝีมือการวาดขั้นสูงได้”
หลินเสี่ยว “......”
“ยอดเยี่ยม! ยอดเยี่ยม! ฝีมือการวาดของเจ้ากระทั่งเหนือล้ำกว่านักศึกษาอันดับหนึ่งแห่งเทียนหลง ทั้งยังทำให้เขายอมจำนนอย่างเต็มใจ ดูเหมือนข้าจะประเมินฝีมือของเจ้าต่ำเกินไป แต่ว่า....” หลงหยินเหลือบมองไปที่กระดาษว่างเปล่าของเย่หวูเฉิน “จากกติกาที่ข้ากำหนดไว้ เมื่อครบหนึ่งในสี่ชั่วโมงจะตัดสินผู้ชนะ และเจ้ายังไม่ได้วาดสิ่งใดลงไป ดังนั้นผลประลองในรอบแรกเจ้ายังคงเป็นฝ่ายแพ้”
ทุกๆคนต่างเห็นว่าหลินเสี่ยวแพ้แล้ว กระทั่งเขาเองยังยอมรับ เย่หวูเฉินเอาชนะหลินเสี่ยวด้วยหนอนเขียวที่วาดลงบนภาพของหลินเสี่ยว แต่สิ่งที่จักรพรรดิกล่าวนั้นก็ถูกต้อง หากเขาต้องการตัดสินจากภาพวาดของแต่ละคน เช่นนั้นผู้ใดจะกล้าคัดค้าน?
ใครก็ตามที่องค์จักรพรรดิต้องการให้เป็นผู้ชนะ เขาจะเป็นฝ่ายชนะ ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้องค์จักรพรรดิยังคงเข้าข้างตระกูลหลิน เย่หวูเฉินแพ้อย่างเป็นทางการแม้ว่าผลลัพธ์จริงๆแล้วจะตรงกันข้าม
“ช้าก่อน” เย่หวูเฉินโบกมือกล่าว “จากกติกาที่ฝ่าบาทกำหนด เวลาที่กำหนดไว้คือหนึ่งในสี่ชั่วโมง จากการคำนวนของข้าตอนนี้ยังไม่ครบเวลา”
ผู้ติดตามชุดเหลืองที่อยู่เบื้องหลังหลงหยินกล่าว “ฝ่าบาท นายน้อยเย่กล่าวได้ถูกต้อง ตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งนาทีก่อนจะครบกำหนด”
“โฮ่? อย่างนั้นเจ้าหมายความว่า? เจ้าจะใช้เวลาที่เหลืออีกหนึ่งนาทีวาดภาพให้เสร็จ?” หลงหยินถาม
“ถูกต้อง!”
“ประเสริฐ! เช่นนั้นก็จงทำให้ข้าตื่นเต้นอีกครั้ง มาดูกันว่าเจ้าจะวาดภาพใหญ่ขนาดนั้นภายในเวลาหนึ่งนาทีได้เช่นไร” หลงหยินที่เฉไฉก่อนหน้า ยามนี้สีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวัง
เย่หวูเฉินหมุนตัวไปยกมือทั้งสองขึ้น “กลับไปหาเจ้านายของเจ้า”
ปักษาขนเขียวบินวนรอบตัวเขาสองรอบ จากนั้นลังเลบินกลับไปหาฮั่วฉุ่ยโหรว แม้ว่ามันจะเป็นสัตว์ทั่วๆไป แต่มันก็ยังมีความฉลาดอยู่บ้าง มันรู้จักความเมตตาและความเกลียดชัง เมื่อครู่ตอนที่มันบาดเจ็บเล็กน้อยจากแรงกระแทก และได้รับการรักษาในทันทีจากเย่หวูเฉิน ความเมตตาของเขาได้ประทับอยู่ในความทรงจำของมัน
สายตาของเขามองตามปักษาขนงามโดยไม่สนใจเวลาที่ผ่านไป เห็นฮั่วฉุ่ยโหรวกุมประคองนกอยู่ในสองมือนาง เขายิ้มบางให้กับหญิงสาวจนนางต้องรีบก้มศีรษะหลบไป ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาอีกพักใหญ่
เย่หวูเฉินก้าวไปยืนเบื้องหน้ากระดานวาด หยิบพู่กันลงจุ่มในน้ำหมึก จากนั้นหลับตาผ่อนคลายจิตใจ ฉับพลันเขาตวัดวาดลากเส้นหมึก สลับแปลงปัดจับจุ่มเคลื่อนอย่างลื่นไหล กวัดแกว่งแขนเหนือล้ำกว่าหลินเสี่ยวอย่างชัดเจน ไม่อาจมองตามแขนขาวเคลื่อนได้ทัน ผู้คนจังงันในทันที แม้พวกเขารู้ว่าเย่หวูเฉินเหลือล้ำกว่าหลินเสี่ยวไปมาก แต่ผู้ชมก็ยังคงตกตะลึงกับปรากฎการณ์ที่น่าเหลือเชื่อ การเคลื่อนแขนนั้นไม่เพียงเป็นของยอดจิตกร แต่ยังจำต้องอาศัยวิชายุทธระดับสูง
เย่หวูเฉินขยับไปเบื้องหน้า ท่วงท่าไร้ตำหนิ เขาขยับแขนเคลื่อนพัดดุจสายลม จนผู้คนไม่อาจเห็นว่าเขาวาดสิ่งใด ยกเว้นอยู่ผู้หนึ่งคือหลินเสี่ยวที่ยืนอยู่เบื้องขวา หากแต่สายตาเขาไม่ได้จับจ้องไปยังภาพ แต่มองติดตรึงที่มือของเย่หวูเฉิน รายละเอียดของภาพไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเขาอีกต่อไป ตัดสินจากทักษะและความเร็ว เขารู้ดีว่าตนเองนั้นได้พ่ายแพ้ลงอย่างหมดหวัง
ปกติผู้ชำนาญการต่อสู้มักสนใจเพียงเฉพาะวิชายุทธ ในการประยุกต์ทักษะยุทธร่วมกับทักษะอักษร หากบุคคลใดใส่ใจพร้อมสองวิชา ย่อมสูญเสียเจตนาเพ่งพินิจสิ่งหนึ่งไป นำไปสู่การล้มเหลวในสองศาสตร์ แต่หลินเสี่ยวผู้มีพรสวรรค์ประทานทั้งวรยุทธและอักษร เขาจึงสามารถบรรลุขั้นลึกล้ำเหนือผู้คน ใช้สองศาสตร์ประสานรับเกื้อหนุนกัน เขามีความเร็วในการวาดที่ทำผู้คนอับจนคำพูด ซึ่งหากไม่ใช่เพราะพลังแห่งยุทธวิชา เขาก็ไม่อาจกลายเป็นสุดยอดนักวาดฝีมือ เพราะเหตุนี้ จึงทำให้เขาสามารถดื่มด่ำกับทักษะการวาดอันไร้ที่เปรียบปาน
เหตุผลใดที่เขาท้าเย่หวูหวูเฉินให้ประลอง? เขาชนะการประลองยุทธสองรอบติดต่อกัน เขาได้รับคำยกย่องว่าเป็นที่หนึ่ง แต่เย่หวูเฉินกลับโผล่มาเอาชนะเขาอย่างเจ็บปวด จนถึงตอนนี้ เขายังคงไม่อาจกล้ำกลืนยอมรับความพ่ายแพ้ได้ลง เย่หวูเฉินกระทั่งฝากแผลไว้บนใบหน้า แม้แต่ฮั่วเจิ้นเทียนที่พยายามกู้ชื่อให้เขากลับยังต้องมาพ่ายแพ้ตาม สุดท้ายปู่สองที่เป็นรองเพียงเทพกระบี่ยังต้องแพ้เดิมพัน ถูกย่ำยีและอ่อนล้า... สูญเสียบาดลึกเกินทน ไม่เพียงแค่พ่ายแต่เกียรติยศยังถูกทำลาย กลายเป็นที่หัวเราะเป็นตัวตลกที่น่าอับอาย ทั้งยังไม่อาจหลีกเลี่ยงคำดูถูกเหยียดหยามได้
ตระกูลหลินไม่เคยตกต่ำถึงเพียงนี้ ทั้งยังเกิดในชั่วเวลาสั้นๆต่อหน้าจักรพรรดิและขุนนางนายพล พวกเขาพ่ายแพ้ภายใต้น้ำมือของคนเพียงผู้เดียว บุตรชายคนเดียวแห่งตระกูลเย่
ดังนั้นเพื่อที่จะกอบกู้ชื่อเสียงของพวกเขากลับคืนมา เขาจึงอาสาท้าประชันอักษรกับบุคคลหนึ่งที่เยาว์วัยยิ่งกว่าเขา แม้ว่าต้องฝืนจิตวิญญาณเพื่อนำชื่อเสียงของตระกูลกลับคืนมา กลับกลายเป็นว่าเขานำชื่อเสียงเพิ่มให้ฝ่ายตรงข้าม ทั้งกลายเป็นทางให้อีกฝ่ายเดินผ่านสู่ความสำเร็จ
เขาสำนึกเสียใจ ก่อนนี้ เขาเชื่อมั่นเต็มเปี่ยม ทะเยอทะยานอย่างสูงส่ง เวลานี้ความเชื่อมั่นถูกทำลายไม่เหลือรอย เขากระทั่งไม่เหลือความมั่นใจในรอบต่อไป
เย่หวูเฉินได้พลังเหล่านี้มาจากไหน...เขากระทั่งเยาว์วัยยิ่งกว่าข้า! ตั้งแต่สิบปีก่อนเขายังถูกเรียกมาโดยตลอดว่าเป็น ‘นายน้อยขี้โรค’ หรือจะเป็นไปได้ว่าตระกูลเย่ปิดบังความจริง? เช่นนั้นพวกเขาทำแบบนี้มีจุดประสงค์เพื่ออะไร? เหตุใดพวกเขาถึงเผยออกมาในวันนี้ หากจะมีความจริงในข่าวลือ การที่เขาหายไปหนึ่งปีย่อมเป็นเพียงฉากหน้า... เช่นนั้นในระหว่างหนึ่งปี การผจญภัยลึกลับน่าหวาดหวั่นแบบไหนที่เขาต้องเผชิญ? เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาอาจจะเป็นอีกคน?
เหลือบแลดูสีหน้าของตระกูลเย่ที่อยู่ห่างๆ เขาลอบปฏิเสธความคิดที่ทำให้เจ็บปวดรวดร้าว
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 297
แสดงความคิดเห็น