STARCIN ภาคที่ 3 Yan Festival ตอนที่ 20 ร้องเรียก

-A A +A

STARCIN ภาคที่ 3 Yan Festival ตอนที่ 20 ร้องเรียก

24 ตุลาคม พ.ศ.2575

"ให้ตายเถอะเพราะเธอแน่ ๆ ที่ทำให้พวกทหารเพิ่มการคุ้มกัน แถมพอส่งตัวยูกิเข้าไปก็ดันรู้อีกทั้งที่ยังอยู่ในร่างแปลงของซึฮากิอยู่" สเตล่านั่งอยู่บนกิ่งไม้สูงมองดูเมืองที่อยู่ไม่ไกลนักพอที่จะเห็นพวกทหารเดินไปมาได้

"เฮ้ ! สเตล่าลงมากินได้แล้ว" ยูกิตะโกนเรียกเธอลงมาดูท่าจะสนิทสนมกันมากขึ้นจนเห็นได้ชัด ยูกิเองก็เหมือนจะลดความระแวดระวังตัวลงหรือเพราะว่าเจอเหตุการณ์เฉียดตาย ลำบากตากตำมาด้วยกัน

"พวกเราอยู่ในป่ามาทั้งวันแล้วนะ ทำไมพวกทหารถึงไม่คิดจะเข้ามาตรวจสอบกันบ้าง ?" นาธาเอ่ยถาม

"อาจจะเพราะตอนนี้มีพวกกองโจรอยู่ใกล้ ๆ เหมือนกัน เลยไม่อยากจะเสี่ยงแบ่งคนไปตรวจที่อื่น" พวกเธอนั่งกินเนื้อไก่ป่าที่ถูกเสียบย่างไว้ อีกทั้งยังมีผลไม้และกระบอกไม้ไผ่ที่เก็บน้ำไว้ดื่มเหมือนกับกำลังตั้งแคมป์กันในป่า

"เธอก็เก่งเหมือนกันนะเนี่ย หาเสบียงทั้ง ๆ ที่อยู่ในป่าได้ไวขนาดนี้" 

"ถ้าได้เดินทางบ่อย ๆ ก็จะชินไปเอง ยิ่งตอนมาอยู่กับพวกกิแล้วก็...ยิ่งได้รู้เทคนิคหลาย ๆ อย่าง ยังไงก็เถอะนายรีบกินเข้าไปได้แล้วเห็นผอมแห้งดูไม่มีแรงเอาซะเลยเดี๋ยวก็หนีหรือสู้ไม่ไหวหรอก" เธอมองค้อนใส่นาธา ดูรูปร่างที่ผอมแห้งน่าจะอดมื้อกินมื้อมานานจนคิดว่าเป็นตัวถ่วงแน่ ๆ 

"อา...ขอบใจ" 

ไม่นานนักก่อนที่จะกินอิ่มด้วยซ้ำ จู่ ๆ พวกเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ทำเอาสเตล่ากระโดดขึ้นไปบนต้นไม้มองหาที่มาของเสียง

"อะแฮม แม่หนูลดอาวุธของเธอลงก่อนจะดีกว่านะ" ใบดาบยาวกำลังจ่อมาที่คอของเธอจนเลือดซึมออกมา

"สเตล่า-" ทั้งนาธาและยูกิก็ถูกล้อมไว้ด้วยจำนวนคนหลายสิบพร้อมด้วยอาวุธครบมือ

"พวกแกคงจะเป็นกองโจรสินะ" สเตล่าค่อย ๆ ทิ้งมีดสั้นตกลงปักบนพื้นที่อยู่ข้างล่างพอดี

"ฮ่าฮ่าฮ่าฉลาดไม่เบานี่ งั้นก็ส่งของมีค่ามาซะไม่สิพวกแกทั้งหมดต้องไปกับเรา" สเตล่าไม่แม้แต่จะขัดขืน พึ่งจะหนีออกมาจากคุกนั่นได้แต่ก็ดันมาถูกคนอื่นจับได้อีกบาดแผลเก่าก็ยังไม่หายดีเคลื่อนไหวได้ไม่เหมือนกับปกติ

"ดีต้องแบบนั้นสิ" ชาคพ่อหนุ่มร่างสูงใหญ่รวบแขนของสเตล่าไว้แน่นก่อนจะเก็บดาบเพื่อหยิบเชือกมามัดแขนไว้แต่มันก็เป็นโอกาสให้สเตล่าเหยียดเท้าสุดขาเตะกลับหลังเข้าไปที่ระหว่างขาของชาคพอดีจนจุกทรุดลงนั่ง

"คุณชาค !" พรรคพวกของเขาต่างก็ตกใจจนคาดสายตาไปจากนาธา เขาใช้มีดสั้นที่สเตล่าให้ไว้สร้างเวทไฟพุ่งใส่บริเวณหน้าของพวกมันแม้จะไม่รุนแรงมากนักแต่ก็ทำให้มองไม่เห็นไปพักหนึ่ง

สเตล่าถีบชาคจนร่วงลงจากต้นไม้ก่อนที่เธอจะชักมีดสั้นอันสำรองออกมาเตรียมมานาจำนวนหนึ่งกระโดดตามลงไปหวังจะซ้ำให้ตายแต่สิ่งที่คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้นเมื่อทั้งเธอและชาคถูกหยุดอยู่กลางอากาศ

"ท-ท่านวาล" เสียงสั่น ๆ พยายามพูดทั้งที่ยังทรมานกับอาการจุกอยู่ วาลค่อย ๆ ปล่อยชาคลงบนพื้นอย่างนิ่มนวล

"ไหวพริบดีและการที่มาแอบอยู่ในป่าช่วงที่มีโจรชุกชุมแบบนี้ คงไม่ใช่การตั้งแคมป์กันแน่ ๆ หากแต่พวกเธอไม่สามารถเข้าไปในเมืองได้ด้วยเหตุผลบางอย่าง" เสียงของวาลที่กำลังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ พร้อมกับร่างของสเตล่าที่เหมือนกับมีอะไรบางอย่างรัดตัวไว้แล้วดึงไปหาวาล

"พวกแกต้องการอะไร ? ถ้าจะปล้นก็เชิญเลยพวกฉันก็แทบจะไม่มีอะไรอยู่แล้วหรือจะฆ่าเลยล่ะ" น้ำเสียงประชดประชันพูดตะคอกใส่วาลในระยะประชิดโดยไม่รู้สึกเกรงกลัว

"ฉันแค่เห็นว่าพวกเธออยู่ในสถานะที่คล้ายกับทางเรา ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยถ้าจะมาเข้าร่วมกับฉันหากอยู่กันเป็นกลุ่มใหญ่เราจะมีอำนาจในการต่อรองหรือสู้รบมากขึ้น"

"เหอะ ถ้ามีอำนาจต่อรองจริงแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้มันคืออะไร ? พวกทหารในเมืองเพิ่มการป้องกันที่แน่นหนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด" 

"ถ้าการต่อรองหรือเจรจาไม่ได้ผลก็คงต้องมีการนองเลือดกันสักหน่อยแล้วล่ะ" ไม่นานนักพวกกองโจรหลายสิบคนก็โผล่หัวออกมาจนยากที่จะนับเตรียมอาวุธพร้อมจะทำสงครามเล็ก ๆ เป็นที่เรียบร้อย

"ดูเหมือนจะเตรียมตัวมาพร้อมเลยสินะ..." ทันใดนั้นเธอก็เหลือบไปเห็นดีน่าและตัวประกันคนอื่น ๆ ในสภาพสะบักสะบอมอย่างกับคนไร้บ้านไร้สารอาหาร

"กลุ่มอื่นเตรียมตัวพร้อมหมดแล้วสินะ" วาลเอ่ยถามพรรคพวกของเขา

"ครับตอนนี้พวกเราได้ล้อมเมืองยานไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งประตูทิศตะวันออกที่อยู่กับแม่น้ำสายหลักรวมถึงเส้นทางจากเมืองแอสต้า หากมีกำลังเสริมจากพวกทหารมาเราจะได้ขัดขวางและส่งสัญญาณมาได้ทันที"

"ดี ! งั้นเริ่มแผนยึดเมืองได้เลย" พวกเขาจับตัวประกันเกือบสิบคนที่ดูแล้วอาจจะเป็นคนมีชื่อเสียงและมีฐานะเป็นใหญ่เป็นโต มัดแขนไหว้หลังใช้ผ้ายัดเข้าไปในปากไม่ให้พูดหรือแหกปากโวยวายได้ พวกมันใช้เหล่าตัวประกันเป็นโล่เพื่อเดินทัพมุ่งไปยังเมืองยานโต้ง ๆ ไม่มีการแอบซ่อนอะไรทั้งนั้นเล่นเอาพวกทหารและผู้คนภายในเมืองสับสนวุ่นวายกันไปหมด

"หยุดเดี๋ยวนี้ถ้าพวกแกก้าวเข้ามาอีกก้าว ! ฉันนี่แหละจะจัดการเอาให้กู่ไม่กลับเลย !" ทหารยามที่กำลังตกใจกับกองกำลังของโจรที่มุ่งตรงมา เขาส่งคนไปแจ้งข่าวโดยที่ตัวเองพยายามยื้อเวลาไว้

"เหอะเลเวลแค่สี่ยังจะมาพูดอะไรแบบนั้นอีก ที่เห็นม้าเมื่อกี้แสดงว่ากำลังไปแจ้งข่าวสินะแต่ต่อให้พวกทหารมารวมกลุ่มกันหมดก็ไม่มีทางเข้าชนะพวกเราได้หรอก" ชาคเดินนำทัพไม่สนใจทหารยามตรงหน้า เพลิงสีชาดเคลือบไปทั่วใบดาบสะบัดฟาดลงสร้างคลื่นเปลวเพลิงมุ่งซัดและเผาทุกสิ่งทุกอย่างที่มันผ่าน

"รีบอพยพพลเรือนออกไปเร็ว !" หนึ่งในทหารยามตะโกนบอกเพื่อน ๆ ของเขาขณะที่ตัวเองพยายามใช้เวทโล่ป้องกันไว้

"เสียเวลาเปล่า ๆ" กลุ่มโจรหลายสิบคนพุ่งเข้าประชิดฆ่าทหารยามคนนั้นอย่างเลือดเย็น และยังเคลื่อนทัพต่อเข้าไปในเมือง

"อย่าพึ่งฆ่าพวกชาวบ้านล่ะ พวกมันยังมีประโยชน์ในการเป็นตัวประกันอยู่แต่ถ้าเป็นเจ้าพวกทหารละก็...จัดการได้เลยทันที" วาลออกคำสั่งสุดท้ายก่อนจะถอยไปอยู่ด้านหลังคอยเดินตามสบาย ๆ 

"บุกยึดป้อมตรงกำแพงให้หมดก่อน เราจะค่อย ๆ บีบพวกมันเข้าไปถ้าเป็นไปตามแผนเราจะยึดเมืองพร้อมทั้งเสบียง ทรัพยากรสิ่งของและแรงงานจำนวนมาก" พวกเขาเริ่มที่การขึ้นไปยึดป้อมปราการประจำแต่ละประตูที่อยู่สูงบนกำแพงใหญ่ กว่าที่พวกทหารจะมาก็สายไปแล้วเพราะพื้นที่ทางเข้าถูกยึดได้อย่างสมบูรณ์

"ประกาศไปถึงเหล่าทหารทั้งหมดเตรียมกำลังพร้อมรบไว้ กองโจรไม่ทราบจำนวนได้เข้ายึดพื้นที่ส่วนหนึ่งไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกมันตัดน้ำตัดไฟและล้อมพวกเราไว้หากใครก็ตามที่พอจะมีฝีมือหรือเลเวลตั้งแต่สามขึ้นไป...ได้โปรดช่วยพวกเราด้วย เพียงกำลังทหารที่เรามีอย่างเดียวในตอนนี้ไม่อาจจะสู้ได้" เสียงประกาศดังลั่นไปทั่วเมืองอย่างต่อเนื่องขณะที่ทุกคนกำลังสับสนทำอะไรไม่ถูก บางคนก็อยากจะหนีออกจากเมืองไปก่อนแต่ก็ถูกพวกทหารห้ามไว้

"นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น ? ทำไมบ้านฉันไฟฟ้าดับน้ำก็ไม่ไหลแล้วยังจะมากักบริเวณพวกเราอีก" หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาขณะที่ชาวเมืองกำลังมุงดูพวกทหารตั้งแนวรบ

"ใช่ ๆ ! ขนาดมีทหารเยอะแบบนี้ยังปกป้องเมืองไม่ได้ แล้วภาษีที่เราจ่าย ๆ ไปเพื่ออะไรกันล่ะ ?"

"วันนี้ฉันต้องไปเยี่ยมลูกที่แอสต้าด้วย ! เสียเวลาจริง ๆ" พวกชาวเมืองเริ่มจะโกรธเกรี้ยวตะโกนด่าทอพวกทหารที่ไม่ทำอะไรสักที

"พัศดีเบ็นครับแบบนี้ชักจะแย่ไปใหญ่แล้ว หรือสัญญาณแจ้งเตือนที่เรือนจำก็เป็นฝีมือพวกมันด้วยแต่เราจะรอไปอีกนานแค่ไหนครับ ?" นายทหารกระซิบคุยกับเบ็นขณะที่กำลังฟังเสียงประชาชนโวยวายอยู่อย่างใจเย็น

"ใจเย็นก่อนน่า ที่พวกเขากังวลก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่เราต้องพยายามกล่อมไว้ไม่ให้ออกนอกเขตที่คุ้มกันถึง" เบ็นตอบกลับโดยไม่มีท่าทีร้อนรนเลยแม้แต่น้อย

"แต่เราจะทำไปได้ถึงไหนล่ะครับ ? ทำไมถึงไม่รวมกำลังพลไปจัดการกับพวกมันเลย"

"ต้องจัดการอยู่แล้วแต่จะเป็นหน้าที่ของเจ้าพวกนั้น" เบ็นหันหน้าไปมองกุสตาฟที่กำลังคุยอะไรสักอย่างกับมือขวาของตน

"แบ่งพรรคพวกไปสี่กลุ่มตามประตูเมืองที่มันเข้ายึด พยายามเงียบให้ได้มากที่สุดเราต้องช่วยตัวประกันออกมาให้ได้ก่อนถึงจะเอากองกำลังที่เหลือบุกเข้าไป" 

กลุ่มคิวเทจำนวนเกือบร้อยได้กระจายตัวกันไปแต่ละป้อม พวกเขาส่งหน่วยสอดแนมแค่สองสามคนที่สามารถลักลอบเข้าไปได้อย่างแนบเนียน โดยเป้าหมายอันดับแรกคือการปลดปล่อยตัวประกัน

"ป้อมปราการพวกนี้เป็นของพวกเราชาวเมืองยาน ไม่มีใครรู้เส้นทางไปมากกว่าเราแล้วล่ะ" ชายหนุ่มผอมเพรียวเดินลัดเลาะไปตามทางที่มืดสลัว ๆ มีเพียงแสงอาทิตย์ลอดผ่านช่องอิฐช่องปูนเข้ามาพอให้เห็นทาง

"จากหน่วยสังเกตการณ์ระยะไกลดูเหมือนพวกตัวประกันจะอยู่บนดาดฟ้า ถ้าจำไม่ผิดจะมีบันไดสำหรับปีนขึ้นอยู่แถวนี้"

ไม่นานนักเขาก็ได้พบบันไดยาวขึ้นตรงไปข้างบน แม้มันจะดูเก่า ๆ ไปหน่อยแต่ก็ยังรับน้ำหนักตัวได้อยู่

รอก่อนนะทุกคนฉันกำลังจะไปช่วย 

จิตใจอันดีงามที่อยากจะช่วยเหลือของเขาช่างน่าชื่นชมยิ่งนักหากแต่มันทำได้สำเร็จนะ ทันทีที่เขาขึ้นไปบนดาดฟ้าก็ถูกพวกชาคล้อมไว้โดยไม่ทันได้ตั้งตัว ถูกทรมานเค้นข้อมูลและสุดท้ายก็ถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตาตัวประกันที่เขาพยายามจะมาช่วย

"ถ้าไม่ได้ท่านวาลคงจะโดนแทงข้างหลังไปแล้วแน่ ๆ ความสามารถในการตรวจจับช่างมีประโยชน์จริง ๆ ถ้าผมมีบ้างก็คงจะดี" ชาคคุยกับวาลยิ้มแย้มดูมีความสุขดีทั้ง ๆ ที่ตรงหน้ายังมีศพและกองเลือดนองพื้น

"ฮ่าฮ่า พยายามฝึกฝนเข้าล่ะเลเวลก็ตั้งเจ็ดแล้วอีกหน่อยก็คงจะสู้ฉันได้สบาย ๆ"

"ฝีมือผมยังห่างไกลกับท่านวาลมากครับไม่อาจประมือได้อย่างแน่นอน"

"ถ่อมตัวเสียจริงเลยนะ ไหนลองใช้เวทมนตร์นั่นให้ฉันได้ดูสักหน่อยสิ...จะพังบ้านแถบ ๆ นั้นไปเลยก็ได้" ชาคพยักหน้าตอบรับยืนอยู่ริมดาดฟ้ามองตรงไปยังหมู่บ้านเล็ก ๆ ตรงหน้า

"[เมเทโอ]" ชาคหายใจเข้าออกเป็นจังหวะสูดลมเข้าเต็มปอด ตั้งสมาธิขั้นสูงสุดในความรู้สึกของเขาได้ลบสิ่งรบกวนรอบข้างออกไม่ได้ยินไม่รับรู้ ก่อนจะรวบรวมมานาจำนวนมากไว้ที่ดาบของเขาและเมื่อชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้าเอียงมาทางชุมชนที่อยู่ใกล้ ๆ ไร้ผู้คน สร้างลูกบอลไฟขนาดใหญ่ยักษ์พอ ๆ กับตึกทั้งหลังพุ่งเข้าทำลายเมืองในส่วนนั้นเละเทะจนดูไม่ได้ เสียงระเบิดโครมครามดังสนั่นไปถึงกลางเมืองที่พวกคนมีฐานะอยู่

"นั่นมันอะไร !" พวกเขาต่างก็ตื่นตระหนกตกใจมากกว่าก่อนเสียอีกแต่ก็ไม่สามารถเทียบได้กับผู้คนที่อาศัยอยู่แถวนั้น ที่ได้แต่มองดูบ้านเรือนข้าวของของตัวเองมลายหายไปต่อหน้าต่อตา อีกทั้งความร้อนและเศษไฟของมันก็กระจายตัวออกไปอีกทำให้ไฟลุกลามกับบ้านใกล้ ๆ ต่อไป

"แม่จ๋า..." ลูกเด็กเล็กแดงถึงกับร้องไห้สั่นกลัวขึ้นมาขณะที่พวกทหารพาชาวบ้านหนีไปอยู่กลางเมืองให้อยู่ห่างไกลจากจุดที่พวกโจรยึดมากที่สุด

"ลูกอยู่กับแม่ไว้ห้ามไปไหนคนเดียวเด็ดขาด" ผู้เป็นแม่โอบกอดลูกตัวน้อยไว้ทั้งน้ำตา ไม่มีอะไรมาประกันว่าพวกเขาจะรอดไปได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต

"เดินต่อไปได้แล้ว" นายทหารที่ยืนคุมอยู่ตะโกนบอก พวกเขาเร่งมืออพยพคนให้ไวที่สุดเพื่อให้กองกำลังที่เตรียมไว้บุกเข้าปะทะกับพวกกองโจรได้โดยไม่มีอะไรต้องกังวล

ทางด้านของชาคเมื่อใช้เวทมนตร์นี้ไปแล้วก็หมดแรงทรุดลงนั่งกับพื้นไปทันที เสียงหายใจหอบเหนื่อยอย่างกับจะตายอย่างไงอย่างงั้นเลย

"ถึงจะยังเป็นเวทระดับทลายอยู่แต่ถ้านายพัฒนามันไปอีกสักนิดละก็...มันอาจจะเป็นเวทระดับวิบัติได้เลย" วาลเอ่ยขึ้นและนั่งลงข้าง ๆ มองดูทุ่งทะเลเพลิงที่ชาคได้สร้างไว้

"คงจะอีกนานเลยครับ ใช้แค่ครั้งเดียวก็กินมานาไปมากถึงสองในสามเกือบจะหมดตัวแต่ถ้าพูดในแง่ของความเสียหายวงกว้างมันก็คุ้มค่า อีกอย่างถ้าสู้กันในระยะประชิดยังไงก็ใช้การไม่ได้ ทั้งระยะเวลาในการรวบรวมมานาและผลกระทบที่จะโดนตัวเองด้วย" 

"นั่นสินะเวทใหญ่แบบนี้มักจะไม่ค่อยใช้กันเท่าไหร่ยกเว้นตอนทำสงคราม เท่าที่จำได้ก็มีแต่เสียงดังโครมครามไม่หยุด ระเบิด แรงสั่นสะเทือนและกลิ่นคาวเลือด จะว่าดีที่มีสนธิสัญญาห้ามทำสงครามมันก็ใช่...เพราะฉันเองก็ต้องสูญเสียพลังไปจำนวนหนึ่งจากสงครามพวกนั้นตอนที่ได้ประมือกับหนึ่งในจอมมาร" วาลเงยหน้ามองดวงอาทิตย์รู้สึกร้อนอบอ้าวเล็กน้อย

"ตอนแรกฉันที่เข้าร่วมสงครามก็ไม่คิดว่าพวกจอมมารจะแข็งแกร่งขนาดนี้ เพียงชั่วลมหายใจเดียวก็ทำเอาฉันสะบักสะบอมแถมมันยังมีพลังเดอะที่แข็งแกร่งมากอีกด้วย พลังที่ทำให้ฉันใช้พลังเต็มที่ไม่ได้ ดูดพลัง ลบพลังฉันไม่รู้หรอกว่าคืออะไรกันแน่ ไม่มีใครรู้พลังเดอะที่พวกมันครอบครองอยู่ ถ้ามีก็คงเป็นคนที่ถูกเรียกว่าท่านผู้นั้น" วาลนั่งบ่นเรื่องราวต่าง ๆ ให้กับชาคฟังถึงเขาเหมือนเคยเล่าให้ฟังมาแล้วก็เถอะแต่ชาคก็ไม่ได้ว่าอะไร

"ไอ้พวกสงครามอะไรนั่นผมไม่รู้เรื่องหรอก แค่เอาตัวรอดในเมืองก็เต็มกลืนละไหนจะหาเงินเลี้ยงดูน้อง ๆ ไหนจะต้องดูแลพ่อแม่ที่เจ็บป่วยอีกกว่าจะรอดพ้นมาได้" เหล่าพี่น้องคิวเทในวัยเยาว์พวกเขาเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ผอมกะหร่องเก็บเศษอาหารกินบ้างประทังชีวิต ความทรงจำในวัยเด็กของชาคไม่ได้สวยหรูเหมือนกับคนทั่ว ๆ ไป

"พูดถึงเรื่องเก่า ๆ ก็นึกถึงวันแรกที่เราเจอกันเลยนะ นายเป็นถึงรองหัวหน้ากองโจรที่เร่ร่อนไปเรื่อย ๆ ดักปล้นและฆ่าไปตามเส้นทางเข้าเมือง" วาลเอื้อมมือมาเสยผมที่ปิดตาออกให้พร้อมกับจ้องมองแววตาคู่นั้นของชาค 

"ตอนแรกผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะเป็นโจรหรอกแต่สถานการณ์มันบังคับน่ะป่านนี้พวกกุสตาฟจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ พวกเขาคงยังโกรธผมอยู่แน่ ๆ ก็ดันไปทำเรื่องอย่างงั้นไว้ก่อนจะหนีไปคนเดียว" 

หลังจากเวลาล่วงเลยมาได้หลายชั่วโมงทั้งทหารและกลุ่มคิวเทก็เริ่มตั้งแนวรบเตรียมบุกยึดป้อมปราการคืน จากประตูทิศหลักทั้งสี่โดยเฉพาะทางประตูทิศตะวันออกที่มีแม่น้ำสายหลักไหลผ่านที่นั่นเชื่อมไปยังแอสต้าเส้นทางที่กำลังเสริมจะมา

"หน่วยสอดแนมไม่มีการติดต่อกลับมาอีกเลยแสดงว่าแผนล้มเหลว...ประตูแม่น้ำกับประตูทิศใต้ที่มีเจ้าแวมไพร์นั่นเป็นหน้าที่ของเราส่วนอีกสองประตูจะเป็นหน้าที่ของพัศดีเบ็น" กุสตาฟออกคำสั่งต่อหน้าคนจำนวนมาก พวกเขายืนเรียงกันเป็นแถวพร้อมรับฟังดูคำพูดของเขา 

"ฉันจะเป็นคนนำทัพบุกไปจัดการเจ้าแวมไพร์นั่นเอง คราวนี้จะไม่มีคำว่าประมาทอีกต่อไป !" เสียงตะโกนดังลั่นที่เต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลายจนแยกไม่ออกว่ากำลังโกรธหรืออยากปลุกระดมกันแน่

"พี่ดูแปลก ๆ นะเหมือนกลับไปก่อนที่จะปกครองเมืองเลย ตอนที่พี่เป็นแก๊งอันธพาลก่อเรื่องไปทั่วน่ะ" เฟย์เอ่ยถามอย่างสงสัย

"ก็นะพี่ดันไปเจอคนที่ไม่อยากเจอมากที่สุด...แล้วเจ้าเดวมาหรือยัง ?" ไม่ทันที่เฟย์จะตอบกลับเดวก็โผล่ออกมาพร้อมด้วยขวดเหล้าเต็มไม้เต็มมือ

"มองอะไร ? ของพวกนี้มันวางทิ้งไว้นี่ฉันก็แค่กลัวมันจะโดนชนโดนเตะก็เลยเก็บมาด้วย" เขาทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอีกทั้งยังจะเดินต่อเข้าไปในบ้านของกุสตาฟ

"ทำไมแกถึงไม่ช่วยพี่กุสตาฟทำงานบ้างล่ะเห็นวัน ๆ กินแต่เหล้า" เฟย์ใช้เวทไฟพุ่งฟาดใส่ขวดเหล้าที่ถืออยู่ด้วยความโมโหจนน้ำเมาพวกนั้นลุกติดไฟ

"ม-ไม่นะ ! ไม่เห็นต้องทำกับของพวกนี้เลยเสียดายจริง ๆ" เดวถึงกับเข่าทรุดแทบจะร้องไห้เมื่อได้เห็นเหล้ามากมายที่ตนเองขนมาแตกกระจายลงพื้น

"เหอะสมน้ำหน้า"

"พอได้แล้วเฟย์...ปล่อยเดวไปเถอะ" กุสตาฟพูดแทรกขึ้นมาสั้น ๆ 

"ต-แต่...ก็ได้ค่ะ" เฟย์ถึงกับถอนหายใจเดินออกจากบริเวณไปตามด้วยมือขวาและมือซ้ายของเธอ

"เฟย์นี่อารมณ์ร้อนเหมือนกับเมื่อก่อนเลย" เดวยังพูดติดตลกดูไม่ได้คิดมากกับเหล้าที่แตกไป

"ก็เป็นผู้หญิงคนเดียวในหมู่พี่น้องต้องมาคอยปวดหัวกับเรื่องที่พวกเราก่อ ถ้าจะมีนิสัยขี้งอนหรือคิดเล็กคิดน้อยก็ไม่ใช่เรื่องแปลก" กุสตาฟยิ้มอ่อนออกมาและนำกองกำลังที่อยู่ภายใต้อำนาจของตนเดินทางไปยังประตูฝั่งที่พวกชาคยึดไว้ ส่วนมือขวาและมือซ้ายของเขาก็เป็นคนนำไปที่ประตูแม่น้ำใหญ่

"ถึงเวลาทำให้เจ้านั่นได้ชดใช้แล้วล่ะ...ชาค"

เดวเร่งฝีเท้าขึ้นเดินคู่ไปกับกุสตาฟพร้อมกับเคียวและขวดเหล้าที่กระดกดื่มอยู่เป็นพัก ๆ

"ใช่ ฉันยังจำวันนั้นได้ดี...วันที่มันฆ่าพ่อกับแม่ต่อหน้าต่อตาและปล่อยพวกเราให้ทนทุกข์ยากลำบาก เด็กตัวเล็ก ๆ ต้องมาทำงานแลกเลือดและเหงื่อเพื่อมีชีวิตรอดไปวัน ๆ" กุสตาฟกัดฟันพูดดูมีอารมณ์เกรี้ยวกราดอยู่ภายในประโยคพวกนั้น เขากระโดดขึ้นไปบนม้าที่เตรียมไว้เฉพาะ เดินทางผ่านบ้านเมืองที่ไร้ผู้คนไปเรื่อย ๆ 

"นี่มันก็ผ่านมาสิบกว่าปีแล้วนะ...ดูเหมือนพี่จะยังจำเรื่องพวกนั้นได้ดีอยู่เลย" เดวเอ่ยถาม

"เออสิ ! มันเหมือนพึ่งเกิดขึ้นเมื่อวานเลยล่ะ ต่อให้เวลาจะผ่านมากี่สิบปีแต่ฉันก็ยังจำใบหน้าของเจ้านั่นและสิ่งที่มันทำได้ดี" 

"ท่านกุสตาฟดูนั่นสิครับ !" เสียงตะโกนดังลั่นด้วยความตกใจชี้ขึ้นไปข้างบน 

"กางบาเรียป้องกันด่วน !" กุสตาฟป่าวประกาศผ่านเครื่องสื่อสารส่งไปยังหน่วยต่าง ๆ ที่จัดแบ่งไว้เพื่อความคล่องตัวในการต่อสู้ พวกเขาต่างก็สร้างโล่มานาขนาดใหญ่เงยขึ้นด้านบนป้องกันบางสิ่งบางอย่างที่กำลังจะพุ่งลงมา

"ท่านครับมันเหมือนกับ-" เสียงในเครื่องสื่อสารถูกตัดขาดไปเมื่อเวทลมขนาดใหญ่จำนวนมากพัดกวาดสิ่งต่าง ๆ กินพื้นไปกว่าหนึ่งกิโลเมตร หน่วยรบของกุสตาฟที่กระจายออกไปต่างไร้เสียงตอบกลับและมองไม่เห็นวิสัยทัศน์ข้างหน้าด้วยซ้ำ

"ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะบุกไปตรง ๆ พายุพวกนี้ไม่น่าจะจัดการคนของเราได้แต่อาจจะทำเพื่อลดการมองเห็นและการสื่อสาร"

"แต่แค่นี้จะทำอะไรเราได้ แต่ละหน่วยที่แยกออกไปก็ทำงานของตัวเองโดยไม่ต้องรับคำสั่งจากพี่เลยก็ได้" เดวมองไปรอบ ๆ มีแต่ลมฟ้าอากาศที่บดบังการมองเห็นจนหาทางไปต่อไม่เจอ

"หลังจากนี้ต่างหากที่เราต้องรับมือ" พูดไม่ทันขาดคำลูกธนูไฟก็พุ่งทะลุพายุและบาเรียเข้ามาเฉียดหัวลูกน้องของเขาไปพอดี เมื่อมองดูที่ลูกศรดอกนั้นมันก็รุนแรงและคงทนถึงขั้นที่ปักลงไปในดินเกือบจะมิด

"พวกมันคงมีเวทตรวจจับระดับสูงอยู่แน่ ๆ ถึงได้โจมตีเราถูกที่ขนาดนี้" กุสตาฟกางโล่น้ำของตนเองไว้อีกชั้นหนึ่งมันสามารถป้องกันธนูจำนวนหนึ่งที่ยิงมาได้แต่ก็ไม่ทันได้หายใจโล่งคอก็มีก้อนมานาที่แปลเปลี่ยนเป็นเวทหินพุ่งกระแทกโล่ของเขาจนแตกไป

"ฉลาดดีนี่แต่ทางนี่ก็ไม่ได้นิ่งเฉยหรอก" กุสตาฟพยักหน้ากับเดวส่งสัญญาณให้

"ไว้ใจฉันได้เลย" เขากระดกเหล้าเข้าไปทีเดียวจนหมดขวดก่อนจะวิ่งออกไปตัวคนเดียว

"[วารีหวนคืน-พิชิต]" เวทน้ำรูปร่างดั่งปืนใหญ่ก่อร่างขึ้นตรงหน้าของกุสตาฟ เขาเล็งกระบอกปืนเงยขึ้นสี่สิบห้าองศาแล้วยิงกระสุนน้ำออกไปอย่างรวดเร็ว

"ระเบิดซะ" กระสุนเวทพวกนั้นระเบิดกระจายตัวปะปนกับพายุ

ใครเห็นก็คิดว่าเป็นพายุฝนปกติแต่หลังจากนั้นพายุตรงหน้าของกุสตาฟก็หมุนเบาลงจนหยุดไป

"ส่งเวทของตัวเองเข้ามาควบคุมแทนสินะ อืม ๆ เก่งใช้เล่นเลย" วาลที่กำลังมองลงมาจากป้อมปราการยิ้มออกมาเล็กน้อยราวกับได้เห็นเพื่อนพ้องมิตรสหาย

"ดูเหมือนจะมีคนบ้าวิ่งฝ่าพายุออกมานะครับ" ชาคมองลงไปเห็นเดวที่กวัดแกว่งเคียวของตนปัดป้องการโจมตีของผู้คนบนป้อม

"นั่นก็เป็นน้องของนายที่เคยเล่าให้ฟังใช่ไหม ?" วาลกระดกนิ้วชี้สร้างเวทมนตร์ขึ้นโยนมันลงไปหาเดว

"หนึ่งในน้องชายตัวแสบที่ชอบทะเลาะกับเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน นี่มันก็ผ่านมานานแล้วแต่นิสัยแบบเดิมก็ยังอยู่สินะไอ้ความบ้าบิ่นนั่นน่ะ" ชาคยิ้มฉีกกว้างจนเห็นฟัน

"อยากลงไปทักทายสักหน่อยไหม ? เท่านี้ฉันประเมินดูพวกมันไม่มีทางสู้เราได้แน่ อยากจะหาความสุขสักนิดก็คงไม่เป็นอะไร" วาลเอามือตบหลังของชาคเมื่อพวกเขามองตากันก็รู้ถึงสิ่งที่เขาจะสื่อ

"งั้นผมขอตัวไปทักทายน้องชายก่อนนะครับ" สิ้นเสียงของชาคเขาก็รีบดิ่งตรงไปหาเดวทันที

ทั้งตัวประกันและเหล่ากองโจรยืนประจำการอยู่ข้างบน สเตล่าเองก็ถูกจับมัดมาด้วยเหมือนกันและเธอก็กำลังหาทางหนี 

"ปล่อยให้ชาคได้เจอน้องชายก่อนจะดีกว่า ก่อนที่เราจะเดินหน้ารุกคืบเข้าไปหา...ด้วยตัวประกันจำนวนมากขนาดนี้ยังไงพวกทหารก็ไม่กล้าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าแน่ ๆ " วาลยิ้มมุมปากเล็กน้อยจ้องมองดูการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้น

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.