ภูพิง-อิงธารา บทที่ 1
แดดยามสายส่องลอดผ่านม่านหน้าต่างที่ขยับไหวตามแรงลมหนาวเข้ามากระทบร่างบนเตียง กอรปกับเสียงแผดร้องของนาฬิกาปลุกบนหัวเตียงทำให้ร่างบางใต้ผ้าห่มขยับน้อยๆ หยิงสาวที่กำลังนอนหลับสนิทปรือตาตื่น อาการปวดหัวแล่นเข้าจู่โจมจนต้องยกมือกุม ได้แต่โอดครวญอย่างน่าสงสาร ประตูห้องถูกคนข้างนอกผลักเข้ามา หญิงสูงวัยถึงกับมองค้อนเมื่อเห็นสภาพของเธอ
"ใครบอกให้ไปดื่มจนเมาขนาดนั้นคะคุณหนู" แกบ่นไป มือก็วางถาดข้าวต้มไว้ข้างเตียง
"เมาเหรอคะ จำได้ว่าไม่เมานะคะ" หญิงสาวเถียงข้างๆ คูๆ พร้อมกับยันตัวเองลุกจากท่านอน แล้วกระถดตัวช้าๆ เพื่อที่จะเอื้อมมือหยิบแก้วน้ำที่วางอยู่ข้างถาดข้าวต้มดื่มแก้กระหาย
"โอย! ทำไมปวดหัว และยังอ่อนเปรี้ยเพลียแรงได้ขนาดนี้นะ" เธอไม่วายบ่น มือยังคงถือแก้วน้ำไว้มั่น
"เมาจนหมดสภาพเลยล่ะคะ นี่ถ้าไม่ได้เพื่อนคุณนายแบกมาส่ง คงไปนอนอยู่ไหนแล้วก็ไม่รู้" ป้ามะลิบ่น คราวนี้แกโมโหคุณหนูของแกจริงๆ แล้ว อิงธาราเองก็จับน้ำเสียงของแกได้จึงยิ้มประจบ
"จริงเหรอคะ น้ำอิงขอโทษคะ กะว่าจะดื่มเพื่อให้นอนหลับเท่านั้นเอง ไม่คิดว่าจะเมาเละขนาดนั้นนี่คะ ว่าแต่ว่าเพื่อนของพี่นายใครกันคะ" อิงธาราถามอย่างสงสัย จำได้ว่าตอนที่เธอแยกตัวออกจากงานก็ไม่เห็นมีใครเข้ามาทักทายเธอเลยสักคนนี่นา
"ป้าไม่เคยเห็นค่ะ คุณหนูลองถามคุณมุกเธอดูซิคะ เมื่อคืนคุณมุกก็พาคุณหนูมาด้วย" อิงธาราขมวดคิ้ว ไม่แน่ใจว่าเมื่อคืนตัวเองได้เจอกับมุกราตรีผู้เป็นเพื่อนหรือไม่ ภาพจำสุดท้ายคือเธอขอถาดไวน์จากบริกรไปนั่งดื่มที่ศาลาระหว่างทางกลับเรือน เหตุการณ์ต่อจากนั้นหญิงสาวนึกอะไรไม่ออก มุกราตรีคงจะโผล่มาตอนที่เธอกำลังเมาได้ที่ จึงเป็นคนลากเธอกลับบ้าน เมื่อคิดได้ดังนั้นอิงธาราจึงไม่แปลกใจที่เธอจะมานอนบนเตียงของตัวเอง ไม่ไปนอนหลับอยู่ที่ไหนสักที่
"น้ำอิงคงจะเมาจริงๆ ล่ะค่ะ เพราะจำไม่ได้เลย ว่าแต่เพื่อนพี่นายที่มากับยายมุกเป็นใครนะ คงเห็นสภาพของน้ำอิงไปหมดแล้ว ไม่รู้ว่าตัวเองเผลอแสดงอาการอะไรออกไปบ้าง" หญิงสาวโอดครวญ มือบางค่อยวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะตั้งท่าจะล้มตัวลงนอน แต่ก็ต้องขืนตัวไว้ทันเมื่อป้ามะลิดุเสียงเขียว
"ทานข้าวต้มก่อนค่ะ ร้อนกำลังดี" ไม่พูดเปล่ายังเลื่อนชามมาใกล้ๆ จนหญิงสาวต้องจับช้อนตักข้าวต้มเข้าปากอย่างเสียไม่ได้
คล้อยหลังป้ามะลิที่เก็บถาดข้าวต้มไปไม่นานอิงธาราก็ลุกจากเตียงตั้งใจจะอาบน้ำให้สดชื่น หญิงสาวก้มลงมองสูทตัวใหญ่ที่ตัวเองสวมบนร่างอย่างแปลกใจ อดคิดไม่ได้ว่าสูทตัวเบ้อเริ่มขนาดนี้คงเป็นของเพื่อนกฤตดนัย เห็นทีเธอคงต้องโทรไปสอบถามมุกราตรีสักหน่อย อย่างน้อยๆ ก็จะได้เอาสูทไปคืนเขา
อิงธาราถอดชุดหย่อนลงตะกร้าก่อนจะก้าวเข้าห้องน้ำ เธอตั้งใจจะอาบน้ำสระผมให้สดชื่น น้ำจากฝักบัวไหลกระทบร่าง ลดอาการมุนงงไปได้มาก จังหวะที่เธอหมุนตัวเพื่อจะหยิบครีมอาบน้ำ หางตาก็เห็นรอยแดงบนเนินอกจากเงาสะท้อนบนกระจก หญิงสาวกระพริบตาปริบๆ แล้วพุ่งพรวดออกไปยืนจังก้าหน้ากระจกยังอ่างล้างหน้าเพื่อสำรวจตัวเองอย่างถี่ถ้วน เธอจ้องรอยแดงๆ บนกระจกอย่างตะลึงพรึงเพริด รอยบ้านั่นกระจายตามซอกคอ ลาดไหล่ และซ้ำร้ายมันยังอยู่บนเนินอกทั้งสองของเธอด้วย
"มดกัดละมั้ง" เธอพยายามปลอบใจตัวเอง ทั้งๆ ที่เดาได้ถึงสาเหตุของการเกิดรอยนั้นได้เลาๆ แล้ว จากคราวแรกตั้งใจจะอาบน้ำนานๆ เพื่อไล่อาการปวดหัว แต่คราวนี้หญิงสาวกลับฟอกตัวและสระผมอย่างรวดเร็ว ไม่นานเธอก็มายืนเปลือยเปล่าหน้ากระจกบานใหญ่ในห้องนอน กวาดตาอ่านตัวหนังสือที่ปรากฏบนหน้าจอมือถืออย่างตั้งใจ
"เฮ้ย! นี่มันรอยคิสมาร์ก ละ...แล้วมันมาได้ยังไง" หญิงสาวอุทานอย่างตกใจเมื่อเทียบรูปภาพที่ค้นจากอินเตอร์เนตกับร่องรอยที่ปรากฏบนร่างของเธอ แม้ว่าจะเป็นเพียงรอยเล็กๆ ก็ตาม แต่ก็สร้างความตระหนกให้กับหญิงสาวไม่น้อย เธอปรายตาไปยังสูทนิรนาม รู้สึกเกลียดเจ้าของสูทขึ้นมาตะหงิดๆ คิดว่าเขาคงน่าจะมีส่วนไม่มากก็น้อย อดน้ำตาคลอเมื่อคิดว่าเธอได้เสียจูบแรกให้กับใครก็ไม่รู้ไปเสียแล้ว มือบางเลื่อนหารายชื่อในมือถือก่อนจะกดโทรออก อย่างน้อยมุกราตรีน่าจะไขความกระจ่างให้เธอได้บ้าง
ตึกสูงกลางเมืองตั้งตระหง่านท้าแสงแดดที่แผดเผา กระไอร้อนทำให้ผู้คนสัญจรไปมาต้องยกมือปาดเหงื่อ ภายในห้องชั้นสูงสุดกรุด้วยกระจกกลับเย็นฉ่ำด้วยเครื่องปรับอากาศ บุรุษร่างสูงยืนเอามือไพ่หลังทอดตามองเบื้องล่างที่คลาคล่ำไปด้วยยวดยานและผู้คน เสียงของความวุ่นวายดังมาไม่ถึงบนนี้ ที่ซึ่งเป็นอานาจักรของเขา ณ เวลานี้ถ้าพูดถึงนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงก็คงจะหนีไม่พ้นภูพิง พชรวกร นักธุรกิจหนุ่ม ซึ่งได้รับฉายาจากนิตยสารของวงการธุรกิจว่าเป็นเจ้าพ่อวงการธุรกิจสินเชื่อด้วยวัยเพียงสามสิบสามปี จึงเป็นที่จับตามอง และยังได้รับคะแนนโหวดจากสาวๆ ให้เป็นสามีในฝันแห่งปีอีกด้วย
ร่างสูงละสายตาจากเบื้องล่างเดินกลับมานั่งลงหลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ บนโต๊ะทงานมีของประดับเพียงอย่างเดียวคือรูปครอบครัวที่ใส่กรอบตั้งหันหน้ามายังเจ้าของห้อง มือหนาเอื้อมหยิบกรอบรูปขึ้นมาดูอย่างเหม่อลอย คนในภาพทั้งหมดเป็นครอบครัวของเขาเอง ทั้งพ่อ แม่ และน้องสาวตัวน้อย รอยยิ้มเปี่ยมความสุขของทุกคนในวันนั้น ยังไม่เลือนหาย มันเป็นภาพแรกและภาพสุดท้ายที่เขาเป็นคนถ่ายจากกล้องถ่ายรูปที่พ่อซื้อให้เป็นของขวัญในวันเกิดปีนั้น และปีเดียวกันนั้นเองที่ครอบครัวของเขาถูกพรากด้วยอุบัติเหตุจากเศรษฐีมักง่ายคนหนึ่งที่เมาแล้วขับรถชนเข้ากับรถของครอบครัวของเขาซึ่งกำลังจะไปทำธุระ พ่อกับแม่เสียชีวิตคาที่ ส่วนน้องสาวตัวน้อยมาเสียชีวิตที่โรงพยาบาลเพราะทนพิศบาดแผลไม่ไหว เพียงชั่วคืนครอบครัวของพชรวกรก็เหลือเพียงเขาคนเดียว
อรรถผู้เป็นลุงซึ่งเป็นญาติคนเดียวที่เหลืออยู่เข้ามาประคับประคองชีวิตของหลานชาย เขาพยายามทดแทนในส่วนที่ภูพิงขาด สร้างฐานและให้ทุกอย่างเพื่อทำให้เขาเติบโตมาได้อย่างมั่นคง แต่ความสุขนอกกายก็ไม่สามารถลบล้างความแค้นที่ก่อร่างสร้างตัวภายในจิตใจของชายหนุ่มได้ นานวันเข้ามันก็ยิ่งฝังรากลึก ยิ่งครอบครัววจีลิขิตเป็นที่นับหน้าถือตามากเพียงใด เวลาของการแก้แค้นก็ใกล้เข้ามาทุกขณะ
เสียงเคาะประตูปลุกชายหนุ่มให้หลุดจากภวังค์ เขาวางกรอบรูปในมือลงขณะที่ประตูของห้องทำงานเปิดออก ชายร่างสันทัดเดินเข้ามา ในมือมีซองเอกสาร เขาวางลงบนโต๊ะผู้เป็นนายแล้วเลื่อนไปให้อย่างนอบน้อม เจ้าของห้องเอนหลังพิงพนัก พลิ้มตาพักผ่อน ชายร่างสันทัดทำเพียงยืนรอเงียบๆ อยู่ข้างโต๊ะ
"ได้ข้อมูลมาแล้วใช่ไหม" เสียงถามเอื่อยๆ อย่างไม่ใส่ใจจากเจ้าของห้องทำลายความเงียบขึ้น
"ครับ" เลขาหนุ่มตอบกระชับ อีกฝ่ายเพียงพยักหน้าน้อยๆแสดงอาการรับรู้
"ขอบใจ คุณปกรณ์ผมจะไม่อยู่สักสองสามอาทิตย์ ระหว่างนี้ถ้ามีอะไรคุณส่งเอกสารไว้ที่อี-เมลล์ของผมได้เลย"
"ครับ"
"อีกเรื่อง ผมวานคุณติดต่อปีเตอร์ให้ผมด้วย เจอกันที่เดิมเย็นนี้" พูดจบชายหนุ่มก็คว้าซองเอกสารตั้งท่าจะเปิดอ่าน ปกรณ์เห็นดังนั้นก็พาตัวเองออกจากห้องไปทำงานที่ได้รับมอบหมายทันที
หลังประตูปิดลงเอกสารก็อยู่ในมือของชายหนุ่มแล้ว เขาพลิกเอกสารอ่านอย่างตั้งใจ แน่ล่ะว่าเขาจะต้องรู้เรื่องราวคนในครอบครัวของวจีลิขิตให้ได้มากที่สุด อันที่จริงชายหนุ่มเริ่มค้นหาข้อมูลตั้งแต่คดีอุบัติเหตุของครอบครัวเขาปิดลง และเศษเงินทำขวัญที่เสรษฐีมักง่ายมอบให้เพื่อแสดงความรับผิดชอบ จากนั้นทุกอย่างก็เงียบหายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อกฎหมายเอาผิดไม่ได้เขาเลยจะเป็นกรรมตามสนองพวกมันเอง ตลอดหลายปีที่ผ่านมาภูพิงค้นหาข้อมูลของนายปองพล วจีลิขิต ทุกซอกทุกมุม แต่ที่น่าเจ็บใจนั่นก็คือข้อมูลของลูกสาวคนเล็กกับภรรยาคนแรก กลับเล็ดลอดจากการค้นหาของเขาได้อย่างน่าอัศจรรย์ ชายหนุ่มไม่รู้ว่านายปองพลทำอย่างไรถึงปกปิดตัวตนของเธอจากสังคมได้มิดชิดขนาดนี้ นั่นหมายความว่านายปองพลจะต้องรักและทะนุถนอมลูกสาวคนนี้มากที่สุด เมื่อทะนุถนอมกันมาก ปกปิดกันดีขนาดนี้ เขาก็คงจะต้องเริ่มทำลายจากจุดที่อ่อนไหวที่สุดเพื่อให้เกิดผลลัพท์ที่เขาต้องการเพราะเขาใช้เวลากับเรื่องนี้มานานเกินไปแล้ว
เมื่อชายหนุ่มอ่านมาถึงหน้าสุดท้าย อะไรบางอย่างก็ตกลงมา มือหนาหยิบขึ้นมาดู มันเป็นรูปใบหนึ่ง เขาจ้องมองคนในรูปอย่างหมายมาด หญิงสาวในรูปอยู่ในเดรตสีงาช้าง ถือแก้วไวน์ในมือ ดวงตากลมซึ้งเจือแววเศร้าใต้แพขนตายาวเหม่อมองไกลไร้จุดหมาย ริมฝีปากเรื่อฉ่ำน้ำยามคลี่ยิ้มทำให้เธอน่ามองอย่างประหลาด เขารู้ดีว่าปากของเธอนั้นหวานเพียงใด ทั้งยังร่างนุ่มนิ่มใต้เสื้อผ้านั่นอีก ภูพิงเบนสายตาจากรูปแล้ววางคว่ำหน้าลง ไม่คิดว่ายายผู้หญิงขี้เมาจะทำให้ร่างกายของเขาเกิดปฏิกิริยาได้รุนแรงขนาดนี้ อันที่จริงถ้าเธอไม่ใช่อิงธาราลูกสาวของนายปองพล วจีลิขิต ฆาตกรที่ทำลายครอบครัวของเขา ชายหนุ่มคงจะหิ้วเธอไปต่อกันตั้งแต่คืนนั้นแล้ว แต่ไม่เป็นไรหรอก อีกไม่นานเธอจะได้พบเขาอีก ไม่นานเลยจริงๆ
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 779
ความคิดเห็น
ฝากภูพิง-อิงธาราด้วยนะค้า
สนุกมากค่ะ
แสดงความคิดเห็น