มนุษย์หมาป่าคลั่งรัก - ตอนที่ 3
Under the moon มนุษย์หมาป่าคลั่งรัก ตอนที่ 3
“จ๊ะเอ๋ยัยจอย !”
สาวหน้าอกแตงโมร้องว้าย ผงะถอยตกใจแทบขาขัดกันจนหงาย เพราะปรากฏหน้าของเพื่อนสาวที่ชื่อว่ากิ่งมาอยู่ตรงหน้า นอกจากนี้อีกฝ่ายยังทำตาถลนพร้อมแลบลิ้น
“เป็นไง วิญญาณกลับเข้าร่างแล้วเหรอ” กิ่งพูดติดหัวเราะ
“แกบ้าหรือไง มาเล่นอย่างนี้ฉันตกใจหมด” จอยทำหน้าเอาเรื่อง ตัวสั่นด้วยความโกรธ
กิ่งกลั้นหัวเราะแล้วอธิบาย “ไม่ได้บ้า แต่เป็นการช่วยเรียกสติของหล่อนต่างหาก” แม้พยายามอดกลั้น แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถทำได้ เธอระเบิดหัวเราะออกมาต่อ
ก้อยเพื่อนสาวอีกคนมายืนพิงตรงหน้าประตูห้องชงกาแฟ “พวกฉันหวังดีอยากให้แกสติสตางค์กลับมาเป็นผู้เป็นคน จึงตกลงกันมาช่วยแก”
“สุดท้ายพวกแกตกลงกันมาใช้วิธีปัญญาอ่อนอย่างนี้” จอยถามกลับน้ำเสียงนิ่งๆ
“พวกฉันตั้งใจเจตนาดีแท้ๆ แกพูดอย่างนี้ได้ยังไง” ก้อยทำท่าเจ็บปวดหัวใจ
“ใช่” กิ่งรีบเสริมหลังจากหยุดหัวเราะ เปลี่ยนใบหน้ามาเป็นน้อยอกน้อยใจ “ฉันลงทุนทำหน้าจิ้งจกแลบลิ้นเพื่อช่วยเหลือหล่อนขนาดนี้ หล่อนยังไม่รู้จักบุญคุณ รู้ไหมว่าฉันต้องเสี่ยงมากแค่ไหนถ้ามีใครบังเอิญเห็นหน้าของฉันเมื่อครู่นี้เข้า ฉันอาจหาผัวไม่ได้ไปตลอดชีวิตนี้เลยรู้ไหมยะ”
จอยกลอกตาขึ้น พ่นลมหายใจ นึกไม่ถึงว่าเพื่อนสนิทสองคนนี้มันจะสามารถเปลี่ยนให้เธอมาเป็นคนไม่ดีได้อย่างง่ายดาย แต่เธอไม่สนใจเพื่อนจอมเมาท์ เธอเดินอ้อมกิ่งเพื่อไปโต๊ะชงกาแฟ
“ตกลงวันนี้แกเป็นอะไรของแก นอกจากทำหน้าเหมือนซอมบี้ไม่มีวิญญาณอยู่ในร่าง ฉันยังเห็นเดินขาถ่างท่าเป็ดเข้ามาในบริษัทตั้งแต่เมื่อเช้า ทำเหมือนผ่านศึกผัวติวเข้มการบ้านมายังไงอย่างนั้น” ก้อยเดินเข้ามาภายในห้องเก็บของว่างของบริษัท ตรงไปยืนพิงโต๊ะมุมห้อง กอดอก สบตาราวกับบีบคั้นเอาคำตอบ
“เอ่อ... คือว่า... ฉะ... ฉัน...” จอยขาเริ่มสั่น เธอไม่กล้าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อคืนนี้ เพราะไม่รู้ว่าจะมีใครยอมเชื่อหรือไม่ว่าเธอโดนไอ้ตัวหน้าหมาเย่อจนแทบเดินไม่ไหว ในตอนแรกก็อยากจะเอาไปแจ้งความว่าโดนข่มขืน แต่เกรงว่าอาจโดนข้อหาแจ้งความเท็จ เผลอๆ โดนจับโยนเข้าโรงพยาบาลบ้าไปเลยก็ได้ เพราะเหตุนี้ทำให้เธอทั้งเครียดและหวาดผวา
“นี่หล่อนพูดมาได้ยังไงยะ” กิ่งหันไปทางก้อย “หล่อนลืมไปหรือไงว่ายัยจอยมันยังไม่มีคนมาจีบ แล้วมันจะไปมีผัวได้ยังไง”
“ว้ายตายจริง ฉันก็ลืมไปสนิท” ก้อยยกมือป้องปากหัวเราะ
“ฉันนึกได้ ว่าจะถามตั้งแต่เช้าแล้ว” กิ่งมองไปที่มือของจอย ที่มีผ้าพันแผลพันไว้จวนกลายเป็นมัมมี่เวอร์ชันพิสดาร “มือหล่อนไปโดนอะไรมา เมื่อวานยังเห็นดีๆ อยู่เลยไม่ใช่หรือไง ?”
“เอ่อ... เอาเป็นว่าฉันโดนหมากัดมาก็พอ” จอยกุมขมับขณะหันกลับไปหยิบซองกาแฟมาเพื่อจะชง
“นี่พวกแกรู้หรือเปล่าว่าวันนี้จะมีลูกชายของท่านประธานบริษัทมาแบบไม่เป็นทางการ” ก้อยเปิดเรื่องเมาท์ประจำวัน
“รู้สิยะ” กิ่งเดินไปพิงขอบโต๊ะอีกคน หันหน้าไปทางจอยที่กำลังมองหากรรไกรตัดซองกาแฟ จากนั้นถามเจาะจงเพื่อนหน้าอกใหญ่คนนี้ “แล้วหล่อนล่ะรู้หรือยัง ?”
“ฉันไม่รู้” แม้จอยตอบน้ำเสียงเหมือนไม่อยากสนใจ แต่ในหัวตรงข้าม “เดี๋ยวก่อน เมื่อกี๊บอกว่าลูกชายท่านประธานบริษัทมาแบบไม่เป็นทางการ แล้วพวกแกรู้ได้ยังไง ?”
“แกนี่เชยจริงๆ ไม่เคยเปิดดูเฟซบุ๊กหรือไง ข่าวออกจะดังขนาดนี้” ก้อยว่า
“ข่าวอะไรของแก ฉันไม่เห็นจะรู้เรื่อง ?” จอยกดกาน้ำร้อนใส่ถ้วย แล้วเอื้อมไปหยิบช้อนมาคนโดยไม่ต้องมองเพราะความชำนาญ
“อย่าบอกนะว่าแกดูแต่พวกคลิปอุบาทว์นั่นเพียงอย่างเดียว จึงไม่ได้รู้เรื่องโลกภายนอก” ก้อยแววตาวิบวับ ฉีกยิ้ม ทำราวกับเป็นแม่หมอดู เห็นพฤติกรรมด้านมืดของอีกฝ่าย จะแฉถ้าไม่จ่ายเงินมาเพื่อปิดปาก
“บ้า ! ใครมันจะไปดูกันยะ” จอยรีบปฏิเสธอย่างร้อนรน
“โอ๊ยอย่ามาตอแหลเลยยัยจอย พวกฉันรู้จักแกมาตั้งแต่อนุบาลแล้ว มีหรือที่จะไม่รู้จักไส้พุงของแกหมดทุกซอกทุกมุม” ก้อยป้องปากหัวเราะโฮะๆ
“เออๆ ฉันยอมรับก็ได้” จอยลดเสียงเบาลง มองซ้ายมองขวาด้วยความอาย กลัวว่าจะมีใครเดินผ่านมาแล้วบังเอิญได้ยินเข้า “แล้วแกมาเล่าให้ฉันฟังทำไม ในเมื่อมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันหรือพวกแกแม้สักเล็กน้อย”
“เกี่ยวสิ ใครว่ามันไม่เกี่ยว ในเมื่อมันเป็นเรื่องหัวข้อเด็ดสำหรับวันนี้ที่ฉันจะนำมาประดับปากสวยๆ ของฉันให้น่าสนใจมากขึ้น”
คำอธิบายของก้อยทำจอยหน้าตึง เพราะหมายถึงประเด็นจริงๆ ไม่มีเนื้อหาความสำคัญอะไรเลย นอกจากแค่เป็นเรื่องเมาท์ยามว่าง
“หล่อนคงจำได้ใช่ไหมว่าลูกชายของท่านประธานเป็นลูกครึ่งฝรั่ง” กิ่งเท้าความเรื่องเมาท์ที่เคยโด่งดังในอดีต
“เรื่องนั้นใครก็รู้ แล้วยังไง มันไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกับฉันแม้เล็กน้อยอยู่ดี” พูดจบ จอยมาสนใจกับการเป่ากาแฟให้หายร้อนแทน ในเมื่อเรื่องที่พูดคุยอยู่นี้มันไม่มีความสำคัญ เธอจึงไม่อยากรับรู้อีก ตอนนี้ที่ควรต้องให้ความสนใจจริงๆ คือเรื่องเมื่อค่ำคืน เธอไม่รู้ว่าตัวเองจะกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าหรือไม่ หรือว่าไอ้ตัวนั้นมันจะกลับมาขี่เธออีกในคืนนี้ หรือไม่อย่างแย่ที่สุดคือเธอถูกมันจับกินแทนโดนอึ๊บ
“จะอะไรอีกล่ะ ใครก็ไม่รู้ไปงัดห้องนอนของลูกชายท่านประธานเข้า ดูสิเอาถึงกับห้องของโรงแรมกระจุยกระจายเลย เหมือนเพิ่งผ่านสงครามมายังไงอย่างนั้น” กิ่งล้วงเอาโทรศัพท์ในกระเป๋ามาเปิดแล้วชี้ให้ดู แต่จอยแค่เหลือบตาไปมองเล็กน้อย “นี่ยังโชคดีที่ลูกชายของท่านประธานบริษัทไม่ได้อยู่ในห้องตอนที่มันงัดเข้าไป ไม่งั้นหล่อนเอ๊ย ฉันยังไม่รู้ว่าพ่อรูปหล่อจะเป็นยังไง”
“พ่อรูปหล่อ ?” จอยทวนคำ แม้เธอรู้ว่าลูกชายของท่านประธานเป็นลูกครึ่งฝรั่ง แต่ไม่เคยเห็นรูปโฉมของชายหนุ่ม ไม่เว้นแม้แต่รูปภาพที่หน้าบอร์ดในบริษัท ยังไม่มีถ่ายเอาไว้โชว์ให้พนักงานดูว่าที่ของประธานบริษัทคนต่อไป นอกจากคำเล่าลือจากปากต่อปากเท่านั้นว่าเขาหล่อมาก
“ใช่เลยย่ะ ถ้าไม่หล่อแล้วเขาจะเรียกว่าอะไร แกดูเอาเองเลยก็ได้ นี่เลยฉันเก็บรูปภาพเขาไว้ด้วย แกจะได้รู้ว่าเขาหล่อมากแค่ไหน” ก้อยรีบเอาโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเปิด
“ท่านประธานมา ประธานมา !”
ไม่ทันจอยจะได้ดูรูปภาพ มีเสียงพนักงานผู้ชายจากอีกฟากของห้องส่งเสียงเตือนเพื่อนร่วมงานให้รับรู้
ทุกคนจึงกลับไปนั่งประจำที่อย่างตาลีตาเหลือก แล้วเสแสร้งทำงานต่ออย่างขยันขันแข็ง ไม่นานภายในห้องเข้าสู่สภาวะเกือบเงียบสงัด มีเพียงเสียงการกดแป้นคีย์บอร์ดเบาๆ เท่านั้น ทว่ายกเว้นจอย ก้นยังไม่ทันแตะเก้าอี้ ต้องรีบย้อนกลับไปเอากาแฟเพราะลืมทิ้งไว้
หลังจากหยิบเอาถ้วยกาแฟแล้วหมุนตัวเพื่อจะออกไปจากห้อง จอยสังเกตเห็นเพื่อนสาวสองคน ส่งสัญญาณลับเตือนว่าอย่าออกมาตอนนี้ จากนั้นพวกเธอทั้งสองกลับไปพิมพ์งานต่อ บ่งบอกได้ทันทีว่ากำลังมีกลุ่มคนเดินผ่านมา แล้วหลักฐานชั้นดีก็คือเสียงฝีเท้าหลายคู่ จอยจึงหันกลับไปวางถ้วยกาแฟ เสแสร้งทำเป็นว่ากำลังชงอยู่ จึงไม่สามารถกลับไปทำงานต่อได้ในขณะนี้
ใจของเธอเต้นรัวเมื่อเสียงฝีเท้าทั้งหมดมาหยุดตรงหน้าห้อง ไม่รู้ว่าข้างหลังเกิดอะไรขึ้น โดยเฉพาะทำไมต้องมาหยุดตรงหน้าห้องชงกาแฟ
กลุ่มคนตรงนั้นพูดคุยกันเบามาก จนเธอจับใจความชัดเจนอะไรไม่ได้ว่าพูดอะไรกัน ไม่นานเสียงฝีเท้าพวกนั้นเดินต่อไป ยกเว้นเพียงเสียงเดียวที่เดินตรงเข้ามาหา
“ขอโทษนะครับ”
จอยขมวดคิ้ว เสียงทักทายของผู้ชายที่อยู่ข้างหลังฟังดูแปลกๆ เหมือนพวกฝรั่งที่อยู่เมืองไทยนานจนสามารถพูดภาษาไทยได้ แต่ก็ยังคงมีสำเนียงแปลกๆ เหมือนของภาษาอังกฤษปะปนอยู่ หรือพูดให้ถูกคือออกเสียงไม่ชัดเจนนั่นเอง แล้วดูท่าชายคนนี้จะต้องเป็นผู้ชายเจ้าสำอาง เพราะจอยได้กลิ่นน้ำหอมสุดฉุนโชยมาเตะจมูก
หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วหันไปเผชิญหน้าอย่างช้าๆ พลางลุ้นในใจว่าใช่อย่างที่คิดหรือไม่
ทันทีที่เห็นเต็มๆ สองตา เธอแทบไม่อยากเชื่อว่ามีสิ่งมีชีวิตหน้าตาดูดีได้ขนาดนี้บนโลก ผมสีทองราวกับทองคำ คิ้วเข้มราวกับมีใครเอาสีไปทาเน้นย้ำ แต่ช่วยเสริมให้เขาดูดีได้อย่างน่าแปลก ดวงตาสีฟ้าดั่งผลึกน้ำแข็ง แฝงไปด้วยความอ่อนโยน จมูกเป็นสันได้รูป ริมฝีปากดูเชิญชวนสัมผัส ที่ใบหน้าของเขาไม่มีกระอย่างที่พวกฝรั่งส่วนใหญ่ชอบเป็น มีกล้ามเห็นเป็นมัดๆ เหมือนคนชอบออกกำลังกาย วัดด้วยสายตาเขาอาจมีความสูงกว่าสองร้อยเซนติเมตร เมื่อเขาเดินผ่านตรงที่มีแสงแดดสาดส่องมาจากทางหน้าต่าง ทำให้เขาดูราวกับเป็นเทพบุตรเพิ่งเสด็จลงมาจากสวรรค์
ตามปกติหากจอยเห็นผู้ชายมีความสูงและกล้ามเยอะขนาดนี้ มันต้องชวนทำให้ผวา เพราะมันเหมือนเห็นเป็นยักษ์ที่พร้อมจะขยี้เธอ แต่พอมีใบหน้าคมคายนี้มาเป็นเจ้าของร่าง กลับดูต่างออกไป มันเป็นความลงตัวที่ไม่น่าเชื่อว่ามีอยู่จริง ‘โอ้นี่มันสวรรค์โปรดฉันใด ทำไมถึงมีบุรุษรูปงามมาคุยกับฉันได้ !’
“สวัสดีครับ” ชายหนุ่มแปลกหน้ายื่นมือออกมาพร้อมรอยยิ้มชวนใจละลาย “ผมอเล็กซ์ ผมเป็นลูกชายของประธานบริษัท ผมเพิ่งมาดูงานบริษัทที่ประเทศไทยแห่งนี้เป็นครั้งแรก ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“ฉะ... ฉันก็เช่นกันค่ะ ฉะ... ฉัน เอ่อ... ฉันชื่อจอยค่ะ ฉันเป็นพนักงานในแผนกชั้นนี้” เธอตื่นเต้นจนตะกุกตะกักขณะยื่นมือไปเพื่อจะจับมือตามแบบฝรั่ง
ทว่าผิดจากที่คิดไปไกล หญิงสาวหน้าแดงกว่าเดิม ขณะเดียวกันเพื่อนสาวทั้งสองคนที่แอบมองอยู่ ถึงกับเบิกตาโพลง เมื่อนายฝรั่งลูกครึ่งไม่ได้เขย่ามือ แต่เขาพลิกหลังมือจอยขึ้นแล้วโน้มตัวมาจูบแทน
“พรุ่งนี้ตอนเที่ยงคุณว่างหรือไม่ ?” อเล็กซ์ยืดตัวตรงแต่ยังคงไม่ปล่อยมือ “ผมรู้จักร้านอาหารแห่งหนึ่ง มันอร่อยมาก แต่ผมไม่กล้าไปกินตัวคนเดียว ผมชอบมีคนไปนั่งกินด้วย มันให้บรรยากาศดีกว่ากัน”
“วะ ว่างค่ะ” กว่าจะรู้สึกตัว จอยก็พูดออกไปเรียบร้อย ความจริงคำพูดนั้นมันเป็นความคิด เธอไม่ได้ตั้งใจจะพูด ตอนนี้เธอจึงหน้าแดงกว่าเก่า แทบอยากจะเอาหน้าของตัวเองไปซ่อนให้ไกลจากชายหนุ่มอย่างเร็วที่สุด แต่ก็ไม่สามารถทำได้ ร่างของเธอยังคงยืนแข็งอยู่ตรงนั้น
“พรุ่งนี้ผมจะมารับตรงหน้าแผนกคุณนะครับ” อเล็กซ์ขยิบตาให้ แล้วหมุนตัวเดินจากไป
ทันทีที่แผ่นหลังของชายหนุ่มหายไปนอกประตู จอยรีบลากเก้าอี้มานั่งก่อนขามันจะทรุด แน่นอนเธอคาดไม่ถึงว่าจะเจอเหตุการณ์เช่นนี้ โดยเฉพาะไม่อยากเชื่อว่าเขาชวนทานข้าว เขากำลังชวนออกเดตจริงๆ ใช่หรือไม่ เธอถามตัวเองย้ำอยู่ภายในใจดังๆ
เมื่อกิ่งกับก้อยเห็นชายหนุ่มเปิดประตูไปยังอีกห้อง ทั้งสองคนก็ลุกขึ้นแล้วซอยเท้าฉับๆ ตรงดิ่งมา
“ยัยจอย เมื่อกี๊พวกฉันไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม ลูกชายท่านประธานจูบมือแก ?” ก้อยจับมือเพื่อนขึ้นมาดู ทำราวกับเป็นนักสืบเพื่อหาร่องรอยความจริงอย่างละเอียด
“หล่อนบอกมาดีๆ เดี๋ยวนี้นะว่าชงกาแฟเซ็กซี่อีท่าไหนลูกชายท่านประธานถึงถูกใจเข้า ?” กิ่งรีบซัก
“แกเอาอะไรมาคิดว่ายัยจอยใช้ความเซ็กซี่” ก้อยปล่อยมือเพื่อนทิ้งแล้วยืดตัวตรง “อย่างยัยจอยมันต้องเรียกว่าโชคดีส้มหล่นมากกว่า แถมหล่นเข้าห้องกาแฟเสียด้วย” พอมองหน้าของจอยที่ยังทำเหมือนไม่มีแรง ความอิจฉาไม่ทราบมาจากไหนโถมเข้าจนเนื้อตัวสั่น
“เขาเรียกว่าส้มหล่นที่ไหน อย่างนี้ต้องเรียกว่าฝรั่งหล่นต่างหาก แถมไม่ใช่ฝรั่งธรรมดา เป็นฝรั่งพันธุ์ผสมลูกครึ่งเสียด้วย” กิ่งหัวเราะชอบใจกับมุกตลกตัวเองที่สามารถต่อท้ายเพื่อนได้
“ว้ายจริงด้วย” ก้อยยกมือป้องปากหัวเราะชอบใจตาม
จอยละสายตาจากเพื่อนทั้งสองที่กระดี๊กระด๊าเพราะระงับไม่ไหว เธอผ่อนลมหายใจออกมายาว แม้เธอเองก็รู้สึกตื่นเต้นในเรื่องที่ชายหนุ่มชวนออกเดต แต่ตอนนี้ยังมีเรื่องค้างคาจากเมื่อคืน ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้วิตกกังวลไม่หาย ทำให้เธอไม่มีอารมณ์อยากจะแสดงท่าทางอะไรออกมา
つづく
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 1308
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น