บทที่ 159: ให้คนอื่นเข้ามารับตำแหน่งแทน

-A A +A

บทที่ 159: ให้คนอื่นเข้ามารับตำแหน่งแทน

“ท่านคุ้นเคยกับการอยู่ในโรงเตี๊ยมเล็ก ๆ แห่งนี้หรือไม่?” ซุนเต๋อเซิ่งเอ่ยถาม “ข้าน้อยจะไปบอกให้คนของข้าน้อยทำความสะอาดศาลาว่าการ…”

“ไม่จำเป็น” มู่จวินฝานขมวดคิ้ว “ข้าเพียงแค่ผ่านเมืองชิงหยางเท่านั้นแล้วเจอคดีฆาตกรรม ที่ข้าเชิญใต้เท้าซุนมาที่นี่ในครั้งนี้เพราะข้าอยากจะถามใต้เท้าซุนว่าเดี๋ยวนี้คนของทางการไม่ได้จัดการคดีตามหลักฐานแล้วหรือ?”

ชายสูงวัยตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็เข้าใจว่ามีคนของศาลาว่าการจำนวนหนึ่งยืนอยู่ด้านข้าง

แน่นอนว่าเขารู้จักคนที่เป็นหัวหน้าของเจ้าหน้าที่ศาลาว่าการ ชายคนนี้เป็นลูกหลานในตระกูลภรรยาของเขา ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่อีกฝ่ายจะอาศัยชื่อเสียงของเขาอวดเบ่งอยู่ในเมืองชิงหยางมาตลอด 

คนผู้นี้เป็นคนหูเบา และภรรยาของเขามักจะเป่าหูอยู่ทุกวัน ดังนั้นเขาจึงเมินเฉยกับเรื่องนี้ไปหลายครั้ง

แต่ใครจะไปคาดคิดว่าอีกฝ่ายจะกล้ามาหาเรื่องรัชทายาทองค์ปัจจุบันเข้า

“บังอาจ!” ซุนเต๋อเซิ่งตบโต๊ะเสียงดัง “ตามปกติแล้วข้าสั่งสอนเจ้าว่าอย่างไร? ในยามที่ต้องจัดการคดี เจ้าจะต้องใส่ใจกับหลักฐานที่แท้จริง และอย่าใช้อำนาจหน้าที่ของตัวเองบีบบังคับผู้อื่น หากชาวบ้านไม่ได้รับความเป็นธรรมเพราะถูกสร้างหลักฐานเท็จ เจ้าจะรับผิดชอบมันได้อย่างไร!”

ชายคนนั้นถึงกับสะดุ้งโหยงกับเสียงตะโกน เขาจึงรีบคุกเข่าลงรับสารภาพ

“ฮึ! ถ้าข้าไม่สั่งสอนเจ้าให้หลาบจำในวันนี้ ในอนาคตเจ้าอาจจะไปก่อเรื่องใหญ่เข้าแน่” ชายสูงวัยพ่นลมอย่างหัวเสีย “หลังจากกลับไปแล้ว ให้เจ้าไปรับโทษโบย 20 ไม้ด้วยตัวเอง”

เมื่อซุนเต๋อเซิ่งกล่าวจบ ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันทีขณะหันไปถามองค์รัชทายาทด้วยรอยยิ้ม “คุณชาย ข้าจัดการเช่นนี้ท่านพอใจหรือไม่?”

มู่จวินฝานจิบชาเบา ๆ แล้วเอ่ยปากว่า “ตามรายงานบอกว่าเจ้าเจ็ดเสียชีวิตอยู่ที่นอกเมือง เขามีบาดแผลตามตัวที่เกิดจากดาบเหล็ก”

“ท่านได้ตรวจสอบคนที่ใช้ดาบทั้งหมดในเมืองนี้แล้วหรือยัง?”

ซุนเต๋อเซิ่งปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผากของตัวเองแล้วตอบว่า “เอ่อ… ข้าน้อยกำลังสอบสวนอยู่ขอรับ”

ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเมืองชิงหยางนั้นคึกคักมากเนื่องจากงานฉลองวันเกิดของนักดาบหิรัณย์ผู้เลื่องชื่อที่กำลังจะจัดขึ้น จึงเป็นเรื่องปกติที่ขุนนางชั้นปกครองจะมีเรื่องให้ทำมากมายจนต้องปล่อยให้การสืบสวนคดีนี้ตกเป็นของคนที่อยู่เบื้องล่าง

ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าผู้ตายมีบาดแผลตรงส่วนไหนและชันสูตรออกมาได้ว่ามาจากดาบหรือไม่

ทางด้านมู่จวินฝานมองออกได้ทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังโกหก

ก่อนที่เขาจะมาถึงเมืองชิงหยาง เขาได้ส่งคนมาตรวจสอบชายชราล่วงหน้าแล้ว

ซุนเต๋อเซิ่งคนนี้เป็นขุนนางชั้นปกครองในเมืองชิงหยางมาเกือบ 8 ปีแล้ว เขาไม่เคยมีความดีความชอบที่ยิ่งใหญ่ใด ๆ หรือทำอะไรผิดพลาดใหญ่หลวงเลย

สำหรับคนเช่นนี้ เด็กหนุ่มรู้ว่าอีกฝ่ายจะจัดการคดีอย่างไรโดยไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ

และนั่นก็ทำให้บรรยากาศภายในห้องโถงของโรงเตี๊ยมเริ่มหนักอึ้งมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วคนของศาลาว่าการก็ได้แต่ก้มหน้านิ่งไม่มีใครกล้าพูดอะไร

ขณะเดียวกัน เซียวถังอี้ที่กำลังเอนตัวพิงเสาอยู่บนชั้น 2 มองดูมู่จวินฝานจัดการคนของทางการที่ด้านล่างพลางลอบถอนหายใจ เขาดูเหมือนมู่เทียนฉงมากจริง ๆ

“ท่านจะมัวแต่คุกเข่าอยู่ที่นี่ทำไม?” ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่จู่ ๆ มู่จวินฝานก็พูดขึ้นมาว่า “ท่านไม่กลับไปที่ศาลาว่าการเพื่อรับโทษหรือ ทำไมยังไม่ไปอีก?”

ซุนเต๋อเซิ่งรู้สึกราวกับว่าตนนั้นพ้นโทษแล้ว ก่อนที่เขาจะรีบตะโกนไล่คนของศาลาว่าการที่คุกเข่าอยู่ข้างหลัง “ไม่ได้ยินหรืออย่างไร? รีบกลับไปรับโทษเร็วเข้า!”

“หลังจากรับโทษแล้วก็อย่าได้ขี้เกียจสันหลังยาว รีบไปตรวจสอบมาว่าใครใช้ดาบบ้าง อย่าปล่อยให้ฆาตกรลอยนวลไปได้!”

“หากคดีฆาตกรรมของเจ้าเจ็ดไม่สามารถคลี่คลายได้ภายใน 3 วัน พวกเราทุกคนจะต้องถูกลงโทษ!”

ในไม่ช้าคนของศาลาว่าการก็แยกย้ายกันไป แล้วสุดท้ายก็เหลือเพียงมู่จวินฝาน คนของเขาและซุนเต๋อเซิ่งเท่านั้นที่อยู่ในโรงเตี๊ยม

“คุณชาย” ชายชราค้อมตัวลงในท่าทางนอบน้อม “ท่านมีอะไรจะสั่งข้าอีกหรือไม่ขอรับ?”

“ใต้เท้าซุน” ใบหน้าของเด็กหนุ่มยังคงแสดงออกถึงความไม่พอใจ “ในฐานะขุนนางชั้นสูง ท่านต้องรับใช้ประชาชน ไม่ใช่มาคอยถามข้าว่ามีคำสั่งอื่นใดอีกหรือไม่”

“ถ้าท่านไม่เข้าใจเรื่องนี้ ข้าคิดว่าควรให้คนอื่นเข้ามาทำหน้าที่แทนท่านตรงจุดนี้”

คำพูดนั้นทำให้สีหน้าของซุนเต๋อเซิ่งเปลี่ยนไปทันที “ใช่ ๆ คุณชายกล่าวได้ถูกต้องแล้ว ข้าน้อยมันโง่เขลายิ่งนัก ขอบคุณที่ท่านสั่งสอน ข้าน้อยจะกลับไปที่ศาลาว่าการเพื่อจัดการคดีนี้ให้เรียบร้อย ข้าน้อยจะไม่มีวันผิดต่อความกรุณาที่ท่านมอบให้แก่ข้าน้อย”

เขาพูดจบแล้วก็รีบวิ่งหนีไปทันที

“ดูสิ ตาแก่คนนี้ไหลลื่นยิ่งนัก” อวี้เซิ่งเลิกเสแสร้งแกล้งทำเมื่อเห็นคนนอกออกไปจนหมดแล้ว ก่อนจะเดินไปนั่งลงบนโต๊ะ “ท่านรู้หรือไม่ว่าเขากำลังทำอะไรในตอนที่ข้าไปเอาตัวเขามา?”

“เขากำลังเล่นต่อสู้จิ้งหรีดอยู่เลย” 

“แก่ปูนนี้แล้วไม่รู้จักทำการทำงานเสียบ้าง”

มู่จวินฝานเม้มริมฝีปาก “ข้าเองก็ไม่เคยเห็นท่านโกรธขนาดนี้มาก่อน”

“ข้าโกรธไม่ได้หรือ?” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นยิ้มอย่างเฉยเมย “แม้ว่าข้าจะเป็นคนในยุทธภพ แต่ข้าก็เป็นประชาชนคนหนึ่งของแคว้นเป่ยหลงเช่นกัน”

“พอได้เห็นขุนนางทำตัวเหลาะแหละเช่นนี้ ข้าย่อมรู้สึกโกรธเป็นธรรมดา”

“อย่างไรก็ตาม ท่านคิดว่าคนที่ฆ่าเจ้าเจ็ดอาจจะเป็นจินซือหยางที่เราพบเมื่อวานนี้หรือ? เขาไม่ได้บอกเราหรืออย่างไรว่าเขาจับตาดูเจ้าเจ็ดคนนี้มาเป็นเวลานานแล้ว”

“ในเมืองที่มีจอมยุทธ์มากมายอาศัยอยู่ มีความเป็นไปได้หลายส่วนที่ฆาตกรจะเป็นคนในยุทธภพ”

มู่จวินฝานหันไปมองอีกฝ่ายโดยไม่พูดอะไร

ส่วนอวี้เซิ่งก็แสร้งทำเป็นไม่เห็นสายตาประเมินของอีกคนและพูดขึ้นมาว่า “ไม่เช่นนั้น ข้าจะไปที่จวนตระกูลจินเพื่อช่วยท่านตรวจสอบเรื่องนี้” 

“บางทีเราอาจจะพบบางสิ่งบางอย่างก็ได้”

“ไม่จำเป็น” มู่จวินฝานไม่อาจคาดเดาได้ว่าชายผู้นี้กำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้นเขาจึงส่ายหัวปฏิเสธ “เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อสืบสวนคดีนี้ มีเหตุผลหนึ่งที่เราต้องจัดการซุนเต๋อเซิ่ง”

“สำหรับตระกูลจิน พรุ่งนี้เป็นวันเกิดของนักดาบหิรัณย์ ดังนั้นวันนี้เราจึงไม่จำเป็นต้องเร่งรีบไปที่นั่น”

เมื่ออวี้เซิ่งได้ยินคำพูดขององค์รัชทายาท เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องยอมวางมือไปก่อน เขาคว้าเมล็ดแตงโมที่อยู่บนโต๊ะมากำมือหนึ่งแล้วนั่งกินมัน

… 

ขณะเดียวกันที่จวนตระกูลจิน

จินซือหยางนั่งอยู่ที่ชานบ้านพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองคน 2 คนที่กำลังต่อสู้กันอยู่ในลานฝึก

“คุณชาย ทำไมวันนี้ท่านถึงเงียบขนาดนี้?” ‘จินหยวนเป่า’ นำชามาให้และรู้สึกสงสัยกับท่าทีของคุณชายของตน “ในอดีต ทุกครั้งที่คุณชายฉินมา ท่านจะลากเขาไปประลองฝีมือตลอด”

“แต่ทำไมวันนี้ท่านทำเพียงแค่มองดูเขาต่อสู้กับอาจารย์อวี้ฉีเพียงเท่านั้น?”

จินซือหยางส่ายหัวเบา ๆ “ไม่มีอะไร ข้าแค่รู้สึกไม่มีแรง”

“ไม่มีแรง?” จินหยวนเป่ากลอกตาและยิ้มอย่างรู้ทัน “คุณชาย ข้าน้อยบอกท่านแล้วไม่ใช่หรือว่าไม่ควรไปสถานที่เช่นนั้นบ่อยนัก”

“เหมือนเมื่อคืนคุณชายจะค้างคืนอยู่ที่นั่น แล้ววันนี้ท่านจะมีกำลังได้อย่างไร?”

“ข้าน้อยไปสั่งให้คนครัวตุ๋นน้ำแกงบำรุงให้ท่านสักหน่อยดีหรือไม่?”

“ไปเถอะ” จินซือหยางกลอกตามองบนใส่อีกฝ่าย “ใครบอกว่าเมื่อคืนคุณชายของเจ้าไปหอคณิกา”

“ฮ่า ๆๆ คุณชายอย่าปฏิเสธเลย” จินหยวนเป่าปิดปากหัวเราะ “เป็นเรื่องปกติที่คนอายุรุ่นราวเดียวกันกับท่านมักจะไปที่หอคณิกา ท่านไม่จำเป็นต้องเขินอายอะไร”

“ไม่ต้องห่วงขอรับ ข้าน้อยจะช่วยท่านปิดบังไม่ให้นายท่านกับฮูหยินทราบ”

“นี่! เจ้าเด็กนี่ เจ้าไม่เชื่อคำพูดข้าอีกแล้วใช่หรือไม่?” จินซือหยางเห็นว่าสถานการณ์เริ่มดิ่งลงเหวมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาจึงรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา “เมื่อคืนข้าออกไปเพื่อขจัดภัยอันตรายและทำความดีเพื่อผู้อื่นต่างหาก!”

“ขอรับ ๆ เมื่อคืนนี้คุณชายของเราไปทำความดีเพื่อผู้อื่น” จินหยวนเป่าพยักหน้าคลายเชื่อฟัง แต่ยังส่งสายตาเจ้าเล่ห์มองผู้เป็นนาย

“...” 

ในบริเวณลานฝึก มู่จวินเซิ่งกับ ‘อวี้ฉี’ ที่เพิ่งต่อสู้กันเสร็จก็เดินเข้ามา

“พวกท่านกำลังคุยอะไรกันอยู่?” เด็กหนุ่มเหงื่อออกโทรมกายจึงได้ถอดเสื้อออกเผยให้เห็นมัดกล้ามกับผิวที่เรียบเนียนของเขา

“ไม่ได้คุยอะไรกัน” จินซือหยางรีบตัดหัวข้อนี้ทิ้งเพราะกลัวว่ามู่จวินเซิ่งกับอวี้ฉีจะเข้าใจผิดแบบเดียวกันกับจินหยวนเป่า

เด็กหนุ่มเหลือบมองนายบ่าวอย่างสงสัย จากนั้นจึงยิ้มมุมปาก “ท่านกำลังพูดถึงหญิงงามบ้านหนึ่งหรือไม่?”

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2025 keangun. All Right Reserved.