ตอนที่ 11 .. “ ลมหายใจของนักฆ่า ”
ฟังเพลงเพราะๆ ประกอบ นิยาย พยัคฆ์ร้าย..สายลับ
มันคือความรัก - ลุลา (เพลงประกอบ นิยาย พยัคฆ์ร้าย..สายลับ) พัชฌา
นิยาย แนว อาชญากรรม และนักสืบ (Detective and Crime Novel) / สืบสวนสอบสวน (Suspense) / Action
ตอนที่ 11 .. “ ลมหายใจของนักฆ่า ”
“ได้ค่ะจ่า ทางใครทางมัน และไม่ล้ำเส้นกัน”
“ส่วนเรื่องของหมวด ระวังตัวหน่อยก็แล้วกันนะครับ ผมเตือนหมวดได้เท่านี้ อะไรที่ทำอยู่และคิดว่าจะทำต่อไป ก็คิดให้ดีก่อนนะครับ เพราะตาสับปะรดของท่านผู้การหนะ มีอยู่ตรงไหนบ้างอันนี้ผมตอบแทนหมวดไม่ได้ หมวดต้องหัดระวังและรักษาตัวเองบ้าง หัดเรียนรู้ถ้าคิดอยากจะเป็นนักสืบหรือสายลับแบบผม ใจต้องกล้าและที่สำคัญ”
“อะไรคะ”
“ถ้าพลาดถึง ตาย”
ขิงเจอคำนี้เข้าไปถึงกับพูดอะไรไม่ออกและไม่กล้าที่จะสบตาจ่าสนอีกเลย ขิงค่อยๆหันหน้าหนีจ่าสน และตัดสินใจเดินออกจากตรงนั้นไป จ่าสนก็ได้แต่ยืนจ้องมองขิงที่เดินกลับออกไป ด้วยความไม่สบายใจ เพราะไม่รู้ว่าผู้การคิดยังไง ถึงได้เอาขิงเข้ามาร่วมงานด้วย ผู้การมีอะไร คิดอะไร ทำไมถึงไม่บอกกันบ้าง แล้วเขาก็ถอนหายใจ
และที่สำคัญตอนนี้เขาก็ต้องระวังตัวมากขึ้น เพราะอย่างน้อยขิงก็รู้แล้วว่าเราเป็นใคร ความลับมันไม่ลับอีกต่อไป จ่าสนกลัวว่าขิงจะนำเรื่องของเขาไปบอกพ่อเขาไม่ไหร่ ไม่มีทางรู้ ความปลอดภัยคงไม่มีอีกต่อไป ต้องวัดใจกันหละทีนี้ และสุดท้ายเพื่อความสบายใจ เขาจึงหยิบรูปของเพ็ญออกมาดูเพื่อลดความไม่สบายใจของตัวเอง
฿฿฿฿฿ ***** ฿฿฿฿฿
“ได้เวลากลับบ้านแล้วซินะ” เผด็จพูดที่ขณะนอนกอดโบว์และซุกซนบางอย่างอยู่
“อย่างอแงซิคะคนดีของหนู” โบว์เอามือมาบี้จมูกแฟน
“หลายวันแล้ว เดี๋ยวอีกหลายคนจะสงสัย ว่าหัวหน้าคนเก่งหายไปไหน” เธอลุกขึ้นมาเอามือรวบผม ติดกระดุมเสื้อให้เรียบร้อย
“พอแล้วป๊า หนูเจ็บหมดแล้ว” โบว์ตีมือเผด็จ ขณะที่กำลังสนุกมือ
“หนวดก็ไม่โกน ของหนูเสียทรงหมดแล้ว จุ๊บอยู่นั่นแหละยังอีก ไม่อิ่มรึไง ตั้งแต่เช้าแล้วนะ” เผด็จ ไม่สนใจ ยังคงกระทำอยู่
“พอ พอ พอแล้ว พอเลย หนูจะใส่เสื้อ ป๊า” เธอเอามือตีหลังเผด็จ เขาจึงหยุดได้ และหันไปมองหน้าโบว์ โบว์มองตาเขียว
“ยังอีก บอกว่าเจ็บว่าเจ็บ เล่นอะไรก็ไม่รู้ คราวหน้านะถ้าไม่โกนหนวดเอาไอ้นี่นี่นี่” เธอจิ้มไปที่หนวดเผด็จ
“ออกให้หมด หนูไม่ให้ด้วย ดูซิแดงไปหมดเลย เจ็บก็เจ็บ” แล้วเผด็จก้มลงไปจูบตรงรอยแดงๆ (แก้ม..ทั้งสองข้าง)
“ยังอีก นิดนึงก็ยังจะ..” โบว์ดึงหูขวาเผด็จออกมา หลังจากติดกระดุมเสื้อเรียบร้อย
“ไปเลย ไปอาบน้ำ หนูให้เวลาป๊า 5 นาที”
“อะไรนะ กี่นาทีนะ”
“เหลือ 4”
“ไปแล้วจร้าไปแล้ว” ยังไม่ทันไร เผด็จกลัวว่าที่ภรรยาเสียแล้วหรือนี่ ไม่น่าเลย พยัคฆ์ร้ายของเรา ใครรู้เข้าเสียฟอร์มแน่
***** ----- *****
หมูมาเยี่ยมอิงฟ้าที่โรงพยาบาล เพราะพลาดท่าโดนคนร้ายแทงเอา แต่ไม่ถูกที่สำคัญ
“เป็นไงบ้างฟ้า ยังเจ็บแผลอยู่ไหม” หมูมานั่งข้างๆเตียง
“นิดหน่อย แต่พอไหว..ขอบใจนายมากนะหมู” อิงฟ้า พยายามเขิบตัวขึ้นมานั่งพิง แต่ยังเจ็บแผลอยู่
“ไม่ต้องลุกมาหรอก นอนเถอะ..ไม่เป็นไร ก็เราเพื่อนกัน”
“ว่าแต่ ได้เห็นข่าวงานวันก่อนรึยังหละ ท่าทางจะเรื่องใหญ่นะ”
“ก็คงจะยังงั้นแหละ เห็นได้ข่าวว่า เครื่องเพชรหายไปเยอะเลย 30 ชุด”
“ใครนะช่างกล้า..อืม เห็นแฟนนายไปงานนี้ด้วยไม่ใช่เหรอ”
“ใช่..ไม่รู้เป็นยังไงบ้าง”
“แล้วทำไมไม่โทรไปถาม หรือไม่ก็ไปหาหละ” อิงฟ้าถามเหมือนเป็นห่วง
“ไม่กล้าหวะ พ่อเพ็ญเค้าไม่ชอบฉัน”
“รู้ได้ไง นายคิดไปเองรึเปล่า” แล้วหมูก็หันไปหยิบขวดน้ำในถุง เปิดฝาส่งให้อิงฟ้าขวดหนึ่ง และเขาทานเองขวดหนึ่ง
“เราแอบคบกัน เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ท่าน ผบ. รู้เข้าก็เลยย้ายให้ฉันมาเป็นสายสืบนี่แหละ”
“สงสารนายจัง แล้วนี่เจอกันบ้างไหม”
“แทบไม่เจอเลยหละ นานๆถึงจะโทรคุยกันที ก็เพราะแบบนี้พ่อเค้าถึงเอาเพ็ญไปเป็นเลขาหน้าห้องไง ฉันก็เลยหมดสิทธิ์”
“สู้ๆนะเพื่อน” หมู ทำหน้าไม่ค่อยดี เมื่อพูดถึงเรื่องเพ็ญ
“หรือไม่ก็จะเจอตามงานหรือในที่ประชุม นอกนั้นฉันก็ต้องออกหาข่าวภายนอก แทบจะไม่มีโอกาสได้เจอได้คุยสักเท่าไหร่”
“ถามจริง แล้ว แบบนี้จะเรียกว่าแฟนได้ไงวะเนี่ย” เห็นหน้าเพื่อนไม่ดี ก็เลยเปลี่บยนท่าทีดีกว่า ไม่อยากให้เพื่อนแสลงใจ
“งั้น ก็อย่าพูดเรื่องเศร้าเลยนะ เอาเรื่องดีๆสนุกๆดีกว่า”
“แล้วเรื่องอะไรดีหละฟ้าที่ดีๆและสนุกๆ”
“นั่นนะซิ” แล้วก็หัวเราะ เบาๆกัน สักพักจ่าสนเดินเข้ามา
“หัวเราะอะไรกันอยู่วะเพื่อน”
“ไม่มีอะไรหรอก กำลังพูดถึงเรื่องของเพ็ญ แฟนหมูเขาอยู่หนะ แล้วนายหละมาทำไมวะสน”
“อ้าว ก็มาเยี่ยมไง หรือว่า ไม่อยากให้มา งั้นกลับ”
“แหม..ทำใจน้อยไปได้ หัวไม่ล้านซะหน่อย”
“ไอ้ฟ้ามันก็พูดไป ฉันกำลังคุยกันเรื่องงานที่โดนจารกรรมเครื่องเพชรคืนวันก่อนอยู่ต่างหาก” หมูแก้ตัว เพราะกลัวมีพิรุธ
“แล้วแกพอจะรู้อะไรบ้างไหมสน” หมูถามเผื่อสนจะรู้
“ไม่รู้เหมือนกัน วันนั้นฉันก็ไม่ได้ไป มัวแต่ไปสืบข่าวไอ้คนที่มันมาลอบทำร้ายฟ้านั่นแหละ”
“เออ แล้วรู้ไหมพวกไหน ฉันเจ็บใจมากเลย ที่พลาดท่ามันได้”
“รู้แล้ว ก็ไอ้พวกแก๊ง 4 คิงส์ ลูกน้องของไอ้แทนไท นั่นแหละ ถ้าไม่กระทืบมัน มันก็ไม่เปิดปากหรอก”
“แล้วจะเอาไงต่อ” หมูอยากรู้
“ก็ไม่เอาไง ต้องปล่อยมันไปก่อน แต่แกล้งคาดโทษมันเอาไว้ เพราะทำเกินคำสั่ง เขาให้แค่สั่งสอน ไม่ใช่เอาถึงตาย”
“คราวหน้าก็ต้องระวังตัวให้มากนะฟ้า” หมูหันไปเตือนเพื่อน อิงฟ้ามองหน้าซาบซึ้งหมูมาก หน้าแดงขึ้นมาทันที
สนสังเกตุเห็นว่าฟ้ามีอาการแปลกๆ ก็เลยแกล้งพูดเรื่องอื่น
“เออ แล้วนี่มีใครติดต่อท่านรองได้บ้างเนี่ย”
“ฉันก็ยัง แล้วผู้กำกับหละ ว่าไง ว่าจะโทรหาแกเหมือนกัน มันยังยุ่งๆอยู่ ตอนนี้ฉันกำลังสืบเรื่องคนฆ่านักธุรกิจคนนั้นอยู่ คิดว่าคงได้เรื่องแล้ว และมั่นใจ ก็เลยจะบอกท่านรองซะหน่อย”
“เคร ก็ดีเหมือนกัน เพราะผลชันสูตรที่นายเอามาให้ฉัน มันก็ฟันธงได้เลย 1,000 % ว่าใช่ สามารถออกหมายจับได้เลย”
“ก็ดี งั้นพวกเรา เข้าหน่วยดีกว่า เผื่อจะเจอใครที่นั่นบ้าง” หมูพูดจบ สนรีบดึงเพื่อนออกไปทันที
“จะรีบไปไหนวะไอ้สน ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ กูจะล้มอยู่แล้ว”
“เออน่า ไปเหอะ ไม่ต้องพูดมาก” ว่าแล้วทั้งสองจ่าก็ออกจากโรงพยาบาลทันที
----- +++++ -----
ที่โรงแรม หลังจากที่อัธวุฒิ ได้ทำเรื่องขอดูกล้องวงจรปิด ตลอดแนวที่คิดว่าเกี่ยวข้อง ทั้งภายนอกและภายใน จ่ามิ่งและจ่าหมง ก็รีบมาประสานงานกันอย่างเร่งด่วน ส่วนเรื่องนางแบบ หมวดม่านมุกและหมวดอ้อม ก็รีบดำเนินการอย่างด่วนเช่นกัน
“เดี๋ยวถ้า ได้เรื่องยังไง ทางโรงแรมของเราจะติดต่อกลับไปนะครับ” ผู้จัดการโรงแรม ออกมาส่งจ่ามิ่งและจ่าหมง
หมวดม่านมุกและหมวดอ้อม เดินออกมาจะถึงประตูทางเข้าออก เจอสองจ่ากำลังเดินออกมาเช่นกัน เสียงทักมาแต่ไกล
“ว๊าว สองหมวดสาว สวัสดีครับ” จ่าหมงทักก่อน ส่วนจ่ามิ่งยิ้มให้
“วันนี้สงบศึกกันเหรอครับหมวดทั้งสอง” จ่าหมง ทักแบบไม่เกรงใจสถานที่เลย จ่ามิ่งสะกิดเพื่อน
“จะว่างั้นก็ได้ค่ะ” ม่านมุกตอบก่อน แล้วอ้อมก็หันไปมองหน้าเหมือนจะค้อนนิดๆ
“เพื่องานค่ะลุงจ่า” แหม ประโยคนี้จุกยิ่งกว่าใดๆ
แล้วทั้งสองสาวก็เดินจูงมือกันออกไป
“ไงหละมึง เป็นไง เจอแบบนี้เข้า จุกไหมหละ ไอ้หมง” มิ่ง สะใจแล้วก็เดินหัวเราะออกไป หมงเดินตามออกไปแบบมึนงง
----- ***** -----
เบ็นซ์กับแป๋ว มาพบ ฉัตรเทพ หลังจากที่คิดมาดีแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นก็ต้องปล่อยมันหละ
“คุณอา” เบ็นซ์เอ่ยปากถาม
“มีอะไรกะฉันรึ เธอสองคน”
“หนูทั้งสามคน ขอเลิกได้ไหมคะ”
“ทำไมหละ เห็นเมื่อก่อน ตั้งแต่ไหนแต่ไรไม่เห็นจะพูด แล้วตอนนี้พวกแกเกิดบ้า อะไรขึ้นมา”
“คือพวกหนูเบื่อหนะค่ะ อยากมีชีวิตแบบปกติเหมือนคนอื่นบ้าง” แป๋ว หลุดปากออกมา ทำให้ฉัตรเทพไม่พอใจ
“ว่าไงนะ” เขาตบโต๊ะอย่างดัง แล้วลุกขึ้น
“ช่างกล้านักนะ พวกแกเนี่ย” แล้วชี้นิ้วไปที่เบ็นซ์ และ แป๋ว
“ฉันอุตส่าห์เลี้ยงพวกแกมาฝึกพวกแกมาดูแลพวกแกสามคนมา จนเก่งและเอาตัวรอดได้จนทุกวันนี้ มันยังไม่พออีกเหรอ”
ฉัตรเทพ ไม่พอใจมากกับความกล้าของสองสาวในวันนี้
“ขอร้องเถอะนะคะคุณอา พวกเราสามคน ก็ทำงานให้คุณอามาตั้งนานหลายปี ไม่อยากหลบๆซ่อนๆอีกต่อไปแล้ว”
“เห็นใจพวกเราเถอะนะคะ” แป๋วเสริมอีก ฉัตรเทพยืนครุ่นคิด นึกอยู่แล้วว่าสักวัน วันนี้ต้องมาถึง แต่ไม่คิดว่าจะเร็ว
“ลมหายใจของพวกแกเป็นของฉันพวกแกจำไม่ได้รึ ถ้าไม่ได้ฉันอุปถัมภ์คำชูและช่วยเหลือมาปาดนี้พวกแกสามคนตายไปแล้ว โดยเฉพาะแก นังแป๋ว ถ้าวันนั้นฉันไม่ช่วยแกออกมาจากกองเพลิง ปาดนี้แกจะมามีแรงนั่งเถียงฉัน ฉอด ฉอด ฉอด แบบนี้รึ คิดกันซะบ้าง มันเป็นยังไง ทำงานให้ฉันแค่นี้ มันเป็นยังไง อยากได้มากนักรึไอ้อิสรภาพเนี่ย แค่นี้ ยังอิสระไม่พอใช่ไหม”
เอาไงดีหละ สองสาวมองหน้ากัน ไม่คิดว่าฉัตรเทพจะทวงบุญคุณถึงขนาดนี้
“ยัง..ยังไม่ได้” ฉัตรเทพ ต้องห้ามไว้ก่อน เพราะถ้าขืนปล่อยไป จะไม่มีใครทำงานให้ในตอนนี้ รุ่นใหม่ก็ยังไม่ได้ฝึก
“เอาไว้ก่อน แล้วนี่เจ้าโบว์มันหายหัวไปไหน ทำไมถึงไม่มากับพวกแกด้วย” ฉัตรเทพรีบเปลี่ยนเรื่อง
“ไปเที่ยวค่ะ” เบ็นซ์ตอบเสียงเบาๆ ฉัตรเทพไม่เชื่อ
“ไปเที่ยว..โกหก”ประโยคหลังเสียงดังมาก
“นี่พวกแกเห็นฉันเป็นตัวอะไรห๊ะ เบ็นซ์ แป๋ว ถ้าฉันไม่แน่จริง ฉันไม่เลี้ยงพวกแกให้มาเนรคุณฉันแบบนี้ได้หรอก”
“จริงๆค่ะคุณอา” แป๋ว ออกตัวแทนเบ็นซ์
“บอกความจริงมา อีโบว์มันไปไหน หลังๆเนี่ย ฉันเห็นมันทำงานไม่ค่อยเต็มที่เลย อย่าให้รู้นะว่าพวกแกคิดจะทรยศฉันหนะ..น่าดู อย่าคิดนะว่า ฉันไม่กล้าทำอะไรพวกแก ฉันสร้างพวกแกได้ ฉันก็ลบพวกแกได้เช่นกัน เอาเป็นอันว่า ฉันไม่อนุญาต”
“ค่ะๆ ไม่ก็ไม่” แป๋วตอบแล้วรีบดึงเบ็นซ์ออกมา ก่อนที่เรื่องจะบานปลาย เบ็นซ์นั่งกำมือแน่น ยังคงก้มหน้า โกรธสุดๆ
“ไปเร็วไอ้เบ็นซ์” แล้วแป๋วก็ลากเบ็นซ์ออกมาอย่างแรงจนเก้าอี้ที่นั่งล้ม เบ็นซ์ จ้องไปที่ฉัตรเทพ ขณะที่ฉัตรเทพยืนหันหลังให้
แป๋วลากเบ็นซ์ออกมานอกห้องนั้น แล้วก็ติงเพื่อน
“ใจเย็นๆ ซิวะไอ้เบ็นซ์ แกก็รู้ว่า ยังไงก็ไม่ได้”
“ทำไมวะไอ้แป๋ว ลมหายใจของเรา ทำไมมันไม่เป็นของเราวะ บุญคุณทดแทนกันไม่หมดรึไง”
เบ็นซ์หยุดยืนมองหน้าแป๋ว แป๋วเข้าใจเอามือมาแตะที่ไหล่เพื่อน
“กี่ปีแล้ววะ ที่เราทำงานให้เค้า ตั้งแต่อายุ 17 แกจำได้ไหม จนตอนนี้ 30 พวกเราเคยได้ใช้ชีวิตเด็กวัยรุ่นเหมือนคนอื่นๆไหม 13 ปีแล้วนะ ที่เราทำงานแบบนี้มา ฉันเบื่อ ไอ้โบว์ก็เบื่อ แล้วแกหละแป๋ว แกไม่เบื่อบ้างเหรอ”
“ฉันก็เบื่อ แล้วแกจะให้ฉันทำยังไง ในเมื่อเขาพูดแบบนั้น ถ้าพวกเราจะหักดิบ มันก็เสี่ยง แกก็รู้ว่าเส้นสายอาเทพมีเยอะขนาดไหน พวกเราแค่สามคนจะไปสู้อะไรกับคนเป็นร้อยๆได้ แกไม่คิดบ้างรึไงวะไอ้เบ็นซ์ คิดซิวะคิด”
“แล้วแกจะให้ฉันทำยังไงหละวะไอ้แป๋ว น้องก็หายตัวไป ทางองค์กรก็ไม่ให้เลิก ส่วนพวกเราจะไปไหนมาไหนแบบธรรมดาก็ไม่ได้ กลัวความลับรั่วไหล บางครั้งมันก็ท้อเหมือนกันนะโว๊ย”
“เอาน่าทนอีกนิด เดี๋ยวมันก็หาทางออกเจอเองแหละ ทนมาตั้งนานแล้ว ทนอีกหน่อยนะเพื่อน ได้ไหม”
เบ็นซ์มองหน้าเพื่อน ขณะที่เดินคุยกันไป ดรัณก็แอบมองและฟังอยู่โดยที่ทั้งสองคนไม่รู้เลย แล้วดรัณก็เข้าไปหาฉัตรเทพ
< ก๊อกๆๆๆ > ดรัณเคาะประตู แล้วเปิดเข้าไป เห็นฉัตรเทพยืนมองออกไปที่หน้าต่าง
“นาย” ฉัตรเทพนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไร ดรัณก็เลยเดินเข้าไปใกล้ๆ
“พวกสองสาวนั่น” ฉัตรเทพยกมือซ้ายห้ามไว้
“ฉันรู้แล้ว” แล้วก็หันมาหาดรัณ
“พวกมันไม่อยากทำงานกันแล้ว”
“แล้วนายจะทำไงต่อไป”
“ก็ในเมื่อ พวกมันไม่มีใจรักและภักดีที่จะทำอีกต่อไป ฉันก็คงไม่บังคับ แต่ก่อนที่พวกนั้นจะไป ฉันก็คงต้องหาคนใหม่เพื่อจะมาแทนที่พวกเก่าซะก่อน ถ้าหาได้เมื่อไหร่ ฉันก็จะปล่อยพวกมันไป”
“นายจะปล่อยพวกนั้นไปจริงๆเหรอ” ดรัณ ไม่อยากจะเชื่อ แล้วฉัตรเทพก็นั่งลงที่เก้าอี้
“แล้วแกคิดเหรอว่าฉันจะปล่อยให้มันมีลมหายใจออกไปง่ายๆ เพราะลมหายใจของพวกนั้น มันเป็นของฉัน”
ฉัตรเทพพูดออกมาด้วยสีหน้าที่ยิ้มและเจ้าเล่ห์เป็นที่สุด แล้วก็หัวเราะออกมา อย่างคนที่มีอำนาจต่อรอง กับชีวิตคนอื่น
฿฿฿฿฿ ------ ฿฿฿฿฿
ขณะเดียวกันที่เผด็จกำลังพาโบว์กลับมาสู่ชีวิตจริง ในวังวนเดิม จากโลกที่มีความสุขเพียงไม่กี่วัน ก็ต้องกลับมาเผชิญกับโลกในความเป็นจริงที่แสนจะโหดร้าย เขาสองคนจะเป็นยังไงต่อไป โบว์จะหลุดออกจากวงโคจรของฉัตรเทพได้หรือไม่ ขึ้นอยู่ที่ใจของเธอแล้วหละ เมื่อเธอกล้าตัดสินใจมาขนาดนี้แล้ว ทั้งสองคนระหว่างเดินทางก็ยังมีเวลาที่จะหวานกันตลอดทาง เท่าที่จะเก็บเกี่ยวได้ เผด็จมองหน้าโบว์แล้วยิ้มให้ ส่วนโบว์ก็เกาะติดเผด็จไม่ห่างเหมือนจะใช้เวลาให้คุ้มค่าทุกวินาทีก็ว่าได้
“เรากำลังจะกลับสู่โลกแห่งความจริงแล้วนะที่รัก ไหวไหม” เผด็จ พูดกับโบว์ขณะที่ขับรถมุ่งหน้ากลับสู่กทม.
“ไหวค่ะ ตราบใดที่หนูยังมีป๊าอยู่ข้างๆและเป็นกำลังใจให้อยู่แบบนี้” โบว์พูดขณะที่เอนเบาะนอน
“แต่ป๊าก็ไม่ได้อยู่กับหนูตลอดนะ” เผด็จเตือนสติแฟนสาว
“หนูรู้ แต่เราก็สามารถมาเจอกันได้นี่คะ ถ้าเราอยากจะเจอ อย่างน้อยหนูก็ให้ป๊าอาทิตย์ละวันอยู่แล้วนี่ตามที่ป๊าขอ”
“น่ารักมาก” แล้วโบว์ก็ดึงเบาะขึ้นมา หอมแก้มซ้ายเผด็จและนั่งเอาหน้าพิงไหล่
“วันอาทิตย์ หนูถือว่าป๊าเป็นสมบัติของหนูทั้งวันทั้งคืน Ok ไหม”
“คร๊าบ คุณแฟนที่น่ารัก และอย่าลืมนะ”
“อะไรคะที่รัก” โบว์ กระซิบที่ข้างหูซ้าย เผด็จสยิวหูเล็กน้อย แต่ยังคงมองไปที่ทางข้างหน้าไม่หันมา
“น้องแมวต้องมาหาป๊าคืนวันเสาร์นะ ไม่ใช่มาเช้าวันอาทิตย์ ไม่งั้นป๊าไม่ยอมด้วย”
“เอาขนาดนั้นเลยเหรอป๊า” โบว์ก็เอามือแหย่หูเผด็จเล่นไปตลอดทาง เผด็จเหมือนจะรำคาญ แต่ทนได้ สยิวก้ต้องปล่อยไป
“แล้วจะมาไหมหละ” เผด็จหันมาได้คราวนี้ “ทำให้ป๊าแค่นี้ ได้ไหมหละ ไม่ได้เหรอ” แล้วทำหน้าเหมือนผิดหวัง
“ได้ค่ะได้ เพื่อป๊าของน้องแมว ทำไมจะทำไม่ได้..แล้วจำไว้นะ หนูทำให้ป๊าได้ ป๊าก็ต้องทำให้หนูได้เหมือนกัน”
โบว์ชี้หน้าเผด็จ “อะไร” เผด็จหันไปมองหน้าแฟนแป๊บนึงแล้วหันกลับไปดูทาง
“อย่าไปทำเจ้าชู้ที่ไหนก็แล้วกันนะหนูเอาตาย อย่าให้หนูรู้นะว่าป๊านอกใจ หนูตามไปลุยถึงที่แน่ ไม่เชื่อก็คอยดูฤทธิ์นางแมวป่าคนนี้บ้าง” เผด็จค่อยๆเหล่ตาไปทางซ้าย ดูแฟนตัวเอง กำลังทำท่าเอานิ้วปาดคอ แล้วรีบหันกลับทันที
“โอ๊ย ที่รักจ๋า ป๊า กลัวแล้วจร้า จะเอาเวลาไหนไปเจ้าชู้ได้ หนูก็รู้ วันๆป๊าได้แต่ตามสืบเรื่องของพวกหนูอยู่เนี่ย”
แล้วเขาก็รีบเอามือปิดปากตัวเอง
“อะไรนะป๊า พูดใหม่อีกทีซิ ป๊ามัวทำอะไรนะ”
เผด็จนั่งนิ่งเงียบ เอามือปิดปากไว้อย่างเดียว โบว์ก็ได้แต่ทุบไหล่
“บอกมาเดี๋ยวนะป๊า บอกมานะ ตามสืบใคร ป๊า ยัง ยังอีก”
ตลอดทางนั่นแหละที่เผด็จขับรถไม่มีความสุขหละมั้ง เพราะดันหลุดปากเรื่องของเธอและพี่สาว กรรมจริงๆเผด็จ
----- +++++ -----
“ตื่นแล้วเหรอพ่อ” อัธวิทย์ โยนกระป๋องน้ำอัดลมเย็นๆให้พ่อ อัธวุฒิรับ แล้วเปิดทาน
“ได้งีบสักหน่อยก็ดีหวะสองวันเต็มๆ ตั้งแต่คืนวันศุกร์ ยันคืนวันเสาร์ ไม่ได้นอนเลย”
“นี่ก็บ่ายแล้วนะพ่อ หลับอร่อยไปเลย” อัธวุฒิลุกขึ้น เดินไปที่หน้าบ้านเปิดประตูรับลม อัธวิทย์ตะโกนถาม
“แล้วพ่อจะเอาไงต่อไปเนี่ย” อัธวุฒิ ไม่ได้หันมา แต่กลับเดินออกไปนั่งที่ชิงช้าหน้าบ้าน อัธวิทย์เลยต้องตามออกไป
“ต้องติดต่อเฮียเต๋าให้ได้ก่อน” อัธวิทย์ทำหน้างง
“ใครพ่อเฮียเต๋า”
“อ๋อ ลืมไปแกไม่รู้ คืองี้ ผู้การเผด็จ เพื่อนพ่อหนะ ชื่อเล่นเขาชื่อลูกเต๋า”
“เข้าใจแล้ว ผมก็เห็นเขาเรียกพ่อว่าไอ้กระป๋องตลอด เออ ผมอยากรู้มาตั้งนานแล้ว ทำไมผู้การเขาเรียกพ่อแบบนั้นหละ ผมเป็นลูกพ่อผมยังไม่รู้เลยว่าพ่อมีชื่อเล่นว่าอะไร ตอนที่แม่ยังอยู่ก็เห็นเรียกว่าพี่วุฒิๆตลอด ตกลงมันยังไงครับพ่อ”
“คือมันยังงี้ ที่จริงพ่อหนะก็มีชื่อเล่นเหมือนกันว่า ป๋อง แต่ไม่ค่อยมีคนเรียกหรอก แต่พอไปคบกับผู้การทำงานกันจนเข้าขา แกก็เลยตั้งชื่อหรือฉายาให้พ่อ ว่าไอ้กระป๋องชำรุด”
“กระป๋องชำรุด” ลูกชายหัวเราะงอหาย อัธวุฒิมองหน้าลูกแล้วชี้หน้า
“เครๆพ่อ ผมขอโทษ ไม่หัวเราะแล้วก็ได้”
“เพราะว่าพ่อพลาดท่าถูกยิงเข้าที่ขาซ้ายกระสุนฝังในเนี่ย ก็ได้แกนี่แหละที่ช่วยชีวิตรอดออกมา ไม่งั้นแกก็กำพร้าพ่ออีกคนแล้ว พ่อถึงสำนึกถึงบุญคุณแกไง เวลาที่ทำงานกับแกถึงได้ทำเต็มที่”
“แล้วลุงแกหายไปไหนหละพ่อ ในวันงานทำไมผมไม่เห็นหน้าลุงแกเลย”
“นี่แหละถึงทำให้พ่อยังคิดไม่ตกอยู่นี่ไง เพราะ 2-3 วันที่ผ่านมาเนี่ย ติดต่อแกไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าแกหายไปไหน ธรรมดาแกไม่เคยปิดโทรศัพท์นะ โทรไปยังไงก็ติด” ไม่ทันไรเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“สวัสดีครับ”
“เนตรนะค่ะ”
----- ***** -----
“เป็นไงบ้างลูก ดีขึ้นรึยัง” เชี่ยว เข้ามาดูลูกที่ห้องนอน
“ก็ดีขึ้นบ้างแล้วค่ะพ่อ” เพ็ญมองหาอะไรสักอย่าง
“มองหาอะไรรึลูก” เชี่ยวสงสัยว่าเพ็ญมองหาอะไร
“เบียร์หละพ่อ ไปไหน”
“กลับไปแล้ว ตั้งแต่เช้า”
“ว๊า บอกแล้ว ว่าไม่ต้องกลับ ให้อยู่ก่อน” แล้วก็หยิบโทรศัพท์ กุญแจรถ ใส่กระเป๋าสะพายประจำตัว เตรีมออกจากบ้าน
“จะไปไหน หาใครหละลูก พักผ่อนก่อนดีไหม”
เพ็ญไม่ฟังพ่อ ลุกเข้าห้องน้ำ ทั้งๆที่ยังไม่ค่อยดี นมแม้นเข้ามาพอดี
“คุณหนู ไม่เอาซิคะ อย่าดื้อกับคุณพ่อซิ”
“หนูไหวค่ะนม หนูมีธุระอีกเยอะที่จะต้อง Clear”
แล้วเพ็ญก็เข้าห้องอาบน้ำไปเลยไม่ฟังเสียงใครทั้งสิ้น
“เฮ้อ จะเอาไงดีหละเนี่ยนม”
“ไม่รู้เหมือนกัน นมว่ามีคนเดียวที่จะเอาคุณหนูเพ็ญอยู่นะคะ”
“ใครหละนม”
“จะใครหละคะท่าน ก็คุณเผด็จไง”
เชี่ยว นิ่งไปพักนึงก็เดินกลับออกจากห้องลูกสาว ลงไปข้างล่าง ยืนสูบไป๊ร์คิดอยู่ที่หน้าบ้าน ว่าจะทำยังกับลูกสาวคนนี้ดี แล้วก็หยิบโทรศัพท์โทรหาเผด็จ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เผด็จบอกให้โบว์เงียบแล้วเปิดโทรศัพท์ให้เขา เพราะเขาขับรถอยู่
“เปิดโฟนเลย” เผด็จบอกโบว์ เธอพยักหน้า แล้วก็เอานิ้วมือปิดปาก
“สวัสดีครับพี่เชี่ยว มีอะไรให้น้องคนนี้รับใช้ครับ”
“แกอยู่ไหน”
“ผมอยู่ทะเลครับพี่ มาพักผ่อนสมองสักหน่อย มีอะไรเหรอครับ”
“แกรู้เรื่องข่าวการขโมยเครื่องเพชรรึยัง”
เผด็จหันไปมองโบว์ โบว์ตีไหล่เผด็จแล้วชี้หน้า แล้วก็เอานิ้วปิดปากบ้าง เอาคืน
“ก็พอรู้บ้างครับพี่ มีอะไรเหรอครับ”
“ฉันอยากให้แกช่วยหน่อยได้ไหม อัธวุฒิคนเดียวฉันว่า คงช้า ว่าไง ช่วยพี่อีกสักงานได้ไหมไอ้น้อง”
“เอ้อ..”เขาหันไปมองหน้าแฟน ที่กำลังจะกัดคอเขาอยู่แล้ว โบว์ทำปากพูดว่า
“อย่าเชียวนะป๊า น่าดูอย่าช่วย”
“เอาเป็นว่า เราไปคุยกันที่บ้านพี่แล้วกันนะครับ พูดตอนนี้ผมไม่มีข้อมูล ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย”
โบว์ทุบดังแอ็กไปที่ไหล่ แล้วชี้หน้า ทำท่าโกรธ ไม่พอใจเผด็จ ขับรถดูทางไปดูหน้าแฟนไป แล้วโบว์ก็เลื่อนไปนั่งที่ตัวเองงอน เปลี่ยนจากมือซ้ายเป็นมือขวาถือโทรศัพท์ให้แทน
“ตามนี้นะพี่ สัญญานไม่ค่อยจะดีเลย” ดูสถานการณ์แล้วท่าจะไม่ดีแล้วหละเด็จเอ๊ย 55555+
ขณะที่เชี่ยวคุยกับเผด็จ เพ็ญเดินลงมาพอดี
“คุยกะใครคะพ่อ” เสียงเผด็จหลุดเข้าหูเพ็ญ
“แล้วเจอกันที่ บ้านแล้วกันนะพี่” เท่านั้นแหละ เพ็ญเสียมารยาท ดึงโทรศัพท์จากมือพ่อทันที
“อาเต๋า..ขอโทษนะคะพ่อ”
“อะไรลูกเดี๋ยว” เธอไม่สนใจ
“อาเต๋า เราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง วันนี้ และเดี๋ยวนี้”
เสียงเดิม เจ้าปัญหามาอีกแล้ว เผด็จรีบบอกให้โบว์ปิด ทำท่าบอกว่าให้ปิด แต่โบว์ไม่เข้าใจ ก็เลยถาม
“อะไรคะที่รัก เป็นอะไร” เสียงโบว์หลุดเข้าไป เพ็ญได้ยินเต็มๆ
“นางแมวป่า แกใช่ไหม”
เท่านั้นแหละ รู้เลยว่าเผด็จให้ทำอะไร โบว์ปิดโทรศัพท์ทันที แล้วหันไปมองหน้าเผด็จ เป็นเรื่องแล้ว
***** +++++ *****
เชี่ยว ไม่พอใจลูกสาวกับการกระทำที่เกิดขึ้น จึงต่อว่าทันที
“ทำอะไรหนะยัยเพ็ญ” เพ็ญ โกรธเผด็จมาก ไม่พูดอะไรกะพ่อ ยังเงียบ
“ลูกเป็นอะไรเนี่ย เมื่อก่อนไม่เคยเป็นแบบนี้เลยนะ”
เพ็ญหันไปมองหน้าพ่อ ด้วยสีหน้าที่โกรธสุดๆ จนพ่อกลัวขึ้นมาทันที
“พ่อก็ไปถามน้องชายตัวดีของพ่อดูซิว่า เขาทำอะไรเอาไว้” เชี่ยวงง กับประโยคคำถามของลูกสาว
“อะไร พ่อไม่เข้าใจ นี่พ่อกำลังพูดถึงเรื่องของลูกอยู่นะ แล้วไปเกี่ยวอะไรกับไอ้เต๋ามัน”
“เกี่ยวซิพ่อ เกี่ยวเต็มๆ”
“แล้วมันเกี่ยวยังไง ไหนแกลองบอกพ่อมาให้ชัดๆเข้าใจง่ายๆหน่อยซิเพ็ญ”
“ก็” เพ็ญหยุด แล้วคิดว่าจะพูดหรือไม่พูดดีนะ
“พ่อก็ลองถามน้องชายตัวดีของพ่อก่อนแล้วกัน ว่าเอาใครไปนอนกกอยู่หนะตอนนี้ งานการมีไม่ทำทิ้งงานทิ้งการเพราะผู้หญิงคนเดียว” เพ็ญ พูดจบก็เอามือทุบกำแพงอย่างแรงหลายที จนพ่อบอกให้พอ
“พอ พอ พอแล้วลูก” แล้วก็เดินไปจับมือลูกสาวให้หยุด
“ไม่จริง ไอ้เต๋ามันไม่ได้เป็นคนแบบนั้น” เพ็ญ หันหน้ามาถามพ่อ ด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างดัง
“ถ้าไม่จริงแล้วเมื่อกี้เค้าวางสายทำไม รู้ไหมว่าหนูได้ยินเสียงใคร”
“แล้วเสียงใคร” พ่อถามด้วยน้ำเสียงที่ดังเช่นกัน แล้วจ้องหน้าลูก
“ก็” จะเอายังไงดี ความหึงขึ้นสมองแล้วเพ็ญ เธอลดเสียงลงพูดแบบปกติ
“จะบอกยังไงดีนะ ก็ไม่รู้แน่ว่าใคร แต่ที่รู้ๆนังนั่นมันไม่ใช่คนดีแน่นอน ก็แล้วกัน หนูบอกพ่อได้แค่นี้แหละ”
เพ็ญ โมโหจนไม่รู้จะอธิบายให้กับพ่อฟังยังไง เชี่ยวก็เริ่มมีความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีขึ้นมาแล้วเช่นกันกับน้องชายตัวเอง
----- ***** -----
“บอกมาเดี๋ยวนี้นะป๊า ใคร มันเป็นใคร บอก” งานเข้าเผด็จรอบที่สอง
“ไม่มีอะไร หลาน ก็ลูกของพี่เชี่ยวไง”
“หนูไม่เชื่อ” โบว์สติแตกขึ้นมาทันที
“ต้องเชื่อ” เผด็จ ตะโกนกลับ
“แล้วทำไมน้ำเสียงมันเป็นแบบนั้น” โบว์ตะโกนกลับอีก
“แล้วป๊าจะรู้ไหม ก็ในเมื่อป๊าอยู่กับหนูตลอด 3 วันเนี่ย” เผด็จก็พยายามอธิบาย แต่เมื่อความหึงขึ้นหน้า โบว์ไม่ฟังใดๆทั้งสิ้น
“เหมือนเมียตามผัวเลย บอกมา บอกมาเดี๋ยวนี้ เจ้าชู้ใช่ไหม ไอ้แก่”
แล้วโบว์ก็ดึงหูซ้ายเผด็จ เผด็จเจ็บ ก็เลยขับรถเสียหลักลงข้างทางทันที เผด็จ เบรคทัน รถเกือบชนต้นไม้ข้างทาง เสียงดังเอี๊ยด “ ว๊าย” แรงกระแทกทำให้เผด็จกับโบว์ หมดสติ ทั้งคู่
----- ***** -----
“ว่าไงเพ็ญ จะบอกพ่อได้รึยังว่าทำไมถึงทำพฤติกรรมแบบนี้”
“หนูขอโทษ มันลืมตัว”
“แล้วทำไมถึงลืมตัว” เบียร์เดินเข้ามาพอดี
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือค่ะ คุณพ่อ”
“ก็เจ้าเพ็ญซิ เป็นอะไรก็ไม่รู้ พ่อกำลังคุยสายอยู่กับเผด็จอยู่ จู่ๆมาจากไหนไม่รู้ คว้าโทรศัพท์ดึงไปจากมือพ่อซะเฉยๆอย่างนั้นแหละนิสัยแบบนี้พ่อไม่เคยสั่งไม่เคยสอนเลยนะ” นมแม้นเดินเข้ามาพอดีอีกคน
“ว่าไงนมแม้น ไหนช่วยตอบฉันหน่อยซิว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกับลูกสาวฉันเนี่ย ยิ่งโตขึ้น นับวันนิสัยมันยิ่งเปลี่ยนไปเอามากๆ”
“เอ้ย ไอ้เพ็ญทำไมแกถึงทำแบบนั้นหละ ฉันบอกแกเตือนแกไปแล้วไม่ใช่เหรอเมื่อคืนก็หนแล้วนะนี่ตกเย็น แกเอาอีกแล้วเหรอ ทำไมวะ แกถึงไม่ยอมจบและเข้าใจสักทีวะเพื่อน” นมแม้นเดินเข้ามาหาเพ็ญ
“คุณหนู ทำไมทำแบบนี้หละคะ ไม่น่ารักเลย”
“ก็ไม่ต้องมารักซิคะนม” เพ็ญ พูดออกไปแบบไม่คิด ยิ่งทำให้พ่อไม่สบายใจ กับลูกคนนี้
“ดูมันนะนม ดูมันพูด” เชี่ยวชี้ไป๊ร์ไปที่เพ็ญ เมื่อได้คำตอบแบบนั้น เชี่ยวเลยหัวเสียทันที จึงเดินหนีเข้าไปที่สวนกล้วยไม้ทันที
“ไม่เอาซิคะ คนดีของนม” แล้วเพ็ญ ก็นั่งลง เบียร์เดินเข้ามา
“นมจะไปทำอะไรก็ไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวทางนี้หนูจัดการเองนะ ไปก่อน”
“ฝากด้วยนะคะคุณเบียร์” สีหน้าของนมแม้น ไม่ดีเอาเลย เมื่อมองหน้าคุณหนูเจ้าอารมณ์
“ค่ะนม ปล่อยให้เป็นหน้าที่หนู รับรองเดี๋ยวจบ” แล้วนมแม้น ก็เดินเข้าครัวไปทำอาการมื้อค่ำทันที หันมาที่ตัวต้นเหตุ
“ไอ้เพ็ญ” เบียร์ พูดกับเพ็ญแบบโมโหเช่นกันเลยใส่น้ำเสียงอย่างแรง
“หันมาเดี๋ยวนี้ อย่าทำแบบนี้ ฉันไม่ใช่อาเต๋าของแกนะ” เท่านั้นแหละเพ็ญถึงหันมามองหน้าเพื่อนได้
“แล้วแกจะพูดชื่อเค้าขึ้นมาทำไม” เพ็ญ จ้องหน้าเบียร์
“แล้วทำไมฉันจะพูดไม่ได้ห๊ะ อาเต๋า อาเต๋า อาเต๋า” เพ็ญ อารมณ์เสีย ลุกเดินหนีออกไปหน้าบ้าน นั่งที่ชิงช้า เบียร์ตามออกไป
“ฉันเตือนแกแล้วใช่ไหม ให้ใจเย็นๆให้เห็นกับตาเสียก่อน แกจะมามโนไปเองคนเดียวไม่ได้”
“เมื่อกี้สดๆร้อนๆฉันได้ยินเสียงนังนั่นเต็มๆเข้ารูหูฉันนี่เลย เรียกกันด้วยว่า ที่รัก แล้วแกจะไม่ให้ฉันวีนเหรอวะไอ้เบียร์”
“เออ ถึงจะใช่ แล้วไง แล้วแกไปเดือดร้อนอะไรกับเค้าห๊ะ ไอ้เพ็ญ ตอบ” เงียบเลยคำถามนี้
“แกเป็นอะไรกะเค้า ตอบ” เงียบอีกเป็นครั้งที่สอง แต่สีหน้าไม่ดีเอาเลย
“ตอบ..แกก็ตอบไม่ได้ อาเต๋าของแก เค้าจะไปมีใครที่ไหนแล้วมันเกี่ยวอะไรกับแก แกเป็นเมียเขาเหรอไอ้เพ็ญ”
ประโยคนี้แหละ มันโดนและแทงใจเต็มๆ ที่เบียร์พูดมามันถูกหมด ไม่รู้จะตอบอะไรเพื่อน
“ก็ถ้าเป็นคนดีๆฉันก็จะไม่ว่าไม่วีนอะไรทั้งนั้น ใครที่ไหนก็ได้ แต่นี่มันเป็น” เพ็ญโมโหเดือดก็เลยหลุดปากออกมาอีกแล้ว
“ใคร แกรู้เหรอว่าผู้หญิงคนที่อยู่กับอาเต๋าหนะเป็นใคร” เอาไงดีหละคราวนี้จะพูดหรือไม่พูดดี หลุดปากออกมาแล้วนี่
“โอ๊ย..ฉันก็ยังไม่มั่นใจ แต่ฉันแน่ใจว่าต้องใช่มัน”
“ก็ใครหละ มันของแกหนะ”
“นางแมวป่า” เท่านั้นแหละ เบียร์ถึงกับตกใจ ตะลึงแล้วเงียบไปเลย
“ไอ้เพ็ญ ทำไมแกพูดแบบนั้นออกมา อย่าไปพูดแบบนี้ที่ไหนกับใครเชียวนะแก ฉันขอห้ามแกเลยเข้าใจไหม”
“ทำไมวะเบียร์ ทำไม ฉันถึงจะพูดไม่ได้”
“ก็มันจะทำให้อาเต๋าของแกถูกมองไปในทางที่ไม่ดี หาว่าไปมีอะไรกับคนร้ายหรืออยู่ฝ่ายคนร้ายนะซิ”
“ก็มันเป็นความจริงนี้ไอ้เบียร์” เพ็ญ ยังคงยืนยันด้วยความรู้สึกของเธอเพียงผู้เดียว
“อีกอย่างแกก็ยังไม่มีหลักฐานที่จะเล่นงานเค้า และที่สำคัญนะนางแมวป่า มันเป็นผู้ร้ายที่อาเต๋าเขาตามจับอยู่ไม่ใช่เหรอ”
“ใช่ ตามจับจนได้เรื่องเลยไง ไม่รู้ว่าจับกันไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว รู้ไว้ซะด้วยไอ้เบียร์” แล้วเพ็ญ ก็ลุกขึ้นเดิน
“เอ้ย แกรู้ถึงขนาดนั้น มั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอวะ ไอ้เพ็ญ เดี๋ยวมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน” เบียร์ลุกเดินตาม
“ก็ใช่นะซิ ก็เพราะแบบนี้แหละ ฉันถึงวีนแตก และฉันจะต้องพูดกับอาเต๋าให้รู้เรื่องไง”
“แล้วทำไมแกถึงมั่นใจของแกปานนั้นวะ ไหนลองบอกฉันมาซิ หยุดเดินก่อนได้ไหม”
“ก็เมื่อคืนไง” เพ็ญ หยุดเดินกะทันหัน เบียร์ชนดังโครม แล้วก็หันมาจ้องหน้าเบียร์
“โอ๊ย..จะหยุดทำไมไม่บอกนะ ว่าไง เอ้าว่ามา เมื่อคืนทำไม”
“ที่รัก อยู่ไหนคะ ประโยคนี้ ฉันได้ยินชัดเจนเข้ารูหูฉันเลยหละแก”
“แล้วแกมั่นใจได้ยังไงว่านั่นใช่เสียงของนางแมวป่า”
“ก็ฉันเห็น” แล้วเพ็ญ ก็เอามือปิดปากตัวเอง
“ไม่ทันแล้วไอ้เพ็ญ บอกมาเดี๋ยวนี้นะ ว่าแกไปรู้ไปเห็นอะไรมา บอก” เจอเพื่อนคาดคั้นเอาเข้าแล้วเพ็ญ
----- +++++ -----
ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี บรรยากาศก็เริ่มมืดลงแล้ว ถนนสายซุปเปอร์ไฮเวย์ ที่นานๆ จะมีรถผ่านไปมาสักคัน เผด็จได้สติขึ้นมาก่อนเพราะมีเข็มขัดนิรภัย แต่โบว์ไม่มี เขาค่อยๆลืมตา แล้วหันไปดูคนรัก เขาเห็นเธอหน้าฟุบอยู่กับกระจกทางซ้าย ดีนะที่มีหน้ากากช่วยรับไว้ไม่งั้นเสียโฉมแน่ แขนซ้ายกระแทกประตูอย่างแรงดีที่ล๊อกประตูไม่งั้นกระเด็นลงไปข้างนอกแน่ ส่วนขาขวาทับขาซ้ายอยู่ปลายเท้าชี้ขึ้นไปที่กระจก เผด็จจึงดึงขาโบว์ลงมาข้างล่าง
สักพัก ก็มีคนมาเคาะกระจกฝั่งเผด็จ เขาหันไปดู และค่อยๆเปิดประตูออกไป
“เป็นอะไรมากรึเปล่าครับ ผมผ่านมาเห็นรถคุณเสียหลักจอดคาต้นไม้อยู่ มีอะไรให้ช่วยไหมครับ”
“ขอบคุณมากครับ พอดีผมง่วงนอนหนะครับ คงหลับใน ขอบคุณมากเลยครับ”
“แน่นะคะ” หญิงสาวที่มาด้วยกันดูเหมือนเป็นห่วง แล้วเขาก็ชะโงกดูโบว์
“แล้วแฟนคุณหละ เป็นอะไรมากไหม”
“ขอบคุณมากเลยครับ เดี๋ยวผมดูเอง ไม่มีอะไรจริงๆ”
“งั้นเราสองคนขอตัวเลยแล้วกันนะครับ ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกได้นะครับ”
“ครับ ขอบคุณมากเลยครับ ไม่มีครับ” แล้วเผด็จ ก็ขึ้นรถแล้วเอามือเอื้อมไปจับโบว์ให้นั่งเข้าที่ตามปกติ
สักพักโบว์ค่อยๆฟื้นมีสติ รู้สึกเจ็บที่แขนซ้าย เธอเอามือซ้ายจับหัวตัวเอง พอเอาลงมาก็มีเลือดติดมือลงมา เผด็จมองไปเห็นว่าโบว์หัวแตก ก็เลยหันไปหยิบกระดาษทิชชูด้านหลังมาซับให้ โบว์สะบัดหน้าหนี เอามือซ้ายปัดมือขวาเผด็จ
“เจ็บไหม” โบว์นิ่งไม่พูดอะไร
“ไงหละ หึงหวงอะไรไม่เข้าเรื่อง แล้วเป็นไง สุดท้ายก็ต้องมาเจ็บตัว สบายใจรึยัง เกือบตายแล้วไหมหละ ดีนะที่เบรคทัน ไม่งั้นก็ต้นไม้ข้างหน้านั่นแหละคือที่หมาย” โบว์หัวหน้ามามองเผด็จ จ้องหน้าคอแข็ง แล้วก็เปิดประตูลงไปทั้งเจ็บๆนั่นแหละ
เผด็จ รีบเปิดประตูด้านตัวเองตามไป “จะไปไหนหนะ”
“ไปไหนก็ได้ ที่ไม่มีป๊า” เธองอนค่อยๆเดินพาร่างตัวเอง ลงไปข้างทาง เผด็จวิ่งไปจับแขน แล้วดึงมากอด
“ทำไมพูดแบบนั้นหละ” โบว์ยังคงเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น
“ก็ป๊า” โบว์ต่อว่าเผด็จทั้งๆที่ตัวเองผิด
“ป๊าทำไม หนูเองไม่ใช่เหรอที่เป็นคนดึงหูป๊า พอเจ็บ ป๊าก็ประคองรถไม่อยู่ มันก็เลยเสียหลักเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาจนได้”
“ก็ป๊าไม่พูดความจริง ป๊าโกหก” เสียงเริ่มอ่อย เพราะตัวเองขี้หึงจนเกินไป
“ป๊าไปโกหกอะไรหนู รู้ไหม นับวันไอ้โรคขี้หึงโดยไร้เหตุผลของหนูเนี่ย มันกำเริบขึ้นทุกวันเลย”
เผด็จมองหน้าโบว์ จ้องเข้าไปที่ดวงตาผ่านหน้ากาก “มีสติหน่อยได้ไหมป๊าขอร้อง ใช้เหตุผล ถามก่อนทำไม่ใช่ทำก่อนถาม”
“ก็ใครหละเมื่อกี้ ที่รู้ว่าหนูคือใคร พูดชื่อตรงเป๊ะ ไม่ผิดตัวขนาดนั้น”
“แล้วป๊าจะรู้ไหมว่าเขารู้หรือไม่รู้ แต่ที่แน่ๆคนนั้นคือยัยเพ็ญ ลูกพี่เชี่ยว ป๊าบอกหนูได้เท่านี้ อย่างอื่นป๊าไม่รู้จริงๆ ป๊าสาบานเลยเอ้า ป๊าก็บอกความจริงหนูไปหมดแล้ว ส่วนหนูจะเชื่อหรือไม่เชื่อใจแฟนตัวเอง ก็สุดแต่ใจหนูแล้วกัน”
พูดจบ เผด็จก็ปล่อยโบว์ทันที แล้วเขาก็เดินกลับขึ้นรถ ไปนั่งสงบสติอารมณ์ โบว์ยืนนิ่งและคิดอยู่สักพัก ก็ค่อยๆเดินกลับขึ้นรถ นั่งนิ่งปิดประตู ดึงเข็มจัดนิรภัยมาคล้องกดล๊อคประตู สักพักก็ปลดเข็มขัดนิรภัยออก หันไปมองเผด็จที่กำลังฟุบหน้ากับพวงมาลัยรถ เธอเอื้อมมือไปจับแขนซ้ายเผด็จแล้วดึงให้เขาเอนมาพิงเบาะ เธอเห็นหน้าของแฟนตัวเองเหนื่อยๆ
โบว์รู้ว่าตัวเองผิด ใจร้อนขี้หึงไม่เข้าเรื่อง จึงตัดสินใจ โยกตัวไปหอมแก้มซ้ายเผด็จ และก็พูดกระซิบที่หู
“หนูขอโทษ” เผด็จ ยังคงหลับตา
“ป๊ายกโทษให้หนูนะหนูผิดไปแล้ว ต่อไปหนูจะไม่ทำแบบนี้อีก” แล้วโบว์ก็กราบขอโทษเผด็จที่ไหล่ซ้าย
เผด็จ สตาร์ทรถ เปิดแอร์ เปิดไฟหน้ารถ แล้วก็ค่อยๆขับรถออกไป โดยที่ไม่ได้พูดอะไรกับโบว์เลยตลอดทาง
+++++ ***** +++++
ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง อัธวุฒิออกมาพบกับเนตรอัปสรตามนัด
“ตกลงนี่ตัวจริงหรือเปล่าเนี่ยถามจริง”
“ทำไมถามแบบนั้นหละคะ ผู้กำกับ” เนตรงง
“ก็วันก่อนนะซิ ผมสับสนนิดหน่อย..อย่าไปพูดถึงมันเลย”
“เนตรรู้แล้ว เจ้านายใช่ไหม”
“ใครนะ”
“ก็ผู้การนั่นแหละ เจ้านายเนตร”
“อ๋อ..เจ้านายคุณนั่นแหละ”
“แกล้งคุณใช่ไหม”
“คุณรู้”
“ถ้าคุณ ถามเนตรแบบนี้ เนตรรู้ทันทีเลย ว่าเจ้านายทำอะไร”
“แล้วทำไมคุณรู้”
“ก็เพราะ วิชาการแปลงโฉมของเจ้านาย ไม่เป็นสองรองใครในปฐพี เนตรเองก็ยังเคยโดนกับตัวเองมาแล้วเหมือนกัน”
“จริงซิ”
“จริง..แล้ววันนั้นเจ้านาย แปลงเป็นเนตรตบตาคุณใช่ไหม ถึงได้ถามแบบเมื่อกี้”
“ครับ..แล้ววันนี้นัดผมมาทำไมหละครับ ธรรมดาคุณไม่เคย ติดต่อกับผมโดยตรงเลยนอกจากเฮีย”
“ก็เพราะติดต่อเจ้านายไม่ได้นี่แหละ ถึงต้องมารบกวนคุณ พอจะรู้อะไรเกี่ยวกับเจ้านายบ้างไหม”
“ผมก็ติดต่อแกไม่ได้เลย 2-3 วันเนี่ย ไม่รู้ว่าแกหายไปไหน ไปทำอะไร กับใคร ผมไม่รู้เลย”
“แล้วเรื่องเครื่องเพชรไปถึงไหนแล้วคะ”
“ก็พอจะมีเบาะแสอยู่บ้าง” เสียงโทรศัพท์เข้ามาพอดี “ขอตัวแป๊บนะครับ..อัธวุฒิครับ”
“จ่าสนกับจ่าหมู อยากพบผู้กำกับหนะครับ มารอที่ศูนย์นานแล้ว ผู้กำกับว่างไหมครับ” จ่ามิ่งโทรรายงาน
“อืม..” แล้วหันไปมองเนตรอัปสร
“ตามสบายเลย เนตรไม่มีอะไรที่รีบด่วน”
“งั้นเดี๋ยวผมเข้าไป บอกให้สองคนนั้นรอด้วย กำลังอยากเจอพอดี” พอวางโทรศัพท์ ก็ขอโทษเนตรทันที
“สงสัยผมคงต้องไปแล้วหละ ต้องขอโทษคุณเนตรด้วย”
>>>>>>>>>> ********** <<<<<<<<<<
โปรดติดตามตอนต่อไปใน ตอนที่ 12 .. “ องค์กรลับ ”
ตอนที่ 11 .. “ ลมหายใจของนักฆ่า ”
นิยาย แนว อาชญากรรม และนักสืบ (Detective and Crime Novel) / สืบสวนสอบสวน (Suspense) / Action
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 584
แสดงความคิดเห็น