บทที่ 110: ช่วยเหลือ

-A A +A

บทที่ 110: ช่วยเหลือ

 “เจ้ามาที่นี่เพื่อมาช่วยพวกเราโดยเฉพาะหรือ?” ดวงตาของมู่ไป๋ไป่เป็นประกาย ก่อนที่เธอจะย่อตัวลงและเอื้อมมือไปขยี้หัวหมาป่าด้วยความมันเขี้ยว “ช่างเป็นหมาป่าที่นิสัยดีอะไรเช่นนี้” 

หมาป่าสีเทาหรี่ตาลงในขณะที่หัวของมันถูกนวด แล้วมันก็ตอบโดยการแลบลิ้นออกมาว่า “นั่นเป็นสิ่งที่ข้าควรทำแล้ว” 

 “ชีวิตของข้าได้ท่านจ้าวอสูรช่วยเอาไว้ ตอนนี้ยามที่ท่านจ้าวอสูรมีปัญหา ข้าย่อมอยากจะช่วยเหลือท่านเป็นธรรมดา” 

เด็กหญิงพยักหน้าพลางเอ่ยปากชมว่า “เจ้าเป็นสัตว์ที่ซื่อสัตย์มาก แต่ถ้าเจ้าลงเขาไปทั้งแบบนี้ เจ้าอาจจะทำให้ผู้คนในเมืองหลวงหวาดกลัวได้” 

 “ท่านจ้าวอสูรไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่โจมตีมนุษย์” หมาป่าตัวโตคิดว่าเธอกำลังเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ มันจึงเอ่ยปากสัญญาอย่างจริงจังทันทีว่า “ตราบใดที่มนุษย์ไม่ทำร้ายข้าก่อน ข้าก็จะไม่โจมตีมนุษย์!” 

 “นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะบอก” มู่ไป๋ไป่โบกมือแล้วหันกลับไปกระซิบบางอย่างกับสหายตัวน้อย หลังจากนั้นไม่นาน หลัวเซียวเซียวก็กลับมาพร้อมกับเชือกเส้นหนึ่ง

จากนั้นคนตัวเล็กก็ผูกปลายเชือกด้านหนึ่งไว้ที่คอของหมาป่าสีเทา และยื่นปลายอีกด้านหนึ่งให้กับจื่อเฟิง

 “เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ถ้าเราถือเชือกเอาไว้ก็จะไม่มีใครหวาดกลัวเจ้านี่” มู่ไป๋ไป่กล่าวพลางปัดมือ “ถ้ามีใครถาม เราก็เพียงแค่ยืนยันว่านี่เป็นสัตว์เลี้ยงของครอบครัวเรา” 

หมาป่าสีเทามีขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าสุนัขเท่าไหร่นัก แต่ขนของมันมีสีเข้มกว่า ดังนั้นมันจึงพอจะปลอมตัวเป็นสุนัขได้บ้าง

 “เป็นอย่างไร? เจ้าปรับตัวเข้ากับมันได้หรือยัง?” เด็กหญิงกลัวว่าเจ้าหมาป่าจะไม่สบายตัว เธอจึงช่วยคลายเชือกบริเวณลำคอมันออกเล็กน้อย 

หมาป่าสีเทาส่ายหัว “ข้าสบายตัวแล้ว” 

ดังนั้นตอนที่อวี้เซิ่งเดินออกมาจากวัดฮู่กั๋ว เขาก็เห็นเชือกโยงอยู่กับสัตว์ตัวหนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ มู่ไป๋ไป่ซึ่งเขาไม่สามารถบอกได้ว่าสัตว์ตัวนั้นเป็นสุนัขหรือหมาป่า 

 “เจ้านั่นคืออะไรน่ะ?” ชายหนุ่มเลิกคิ้วพร้อมกับเอื้อมมือออกไปแตะหัวหมาป่าสีเทา

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่หมาป่าจะทันได้ตอบสนองอะไร จื่อเฟิงก็ไปยืนขวางอยู่ตรงหน้ามันพร้อมกับแยกเขี้ยว

อวี้เซิ่งแค่นเสียงในลำคอ “เจ้าเด็กเวร” 

 “นี่คือเจ้าตัวโตที่ข้าเก็บมาเลี้ยง” มู่ไป๋ไป่โกหกหน้าซื่อตาใส “ข้าคิดว่าจะพามันลงเขาไปด้วย บางทีมันอาจจะช่วยเราได้” 

 “เจ้าตัวโต?” นักฆ่าหนุ่มเดินวนรอบสัตว์เลี้ยงของเด็กหญิง ก่อนที่ดวงตาของเขาจะไปหยุดที่หางซึ่งห้อยอยู่ด้านหลัง “องค์หญิงหก ข้าไม่ได้ตาบอด” 

 “หา?” เด็กน้อยแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ “ทำไมท่านถึงต้องตาบอดล่ะ เรารีบไปกันเถอะ มิฉะนั้นเราจะกลับมาไม่ทันเวลา” 

หลังจากพูดจบเธอก็เอื้อมมือไปหาอวี้เซิ่งเพื่อส่งสัญญาณให้เขาอุ้มเธอขึ้นไป

 “...” 

หลังจากที่เขาเคยอุ้มเจ้าตัวเล็กนี่กระโดดโลดเต้นอยู่ในวังเพียง 2 ครั้ง แต่นางก็เริ่มติดเป็นนิสัยไปเสียแล้วหรือ?

 “ท่านมองข้าทำไม?” มู่ไป๋ไป่ที่เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมขยับสักทีจึงพูดเร่งเขา “ข้าทั้งเตี้ยและขาสั้น ข้าไม่สามารถเดินทางเร็ว ๆ ได้ ท่านรีบอุ้มข้าขึ้นไปเร็วเข้า” 

 “จื่อเฟิง ท่านอุ้มเซียวเซียวไว้บนหลังของท่าน” 

 “แล้วเรามาแข่งกันว่าใครจะไปถึงตีนเขาก่อนกัน จะเป็นข้ากับอวี้เซิ่ง หรือท่านกับเซียวเซียว” 

ก่อนที่เธอจะทันได้พูดจบประโยค จื่อเฟิงก็คว้าตัวหลัวเซียวเซียวขึ้นมาไว้บนหลังและหายไปจากที่ที่เคยยืนอยู่พร้อมกับเจ้าหมาป่า 

 “องค์หญิงหก ในเมื่อนี่เป็นการแข่งขัน เราจะต้องมีรางวัลสักหน่อย” อวี้เซิ่งเองก็อุ้มเด็กน้อยขึ้นมาบ้าง “ข้าอยากจะรู้ว่าองค์หญิงหกจะตกรางวัลเป็นอะไร?” 

 “...” มุมปากมู่ไป๋ไป่ถึงกับกระตุกเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย “ข้าเป็นเพียงแค่เด็ก 4 ขวบ มันไม่น่าอายไปหน่อยหรือที่ท่านจะมาขอรับรางวัลจากเด็กอย่างข้า?” 

 “แม้ว่าองค์หญิงหกจะเป็นเด็ก แต่พระองค์ก็ไม่ใช่เด็กธรรมดาทั่วไป” อวี้เซิ่งกล่าวขณะกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้

เขาเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว แต่กลับแผ่วเบามากจนมู่ไป๋ไป่แทบไม่รับรู้ถึงแรงกระแทก

เพียงแค่ก้าวไม่กี่ก้าว เขาก็สามารถตามจื่อเฟิงทัน

 “ไร้สาระ” เด็กหญิงหัวเราะกลบเกลื่อน ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องพูด “อวี้เซิ่ง ท่านคิดอย่างไรกับคดีเด็กหายในเมืองหลวง?” 

 “ในยุทธภพมีข่าวคราวอะไรบ้างหรือไม่?” 

 “ก็พอจะมีข่าวลืออยู่บ้าง แต่ข้าไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริง” นักฆ่าหนุ่มกระตุกมุมริมฝีปาก “อีกไม่นานองค์หญิงหกจะค้นพบความจริงได้ด้วยตัวเอง” 

 “เช่นนั้นเรามาคุยเรื่องนี้กันดีกว่า” มู่ไป๋ไป่รู้สึกว่าการว่างงานคือความเกียจคร้าน ดังนั้นเธอจึงลองคุยกับอวี้เซิ่งและบางทีเขาอาจจะพบเบาะแสบางอย่าง “อย่าลืมสิว่านี่เป็นหน้าที่ของท่านที่ต้องช่วยข้าตามหาใครบางคน เมื่อวานท่านยอมรับเงินไปแล้วไม่ใช่หรือ?” 

 “...” ชายหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับว่า “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่เพียงปีเดียวเท่านั้น ในปีก่อน ๆ ข้าเองก็เคยได้ยินข่าวลือมาบ้าง” 

 “บ้างก็บอกว่าเด็กคนพวกนั้นถูกกลุ่มคนลึกลับลักพาตัวไปและถูกฝึกฝนให้เป็นนักฆ่า” 

 “บ้างก็พูดกันว่าเป็นเทพภูเขาที่ลงเขามาเพื่อเลือกคนรับใช้” 

 “เทพภูเขามาเลือกคนรับใช้?” มู่ไป๋ไป่อดหัวเราะไม่ได้ “ข่าวนี้ช่างไร้สาระจริง ๆ เทพภูเขาองค์ไหนไม่น่าเชื่อถือถึงขั้นจะต้องลงมาเลือกเด็กไปเป็นคนรับใช้โดยไม่ได้ขออนุญาตพ่อแม่ของเด็กด้วยซ้ำ” 

 “ข้าคิดว่าข่าวแรกยังดูน่าเชื่อถือเสียมากกว่า” 

 “อวี้เซิ่ง ท่านเคยได้ยินชื่อของกลุ่มคนลึกลับนั่นหรือไม่? ในเมื่อพวกเขาล้วนเป็นนักฆ่าเช่นเดียวกับท่าน แล้วท่านรู้จักกับคนพวกนั้นหรือไม่?” 

ในขณะนี้อวี้เซิ่งได้กระโดดลงจากต้นไม้ไปที่พื้น

ทันทีที่จื่อเฟิงเห็นร่างหนึ่งปรากฏตรงหน้า มันก็ทำให้เขาสะดุ้งโหยง เมื่อเห็นได้ชัดเจนว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนสี

 “น้องชาย เจ้าแพ้แล้ว” นักฆ่าหนุ่มยิ้มพลางขยิบตาให้กับเด็กหนุ่ม จากนั้นก็หันหลังมุ่งหน้าลงจากเขาต่อไป

นั่นทำให้เลือดนักสู้ในกายของจื่อเฟิงถูกปลุกขึ้นมา เขาตะโกนเสียงดังพร้อมกับไล่ตามอีกฝ่ายไปอย่างบ้าคลั่ง

 “ข้ารู้จักคนหนึ่ง” อวี้เซิ่งตอบคำถามของมู่ไป๋ไป่เบา ๆ

 “ใครหรือ?” เมื่อเด็กหญิงเห็นว่าเขาหยุดพูดไปเสียดื้อ ๆ เธอก็เร่งเร้าให้เขาตอบ “ท่านรีบพูดมาสิ” 

 “เราจะพูดถึงเรื่องนี้ในครั้งต่อไป” อวี้เซิ่งหยุดลงกะทันหัน “องค์หญิงหกเพียงแต่ต้องรู้ว่าเรื่องนี้มันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคนักฆ่า” 

มู่ไป๋ไป่หรี่ตาลงอย่างสงสัย “หรือว่าท่านเป็นหัวหน้าของพรรคนักฆ่า มิฉะนั้นท่านจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับคนกลุ่มนั้น” 

ยิ่งมู่ไป๋ไป่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรู้สึกว่ามันมีเหตุผลมากขึ้นเท่านั้น

 “...” อวี้เซิ่งเหลือบมองเจ้าตัวเล็กด้วยรอยยิ้มมุมปาก “ดูเหมือนว่าองค์หญิงหกจะจินตนาการเก่งเหลือเกิน” 

แม้ว่านางจะเดาผิดไป แต่ความจริงก็ไม่ได้แตกต่างไปจากนั้นสักเท่าไหร่

แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ตอบอะไรออกไป หลังจากก้าวไปได้ไม่กี่ก้าว พวกเขาก็มาหยุดยืนอยู่นอกประตูเมืองที่ตั้งอยู่ตีนเขาแล้ว

 “ข้าชนะแล้ว” อวี้เซิ่งวางคนตัวเล็กลงกับพื้นแล้วยื่นมือออกมาอีกครั้ง “องค์หญิงหก โปรดประทานรางวัลให้ข้าด้วย” 

มู่ไป๋ไป่กัดฟันและหยิบตั๋วแลกเงินออกมาจากอกเสื้อด้วยท่าทางปั้นปึ่งก่อนจะมอบให้เขา

เมื่อเธอเห็นว่าชายหนุ่มรับเงินไปอย่างมีความสุข เธอก็อดไม่ได้ที่จะกัดฟันพูด “ท่านเป็นผู้ใหญ่แล้ว ทำไมถึงได้กล้ารับเงินจากเด็กอย่างข้าอีก!” 

อวี้เซิ่งคนนี้นิสัยแย่กว่าเธออีก

นับตั้งแต่ที่เขาปรากฏตัวเมื่อคืนนี้ เขาก็สูบเงินของเธอไปได้มหาศาลแล้ว!

ยิ่งมู่ไป๋ไป่คิดถึงเรื่องนี้ เธอก็ยิ่งรู้สึกเศร้าใจ

 “นี่เป็นการแข่งขันที่องค์หญิงหกเสนอขึ้นมาด้วยตนเอง” อวี้เซิ่งกล่าวพลางโบกตั๋วแลกเงินในมือ “มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ข้าจะได้รับเงินจำนวนนี้ไม่ใช่หรือ?” 

ขณะนี้จื่อเฟิงกับหลัวเซียวเซียวเพิ่งตามมาถึง เมื่อเด็กหนุ่มเห็นว่าชายคนนี้มาถึงก่อน เขาก็ขมวดคิ้วก่อนจะหันไปด้านข้างแล้วนั่งลง

 “ไอ้หนู เจ้าไม่เคยฝึกวรยุทธมาก่อน ไม่มีทางที่เจ้าจะตามฝีเท้าข้าทันหรอก ทำได้ถึงเพียงนี้ก็ดีมากแล้ว” 

 “เจ้าไม่คิดที่จะร่ำเรียนวรยุทธจริง ๆ หรือ?” 

เมื่อมู่ไป๋ไป่ได้ยินว่าอวี้เซิ่งกำลังพูดหลอกล่อจื่อเฟิงอีกครั้ง เธอก็เดินเข้าไปหาเด็กหนุ่มและขวางเขาเอาไว้ด้านหลัง ในขณะที่เธอรู้สึกราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่าเกรงขาม “ท่านอย่าได้กดดันเขามากเกินไป ท่านเอาเงินข้าไปแล้ว ข้าไม่มีวันให้ท่านลักพาตัวคนของข้าไปอีกแน่!” 

จื่อเฟิงที่อยู่ด้านหลังเด็กหญิงก็พยักหน้าแล้วพูดสำทับว่า “ไม่มีทาง!” 

 

--------------------------------------------------

พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: เวลา 2 คนนี้คุยกันแล้วตลกดี ผู่ใหญ่ประสาอะไรไถเงินจากเด็ก 555555

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.