บทที่ 1 ประกาศอิสรภาพ

-A A +A

บทที่ 1 ประกาศอิสรภาพ

พุทธศักราช 2127 เดือน 6 ปีวอก

ใต้ร่มฟ้าของเมืองแครง พระนเรศวรประกาศอิสรภาพต่อหน้าภิกษุสงฆ์และชาวมอญ ฝูงชนที่รวมตัวกันอย่างแน่นหนาเงียบสงบลงในทันทีที่พระองค์ตรัสเสียงดังก้อง  

"ข้าแต่เทพเทวดาทั้งหลาย จงเป็นทิพยาน ด้วยพระเจ้าหงสาวดีมิได้ตั้งอยู่ในสุจริตมิตรภาพขัตติยาประเพณี ประพฤติพาลทุจริตคิดจะทำภยันอันตรายแก่เรา นับจากนี้ไปเบื้องหน้า กรุงพระนครศรีอยุธยา กับหงสาวดี มิได้เป็นปฐพีแผ่นเดียวกัน ขาดกันตั้งแต่วันนี้ชั่วกัลปาวสาน"

พระนเรศวรหลั่งทักษิโณทกลงสู่ผืนดิน เป็นการประกาศอิสรภาพจากการปกครองของหงสาวดี เสียงโห่ร้องยินดีดังก้องทั่วทั้งเมือง คนไทยที่เคยถูกจับเป็นเชลยต่างมีความหวังที่จะแสวงหาชีวิตใหม่

หลังจากนั้น พระนเรศวรทรงนำชาวไทยข้ามแม่น้ำสะโตง มุ่งหน้ากลับสู่บ้านเกิดเมืองนอน แต่อย่างไรก็ตาม ทหารพม่าก็ไม่ยอมละทิ้งการตามล่า พวกเขาตามมาติด ๆ ถึงฝั่งแม่น้ำ พระนเรศวรจึงใช้พระแสงปืนต้นยิงข้ามแม่น้ำสะโตง กระสุนลอยข้ามน่านน้ำ สังหารสุรกรรมา ณ เบื้องหน้าช้างศึกอย่างแม่นยำ เมื่อศัตรูถูกสังหาร พระองค์นำกองทัพไทยกลับสู่อยุธยาได้อย่างสมศักดิ์ศรี

ณ ตลาดของเมืองกาญจนบุรี ยามนี้ชาวบ้านทั้งหลายต่างโจทก์จันทร์ในกฤษฎาอภินิหารของพระนเรศวรที่ทรงพระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตงได้อย่างเหลือเชื่อ และข่าวที่พระนเรศวรประกาศอิสรภาพในยามนี้เป็นที่สนใจของผู้คน พวกชายหนุ่มทั้งหลายที่มีจิตใจรักชาติก็ฮึกเหิมใจ เพราะพวกเขามีใจรักชาติกันแทบทุกตัวคน เมื่อพระนเรศวรประกาศอิสรภาพ พระองค์จึงรับสมัครทหารไม่จำกัดว่าจะเป็นไพร่หรือผู้ดี หากผู้ใดมีฝีมือแล้วพระองค์ก็จะชุบเลี้ยงให้มียศฐาบรรดาศักดิ์ตามแต่สมควร

ในร้านขายสุราอาหารมีชายฉกรรจ์หลายคนที่นั่งดื่มกินกันอยู่ พวกเขาหลายคนต่างจับคู่ปรึกษาหารือกันเรื่องจะไปเป็นทหารที่กรุงศรีอยุธยา แต่บางคนก็เอาแต่ดื่มสุราหาสนใจสิ่งอื่นไม่

"ถึงยังไงเราก็หลีกเลี่ยงสงครามครั้งนี้มิได้อยู่แล้ว" ชายฉกรรจ์คนหนึ่งพูด

"ถึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ข้าก็ไม่กลัวหรอก" ชายอีกคนพูดบ้าง

"แต่บ้านเมืองจะวุ่นวายนะ" ชายฉกรรจ์คนแรกพูดอีก

"ถ้าเจ้ากลัวก็หนีไปซะ ข้าจะสู้เพื่อแผ่นดินของข้า"

"ไม่หรอก ข้าไม่เคยกลัวพวกตองอูแม้แต่น้อย ข้าเพียงไม่ต้องการให้บ้านเมืองเกิดสงครามเท่านั้น"

ชายฉกรรจ์ทั้งสองยังสนทนากันเรื่อยๆ โดยที่ไม่ได้สนใจชายหนุ่มด้านหลัง ที่นั่งฟังอย่างตื่นใจ คำว่าเป็นทหารรักษาบ้านเมืองทำให้เขาตื่นใจแท้ และได้รู้ว่าไทยเป็นอิสระจากต่างชาติแล้วเขาก็ดีใจขีดสุด แทบจะอยากเดินทางไปสมัครเป็นทหารเสียเดี๋ยวนั้น

"ไอ้สิงห์ ข้าได้ยินว่าเจ้าฟ้าวังหน้ารับสมัครชายฉกรรจ์ไปเป็นทหาร เอ็งสนใจหรือเปล่า" ชายฉกรรจ์คนแรกถามเพื่อน

"ก็น่าสนใจเหมือนกันนะไอ้เสือ"

"งั้นพรุ่งนี้เราจะเดินทางกันเลย" เสือสรุปง่ายๆ

"พี่ชาย" เสียงชายหนุ่มที่เรียกทางด้านหลัง ทำให้ทั้งสองหันไปมอง

"เอ็งมีอะไรกับพวกข้าหรือไอ้หนุ่ม" สิงห์ถามขึ้น

ชายหนุ่มผู้นั้นมีรูปร่างสง่างาม กล้ามเนื้อเป็นมัดๆสมชายชาตรี อายุประมาน 19 ปี ใบหน้างดงามภายใต้หนวดเคราเขียวครึ้ม แขนทั้งสองข้างล่ำสันแข็งแรงบ่งบอกว่าผ่านการต่อสู้มาหลายครั้ง ดวงตาคมสีเหล็กมีแววความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวและเฉียบขาดอยู่ในที เบื้องหลังมีห่อผ้าที่บรรจุดาบเอาไว้ เขาไม่ยอมให้ห่างตัว ชายหนุ่มผู้นั้นยิ้มให้ทั้งสอง แล้วกล่าวขึ้นว่า "ข้าอยากไปเป็นทหารกับพวกพี่ด้วย พวกพี่จะรังเกียจหรือเปล่า"

ทั้งสองหันมามองกัน แล้วเสือเป็นคนตั้งคำถาม "เจ้าพูดจริงหรือ"

ชายหนุ่มผู้นั้นพยักหน้า ก่อนที่จะลุกขึ้นมายืนตรงหน้าทั้งสอง พร้อมกล่าวแนะนำตัวว่า "ข้ามีนามว่ากายแก้ว เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ฤทธิ์ทีแห่งปากน้ำโพ"

สิงห์พยักหน้าก่อนถามว่า "แล้วเอ็งทำไมถึงมาอยู่ที่เมืองกาญแห่งนี้ได้ล่ะ"

"หลังจากข้าเรียนวิชาอาวุธและวิชาอาคมจนจบแล้ว ข้าก็ออกท่องเที่ยวเพื่อหาประสบการณ์ชีวิตจนมาพบกับพวกพี่ชายนี่แหละ"

"เอ็งอายุเท่าไหร่ พวกข้าจะได้เรียกถูก" สิงห์ถาม

"เพิ่งจะ 19 เองพี่ชาย" ชายหนุ่มตอบสั้นๆ

"งั้นเอ็งก็เป็นน้องพวกข้า พวกข้าเบญจเพสปีนี้" เสือพูด

"เราจะออกเดินทางกันวันไหนพี่ชาย" กายแก้วถามทั้งสองอย่างร้อนใจ

"พรุ่งนี้ เอ็งมารอพวกข้าที่นี่ เดี๋ยวพวกข้าจะมารับ" เสือพูด

สิงห์และเสือออกไปจากร้านเหล้าแห่งนั้นได้นานมากแล้ว แต่ชายหนุ่มยังนั่งนิ่งไม่ยอมไปไหน เขาคิดที่จะเป็นทหารมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็ไม่มีโอกาสสักที

ท่านพ่อขอรับ ลูกจะแก้แค้นพวกตองอูให้ท่านพ่อให้จงได้ ชายหนุ่มคิดในใจ

ย้อนกลับไปในช่วงที่กรุงศรีอโยธยาตกเป็นเมืองขึ้นของพระเจ้าบุเรงนองสิบทิศ ในครั้งนั้นบันดาลขุนนางต่างสังเวยชีวิตให้กับสงครามมากมาย รวมทั้งขุนแสนศึกพ่ายบิดาของกายแก้วด้วย ถ้าครั้งนั้นเมืองพิษณุโลกสองแควกับอโยธยาสามัคคีกัน ไหนเลยจะเสียเอกราชให้กับหงสาวดี ในช่วงที่เสียเอกราชกายแก้วยังเด็กมาก เขายังรู้สึกเสียดายที่ตนเองเกิดช้าไป หากเกิดในสมัยนันเขาก็จะสู้ตายหน้าประตูเมืองเยี่ยงพระมหาเทพ ที่ต่อสู้กับพม่าจนลมหายใจสุดท้าย ชายหนุ่มอยู่ในภวังค์นานมาก จนกระทั่งได้ยินเสียงเอะอะดังขึ้น เขาจึงตั้งใจฟังอยู่เงียบๆ

"น้องชาย เจ้ามันดูอ้อนแอ้นเหมือนผู้หญิง, ดูผิวพรรณก็นุ่มดี ขอข้าจับทีเถอะว่ะ" เสียงขี้เมาดังอยู่ใกล้ๆชายหนุ่ม

"อย่าเข้ามานะ!" สำเนียงไม่แตกต่างกับสตรีออกคำสั่งกับชายขี้เมาเหล่านั้นอย่างตกใจ

กายแก้วจำต้องหันกลับไปมองเสียงที่อยู่เบื้องหลัง ก็พบว่ามีชายร่างใหญ่ถึงสองคน กำลังลวนลามเด็กหนุ่มคนนั้น ที่มีรูปร่างคล้ายผู้หญิง จึงลุกขึ้นเดินไปอยู่เบื้องหน้าชายฉกรรจ์ 2 คน ก่อนพูดเป็นเชิงขอร้องว่า "ข้าขอเถอะพี่ชาย,, ,, อย่ารังแกคนที่อ่อนแอกว่าเลย"

"เอ็งยุ่งอะไรด้วยวะไอ้หนุ่ม" ชายฉกรรจ์ 1 ใน 2 ถามขึ้น

"อันที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรของข้าหรอก เพียงแต่ข้าทนรำคาญไม่ได้ก็แค่นั้น" เขาตอบน้ำเสียงดุดัน

"เอ็งอยากเจ็บตัวหรือไงวะ" ชายฉกรรจ์อีกคนถามขึ้น

กายแก้วยิ้มแล้วพูดว่า "พวกพี่ชายก็เมาแล้ว กลับบ้านซะเถอะ"

"ไอ้หนุ่ม เอ็งวอนส้นตีนเสียแล้ว" พวกมันพูดด้วยความโกรธ พร้อมชักมีดออกมา แล้วกระโดดแทงชายหนุ่มทันที กายแก้วหลบ ทำให้ทั้งสองเสียหลักถลาไปเบื้องหน้า แต่ก็ตั้งตัวได้อย่างรวดเร็ว

ทั้งสองกระโจนเข้ามาอีก กายแก้วจึงต้องถีบชายที่อยู่ขวามือกระเด็นออกไปก่อน ชายผู้นั้นล้มอย่างไม่เป็นท่า แต่ไม่ยอมให้มีดหลุดออกจากมือเด็ดขาดชายฉกรรจ์อีกคนหลังจากแทงพลาดก็เข้ามาแทงอีก กายแก้วจำใจต้องชักกริชออกมาต่อสู้กับชายฉกรรจ์ผู้นั้น ขณะที่ทั้งสองกำลังต่อสู้กกันอย่างดุเดือด ชายที่ล้มลงไปแล้วก็ลุกขึ้นมาได้ มันเดินย่องไปทางเบื้องหลังของชายหนุ่ม แล้วเนื้อมีดขึ้นสุดแขน

"ระวัง!" เสียงแหลมเล็กดังขึ้น แต่ทุกอย่างมันเหมือนจะสายไปเสียแล้ว เพราะมีดชายฉกรรจ์ผู้นั้นแทงกลางหลังกายแก้วอย่างจัง

"ว้าย!" เสียงหวีดร้องของพวกแม่ค้าที่อยู่ใกล้ๆดังระงม ทุกคนคิดว่าชายหนุ่มต้องเสร็จแน่ๆ แตมีดเล่มนั้นก็ต้องเด้งออกมาจากเนื้อของชายหนุ่ม มิได้ทำอันตรายเขาแม้แต่น้อย สร้างความตื่นเต้นและประหลาดใจให้แก่ทุกคนที่พบเห็นยิ่งนัก

"เฮ้ย เอ็งเล่นของด้วยหรอวะ มีดข้าทำกระไรมิได้เลย" กายแก้วหันไปมองคนที่รอบทำร้ายตนนิดนึง แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร เพราะเขากำลังต่อสู้ติดพันกับชายฉกรรจ์อีกคน

เสียงขี้เมาคนเดิมพูดขึ้นอีกว่า "เอ็งเล่นของหรอ งั้นลองนี่ดูหน่อยเป็นไง"

ชายฉกรรจ์คนเดิมไปหยิบไม้ตะพดมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ซึ่งตอนนี้กำลังจะใช้ตีหัวชายหนุ่ม ไม้ตะพดในมือของชายผู้นั้นฟาดลงมาจุดหมายคือกลางหัวของเขา กายแก้วก้มตัวลงต่ำ ก่อนที่จะพุ่งตัวชนชายผู้นั้นอย่างแรง ชายคนนั้นล้มลงกับพื้นอย่างไม่เป็นท่าอีกครั้ง แต่ไม่ยอมให้ไม้ตะพดหลุดจากมือ

กายแก้วไม่อยากมีเรื่องอีก แต่เขาจะหนีไปตามลำพังก็ไม่ได้ จึงลากเด็กหนุ่มคนที่เป็นสาเหตุไปด้วย ร่างของเด็กหนุ่มที่อ้อนแอ้นอรชรเหมือนผู้หญิงติดมือกายแก้วไปอย่างง่ายดาย ชายหนุ่มวิ่งอย่างรวดเร็วแล้วมาหยุดที่ท่าน้ำ แล้วนั่งลงด้วยอาการเหนื่อยหอบ พิจารณาเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าด้วยความสนใจ เด็กหนุ่มผู้นั้นมีผิวที่ขาวนวลเหมือนผู้หญิง ดวงตาสีนิลงดงาม เส้นผมดำเหมือนขนกาน้ำยาวถึงไหล่ถูกปักไว้เรียบร้อย ทำให้เขารำพึงในใจว่า

หากมีคนบอกว่าไอ้หนุ่มคนนี้เป็นผู้หญิงกูก็คงเชื่อ ตั้งแต่กูเกิดมาจนป่านนี้ก็เพิ่งเคยเห็นผู้ชายที่งดงามเหมือนผู้หญิง, หากกูสามารถเปลี่ยนให้มันเป็นผู้หญิงได้ก็จะไม่ลังเลเลย

"บ้านของเอ็งอยู่ที่ไหน ข้าจะได้ไปส่ง" กายแก้วเอ่ยเป็นคำแรกกับชายหนุ่มแปลกหน้า

หนุ่มน้อยคนนั้นทำหน้าเศร้า ก่อนตอบเขาด้วยน้ำเสียงเครือสะท้าน "บ้านข้าถูกโจรปล้น คนในบ้านของข้าตายหมด เหลือข้ารอดแค่คนเดียว"

"ไหน เจ้าลองเล่าเรื่องราวให้ข้าฟังหน่อยสิ มันเกิดอะไรขึ้น"

"ไอ้เสือบุก" เสียงหัวหน้าโจรสั่งกึกก้อง พร้อมกับเสียงโห่ของสมุนโจรดังลั่น

พวกโจรบุกเข้ามาในบ้าน ฆ่าคนที่ขวางหน้าอย่างอำมหิต เสียงหวีดร้องของผู้หญิงและเสียงดาบปะทะกันดังสนั่นยามรัตติกาล อัคคีแผดเผาบ้านเรือนแถวนั้นพังพินาศไปหลายหลัง

"รีบหนีไปเร็วลูก" บิดาสั่งลูกเสียงดัง ยื่นชุดผู้ชายให้ กล่าวสืบไปว่า

"ใส่ชุดของพ่อ แล้วเอ็งจะปลอดภัย" พอสั่งความจบ จึงผลักลูกออกหน้าต่างไป

พวกโจรบุกเข้ามาภายในห้องแล้วกวาดเอาทรัพย์สินเงินทองไปจนหมด นายเพิ่มเห็นดังนั้นก็เข้าฟาดฟันพวกโจรด้วยดาบ แต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ในที่สุดเขาก็โดนอาวุธตัดหัวขาดตาย

เด็กหนุ่มเล่าเรื่องราวจบลง ก็อดน้ำตาไหลไม่ได้ แต่สู้มานะปาดน้ำตาทิ้งเสีย "เรื่องทั้งหมดก็มีแค่นี้แหละ"

"แล้วเจ้าหนีรอดมาได้ยังไง" กายแก้วสงสัย

"บ้านข้ามีป่าล้อมรอบ แล้วข้าก็ชำนาญทางบริเวณนั้น จึงหนีมาได้"

"แล้วเจ้าจะทำยังไงต่อไป ในเมื่อเจ้าก็ไม่มีใครแล้ว"

"ข้าจะท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ ไม่มีจุดหมายอะไรหรอก"

"งั้นก็เดินทางไปกับข้าสิ" กายแก้วชักชวน

"ท่านจะไปแห่งใด" เด็กหนุ่มถาม

"ข้าจะไปอยุธยา"

"งั้นข้าตกลง จะไปกับท่าน" เด็กหนุ่มตกลงง่ายๆ

"เจ้าชื่ออันใด" กายแก้วถาม

"ข้าชื่อเกตุ แล้วท่านล่ะ"

"ข้ามีนามว่ากายแก้ว"

หลังจากทำความรู้จักกันแล้ว จึงพากันเดินไปยังศาลาที่พัก คืนนี้ต้องอาศัยหลับนอน ถึงจะดูโล่งไปบ้าง แต่ก็ยังดีกว่านอนกลางดินกินกลางทรายหลายเท่านัก

บนศาลานั้นไม่มีใครมาอยู่ จึงถือว่าเป็นโชคดีของทั้งสอง ที่จะได้ไม่ต้องนอนรวมกับผู้ใด กายแก้วมานั่งอยู่มุมหนึ่งของศาลา เกิดความสงสัยในตัวของเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นอย่างมาก แต่ก็มิกล้าถาม เพราะเกรงว่ามันจะเคืองเอา

รัตติกาลมาเยือน กายแก้วนั่งอ่านตำราพิชัยยุทธอย่างสงบ ในตำรานั้นมีอุบายสงครามมากมาย และมีข้อความบอกตอนท้ายว่า ทุกอย่างจะสำเร็จได้ด้วยความสามัคคี หากไม่มีความสามัคคีงานก็จะไม่สำเร็จ บางครั้งอาจทำให้ตัวเราและหมู่คณะถึงแก่พินาศไปเลย ฉะนั้นก็จงสามัคคีกันเถิด

"เพราะคนสยามไม่สามัคคีกัน กรุงศรีอยุธยาจึงพ่ายแพ้ และตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า น่าอดสูใจนัก" เขารำพึงแถวเบา คำบอกเล่าของอาจารที่รู้เห็นเหตุการณ์ในครั้งนั้นแว่วเข้ามาในหู

เมื่อปีพุทธศักราช 2106 พระเจ้าบุเรงนองยกทัพมาตีอโยธยาอีกครั้ง โดยเข้าตีหัวเมืองฝ่ายเหนือ ไม่นานก็สามารถยึดหัวเมืองฝ่ายเหนือได้ แต่ยังเหลือเมืองพิษณุโลกสองแควที่พระมหาธรรมราชาปกครองอยู่

พระมหาธรรมราชาได้ส่งคนไปขอความช่วยเหลือจากอโยธยา แต่ทางเมืองหลวงไม่ยอมส่งคนมาช่วย อ้างเหตุผลว่า จะเอากำลังทหารไว้ป้องกันพระนคร

พระองค์รู้สึกผิดหวังและน้อยใจ ครั้งอโยธยามีเหตุจากขุนวรวงศ์ษาและแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ พระองค์และหัวเมืองเหนือได้ลงไปช่วยอย่างไม่กลัวตาย จนได้กรุงศรีอยุธยากลับคืนมา แล้วพระองค์ก็ยังถวายบัลลังก์ให้แก่พระเทียนราชาอย่างเต็มใจ หาได้ขึ้นของบัลลังก์เสียเองไม่

หากทุกอย่างเป็นเช่นนี้พิษณุโลกก็ไม่จำเป็นต้องเข้ากับอยุธยาอีกต่อไป เพราะเสบียงอาหารที่มีก็หมด ทหารก็ร่อยหรอเต็มที พระองค์จึงต้องยอมแพ้แก่พระเจ้าบุเรงนอง โดยยอมแลกองค์ดำไปเป็นตัวประกัน เพราะฝ่ายพม่าเกรงว่า พระมหาธรรมราชาจะไปเข้ากับอยุธยาอีก

"เจ้าอ่านอะไรหรอ" เสียงหวานใสถามอยู่เบื้องหลังชายหนุ่ม

กายแก้วหันไปก็พบกับเกตุ ที่นั่งอยู่เบื้องหลังเขา "ข้าอ่านตำราพิชัยยุทธ"

ความจริงเขาเลิกอ่านนานแล้วแต่ยังถือตำราไว้ในมือ เขานั่งทบทวนคำบอกเล่าของอาจารย์อยู่นานจนไม่สนใจสิ่งรอบข้าง

"เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่?" กายแก้วถาม

"มานานแล้ว แต่เจ้าไม่สนใจข้าเองนี่"

"จริงสินะ ข้าก็มัวแต่ทบทวนคำบอกเล่าของอาจารย์ เลยไม่ได้สนใจเจ้า"

"เจ้าคิดทบทวนเรื่องอะไร บอกข้าได้ไหม?" เสียงคล้ายสตรีถาม

"ได้สิ" กายแก้วตกลงง่ายๆ ก่อนที่จะเริ่มเล่าเรื่องราวในอดีตการขัดแย้งของเจ้านายฝ่ายเหนือกับทางอยุธยาให้ฟัง เมื่อเล่าจบก็ถามว่า

"เจ้าได้ฟังแล้วรู้สึกยังไง?

"ก็รู้สึกว่า กรุงอโยธยาเห็นแก่ตัวน่ะสิ" เกตุตอบ

"ยังมีมากกว่านั้น" กายแก้วพูดด้วยน้ำเสียงเฉื่อยช้า

"ไหนลองเล่ามาซิ"

เกตุสนใจ

"ในสมัยของพระมหาจักรพรรดิ ยามนั้นอยุธยามีช้างเผือกอยู่เจ็ดเชือก ฝ่ายหงสาวดีจึงส่งศาลมาขอไปสองเชือก แต่ทางอยุธยาหาได้ยอมตามนั้นไม่ เพราะมันผิดประเพณี พระเจ้าหงสาวดีจึงใช้สาเหตุนั้นก่อสงครามกับอยุธยา

พระเจ้าบุเรงนองล้อมอโยธยาอยู่นาน แต่ก็ไม่สามารถเอาชัยได้ ชาวบ้านตาดำๆเดือดร้อนหนักหนา เพราะไม่สามารถออกไปทำมาหากินได้ตามปกติ

พระเทียนราชาไม่อยากให้ราษฎรของตนเดือดร้อนเพราะภัยสงครามอีก, จึงได้เจรจาสงบศึกกับพระเจ้าบุเรงนอง พระเจ้าบุเรงนองจึงขอช้างเผือกสี่เชือก และตัวพระราเมศวรไปเป็นโอรสบุญธรรม พระเทียนราชาทรงยอมตามนั้น แต่ก็ได้ขอคนไทยที่ถูกจับไปเป็นเชลยคืน ซึ่งพระเจ้าบุเรงนองก็ตกลงตามนั้น"

กายแก้วเหล้าแค่นั้นก็หัวเราะ "นี่แหละคือผลของสงครามช้างเผือก"

"หมายความว่าการเจรจาครั้งนั้น พระเทียนราชาแพ้พระเจ้าบุเรงนองน่ะสิ" เกตุสรุป

"ใช่แล้ว" กายแก้วเห็นด้วย

อรุโณทัยขึ้นสู่ท้องฟ้า กายแก้วพาเด็กหนุ่มเดินออกมาจากศาลาที่พัก มุ่งหน้าไปยังร้านเหล้าที่นัดหมายเอาไว้ และตั้งใจจะไปฝากท้องที่นั่น

"กินอะไรก่อนเถิด" กายแก้วชวน เมื่อเข้ามาถึงในร้าน ก่อนที่จะนั่งลงบนไม้ยาว

เกตุจำต้องนั่งลงตาม กระซิบบอกเขาเบาๆ "ข้าไม่มีอัดจ่ายค่าอาหารหรอก ท่านหิวก็สั่งกินเถอะ"

"ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราจ่ายให้" กายแก้วพูดง่ายๆ

ในร้านเหล้ามีคนพลุกพล่านที่มานั่งดื่ม, นอกจากจะขายเหล้าแล้วยังขายอาหารอีกด้วย ชายหนุ่มสั่งขนมจีนน้ำยาและเหล้ามากิน ส่วนเกตุกินข้าวราดแกง กายแก้วเทเล่าลงจอกแล้วยื่นให้เกตุ เด็กหนุ่มส่ายหน้าทันที

"เราไม่ดื่มเหล้า" เสียงหวานเหมือนผู้หญิงปฏิเสธ

"ทำไมเหรอ หรือว่าเจ้าเป็นผู้หญิง?" ชายหนุ่มถามยิ้มๆ มิได้เห็นว่ามันเป็นเรื่องสำคัญแต่ประการใด ปากของเขายังพูดต่อไปไม่หยุด

"ดูรูปร่างเจ้าแล้ว ถ้าหากแต่งตัวเป็นผู้หญิงคงจะงามไม่น้อย"

"รีบกินเร็วๆเข้า มัวแต่พูดอยู่นั่นแหละ น่ารำคาญ" น้ำเสียงสีหน้าแสดงให้เห็นว่าไม่พอใจ ชายหนุ่มจำต้องเงียบ เพราะเขาไม่อยากมีปัญหากับเพื่อนร่วมทาง

"มานานแล้วหรอกายแก้ว?" เสือทักขึ้น

"ไม่นานเท่าไหร่หรอกพี่ชาย ข้ากินอาหารเสร็จพอดี" กายแก้วตอบ

"แล้วนั่นเอ็งไปเอาเด็กหนุ่มที่ไหนมา!?" สิงห์ถามอย่างประหลาดใจ

"ข้าช่วยมันจากพวกคนเมา" แล้วกายแก้วก็เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ทั้งสองฟังโดยตลอด

"เอ็งจะเอามันไปด้วยอย่างนั้นหรือ?" เสือถามตรงๆ

"ใช่ ข้าจะเอามันไปด้วย เพราะมันไม่มีใครแล้ว"

"งั้นเราออกเดินทางเถอะ" ว่าแล้ว เสือก็เดินนำหน้าไป

ทั้งหมดออกเดินทาง เป้าหมายคืออโยธยาศรีรามเทพนคร พวกเขาเดินป่าไปอย่างลำบาก จนกระทั่งผ่านไปครึ่งวัน

อากาศในช่วงบ่ายร้อนจัดทำให้เกตุเป็นลมล้มลง กายแก้วที่อยู่ใกล้ๆรีบมาประคองไว้ ก่อนที่ร่างนั้นจะล้มลงหัวฟาดพื้นเสียก่อน

"ข้าหิวน้ำ" เกตุพูดน้ำเสียงแหบแห้ง

"รีบประคองไปใต้ต้นไม้ก่อนเถิด" เสือที่ตั้งสติได้รีบบอก

"งั้น เดี๋ยวข้าอุ้มไปเอง" กายแก้วพูดแค่นั้น ก็จัดการอย่างที่ว่าทันที

เหตุใดไอ้หนุ่มคนนี้จึงนุ่มนิ่มเหมือนสตรีจังเลยนะ ร่างกายก็มีกลิ่นหอมไม่เหมือนบุรุษทั่วไปเลย อีกอย่างตัวก็เบาจนกูผิดสังเกต ชายหนุ่มได้แต่คิดในใจ

เมื่อถึงใต้ต้นไม้ เขาก็ได้วางเด็กหนุ่มลง หันไปปรึกษากับเพื่อนร่วมทางทั้งสอง "เราจะทำยังไงกันดีล่ะ,, ถ้าหากจะทิ้งไอ้หนุ่มนี่ให้นอนอยู่ใต้ต้นไม้คนเดียวมันก็อาจจะเกิดอันตรายได้"

"แล้วเอ็งมีน้ำหรือเปล่ากายแก้ว?", สิงห์ถาม

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.