บทที่ 49: กลิ่นหอม
ทุกคนในวังรู้ดีว่าไทเฮานั้นไม่ชอบเสวยเนื้อสัตว์ เมื่อชิงเยว่เห็นหมูตุ๋นวางปนอยู่ในสำรับ นางก็สั่งให้ขันทีที่กำลังยกอาหารมาตั้งบนโต๊ะเอามันออกไปทันที
“ไทเฮาโปรดทรงเมตตา” ขันทีตกใจมากจึงรีบคุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว “อาหารจานนี้เป็นอาหารที่ห้องครัวคิดค้นขึ้นมาใหม่ พอได้ทานเข้าไปแล้วมันจะละลายในปากและไม่รู้สึกเลี่ยนเลย ถ้าไทเฮาทรงลองเทียบเครื่องสักคำก็จะรู้ว่าข้าน้อยไม่ได้โกหกพ่ะย่ะค่ะ”
วันนี้เขาโชคดีที่ได้รับส่วนแบ่งหมูตุ๋นมาชิ้นหนึ่งจากในห้องครัว รสชาติของอาหารที่ถูกคิดค้นขึ้นใหม่นี้ดีกว่าอาหารทุกอย่างที่เขาเคยกินมาตั้งแต่ยังเด็ก เขาเชื่อว่าใครก็ตามที่ได้ลองชิมอาหารสำหรับนี้แล้วก็ไม่อาจปฏิเสธได้
“บังอาจ!” ชิงเยว่ตะคอกเสียงดัง “จากสิ่งที่เจ้าพูด จากนี้ไปไม่ว่าห้องครัวจะคิดค้นอาหารอะไรขึ้นมาใหม่ ไทเฮาจะต้องทรงเทียบเครื่องทีละจานอย่างนั้นหรือ?”
“อย่ามาพูดให้ขันหน่อยเลย”
“ใครก็ได้ มาลากทาสคนนี้ออกไป”
“ช่างเถอะ” ไทเฮาที่ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาเสวยอะไรไม่ค่อยลงสักเท่าไหร่ ตอนนี้พระนางไม่มีกะจิตกะใจจะมาสนใจเรื่องเช่นนี้
“มันเป็นเพียงแค่เนื้อจานหนึ่ง วางไว้ตรงนั้นแหละ”
ในความเป็นจริงพระนางไม่ได้เชื่อคำพูดของขันทีคนนั้นเลย เพราะท้ายที่สุดอาหารจานใหม่ที่ห้องครัวคิดค้นขึ้นมามักจะได้รับคำชมอยู่หลายครั้ง แต่พอเอาเข้าจริงมันก็มีรสชาติไม่ต่างจากอาหารเดิมเลยสักนิด
ขันทีหนุ่มรู้สึกเหมือนกำลังได้รับการอภัยโทษ เขาจึงรีบทำความเคารพและหลบฉากออกไปทันที
แต่ก่อนที่เขาจะออกไป เขาก็มองดูหมูตุ๋นที่ตั้งอยู่บนโต๊ะเป็นการทิ้งท้าย
ขณะนั้นเขาคิดว่าหากไทเฮาไม่เสวยพระกระยาหารจานนี้ เขาคงจะสามารถกลับมาเก็บมันเอาไปกินทีหลังได้
พอขันทีผู้น้อยคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมาเล็กน้อย
ทางด้านไทเฮาที่หูตาไวสังเกตเห็นสายตาของขันทีคนนั้น พระนางจึงเริ่มสงสัยขึ้นมาแล้วว่าเนื้อจานนี้อร่อยจริงหรือไม่?
“นี่เจ้าน่ะ” ไทเฮาครุ่นคิดสักพักก่อนจะเรียกขันทีที่เป็นคนชิมทดสอบอาหารให้ขยับเข้ามาใกล้ “บอกเราหน่อยว่าอาหารจานไหนอร่อยที่สุด”
ขันทีหนุ่มรู้สึกดีใจมากและอยากแนะนำตามความชอบของเขา ซึ่งแน่นอนว่าเป็นหมูตุ๋นจานนั้น
คนของห้องครัวพูดถูก แม้ว่ามันจะทำจากเนื้อหมูส่วนที่ติดมัน แต่เวลากินเข้าไปมันไม่เลี่ยนเลย มิหนำซ้ำยังละลายในปากทันทีอีกด้วย ซึ่งรสชาติของมันช่างน่าพิศวงจนเขาที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดียังแทบอดใจไม่ไหว
แต่เขารับใช้ไทเฮาอยู่ที่ตำหนักฉือซิ่งมาเป็นเวลานานหลายปี ดังนั้นเขาจึงรู้รสนิยมการเสวยของพระนางเป็นอย่างดี
ในขณะที่เขากำลังลังเลว่าควรจะพูดความจริงหรือควรโกหก เขาก็ได้ยินอีกฝ่ายตรัสขึ้นมาว่า
“เจ้าจะมัวอ้ำอึ้งอยู่ทำไม? ในเมื่อเราถามเจ้า เราก็ต้องการคำตอบจากเจ้าจริง ๆ” ไทเฮาขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ
มันทำให้ขันทีผู้น้อยตัวสั่นแล้วตอบตามความจริงว่า “ตามความเห็นของข้าน้อย หมูสามชั้นจานนี้ไม่เลวเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“จริงหรือ?” ในช่วงที่ผ่านมาไทเฮารู้สึกพะอืดพะอมไม่ค่อยอยากเสวยสิ่งใดและรู้สึกเบื่ออาหารมาก พอครั้งนี้พระนางได้เห็นว่าขันทียืนยันว่าอาหารจานนี้อร่อย พระนางก็เลยคิดจะเทียบเครื่องดูสักคำ
ทางด้านชิงเยว่ที่ติดตามไทเฮามานาน นางเข้าใจว่าผู้เป็นนายของตนกำลังคิดอะไรอยู่ทันทีเมื่อเห็นสีพระพักตร์ของอีกฝ่าย
นางจึงรีบเข้าไปคว้าตะเกียบขึ้นมาและคีบเนื้อชิ้นหนึ่งถวายให้แก่ไทเฮา “ในเมื่อใคร ๆ ต่างก็บอกว่าอาหารจานนี้อร่อย เราก็จะลองชิมดู ถ้ามันอร่อยจริง ๆ ก็ดีไป แต่ถ้าไม่อร่อยแล้วละก็... เราจะให้ทุกคนในห้องครัวหลวงชดใช้”
ไทเฮาไม่ได้เสวยเนื้อสัตว์มาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว และคิดว่าการกลับมาเสวยเนื้อสัตว์อีกครั้งนั้นจะทำให้พระนางรู้สึกไม่สบาย
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่อาหารถูกส่งเข้ามาใกล้ ๆ พระนางก็เริ่มน้ำลายสอเพราะกลิ่นหอมของเครื่องปรุงที่เข้มข้นพลางแอบกลืนน้ำลายลงคอโดยไม่รู้ตัว
ขณะนี้เนื้อยังคงอุ่น ๆ อยู่ พอเสวยคำแรก พระนางจะยังไม่สามารถลิ้มรสชาติที่แท้จริงของมันได้ทันที
แต่รสชาติที่เข้มข้นจะค่อย ๆ กระจายไปทั่วปาก กระตุ้นความอยากอาหารของผู้ที่ได้ลิ้มลองขึ้นมา และทำให้ผู้คนนั้นอยากกินข้าวชามใหญ่พร้อมกับอาหารจานนี้
จากนั้นไทเฮาก็กลืนเนื้อลงไปพร้อมกับเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ “นี่…”
ยามนี้ผู้คนที่อยู่รอบข้างต่างเป็นกังวลมากและเผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว
“อร่อยมากจริง ๆ” ไทเฮาเม้มปากอย่างตื่นเต้น “เรา… เราไม่เคยกินของอร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย”
ชิงเยว่ทั้งรู้สึกประหลาดใจและโล่งใจในเวลาเดียวกัน แต่นางไม่คาดคิดว่าคราวนี้คนของห้องครัวหลวงจะไม่ได้โกหก นางจึงรีบคีบหมูตุ๋นส่งให้นายเหนือหัวต่อโดยไม่รอช้า
ในเวลานี้ไทเฮาทรงได้ละเลยกฎเกณฑ์ภายในวังหลวงที่จะไม่ยอมหยิบอาหารจานเดิมเกิน 3 ครั้งไปจนสิ้น แล้วพระนางก็คีบอาหารเข้าปากอย่างรวดเร็วราวกับว่าตะเกียบบินได้ ในไม่ช้าหมูตุ๋น 1 จานก็เข้าไปอยู่ในท้องของพระนาง
แต่ถึงกระนั้น ไทเฮากลับยังรู้สึกไม่พอพระทัยสักเท่าไหร่
พระนางทรงเสวยจนพระพักตร์เปลี่ยนเป็นสีแดง ในขณะที่รู้สึกว่าท้องที่ว่างเปล่ามาหลายวันในที่สุดก็ได้รับการเติมเต็ม
ต่อมา พระนางกวักมืออย่างมีความสุขแล้วกล่าวว่า “มานี่ ไปบอกคนของห้องครัวหลวงที่ทำอาหารจานนี้ว่าเราจะตกรางวัลให้เขา”
…
ในเวลาเดียวกัน มู่ไป๋ไป่ก็ได้นำเสนอหมูตุ๋นที่ปรุงตามคำสั่งของเธอให้แก่มู่จวินฝานในตำหนักตงกง
เด็กหนุ่มถือตะเกียบขึ้นมาพลางจ้องมองเนื้อสีเข้มตรงหน้า แล้วถามอย่างไม่แน่ใจว่า “ไป๋ไป่ เจ้าแน่ใจหรือว่านี่กินได้?”
“ท่านพี่รัชทายาท!” เด็กน้อยทำหน้าบูดบึ้งทันที “ท่านสงสัยในความสามารถของไป๋ไป่จริง ๆ ด้วย! ทุกคนในห้องครัวต่างก็ชื่นชมหลังจากที่ได้กินมันเข้าไป นอกจากนี้พวกเขายังขอร้องให้ไป๋ไป่ทำอาหารจานอื่นเพิ่มให้อีกด้วย!”
มู่จวินฝานที่ได้ยินดังนั้นจึงทำเพียงแค่ยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพราะเขาเดาว่าคนในห้องครัวคงกำลังพยายามเอาใจนางเสียมากกว่า
พอมู่ไป๋ไป่เห็นท่าทางของเขาเช่นนี้ เธอก็ยิ่งโกรธมากขึ้น
“องค์รัชทายาท อาหารที่องค์หญิงหกองค์ทรงปรุงขึ้นมานั้นอร่อยมากจริง ๆ เพคะ” หลัวเซียวเซียวอดไม่ได้ที่จะออกหน้าพูดแทนอีกฝ่าย “หม่อมฉันได้ชิมแล้วเพคะ มันอร่อยมากจริง ๆ”
“อืม เซียวเซียว เจ้าเป็นคนที่มีรสนิยมดียิ่งนัก” มู่ไป๋ไป่คว้าแขนของสหายตัวน้อยมากอด และรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วที่นางออกมาพูดช่วยเธอ
หลัวเซียวเซียวได้แต่ยิ้มเอียงอาย “เป็นเพราะองค์หญิงหกทำอาหารเก่งเพคะ”
“มันอร่อยจริง ๆ อย่างนั้นหรือ?” มู่จวินฝานเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย
เมื่อมู่ไป๋ไป่เห็นดังนั้น เธอก็ปีนขึ้นไปบนเก้าอี้แล้วแสร้งทำเป็นยกจานอาหารออกไป
“ฮึ! ถ้าท่านพี่ไม่อยากกินก็ช่างมันเถอะ ข้าจะเอามันกลับไปที่ตำหนักอิ๋งชุนและให้ท่านแม่กินให้หมดเลย”
โชคดีที่เธอแบ่งอาหารมาเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น
ในขณะเดียวกัน ประกายบางอย่างก็แล่นผ่านในดวงตาของเด็กหนุ่มก่อนที่เขาจะถามว่า “ไป๋ไป่ไม่ได้เตรียมส่วนแบ่งสำหรับตำหนักอิ๋งชุนไว้หรือ?”
“แน่นอนว่าไม่” เจ้าตัวเล็กตอบกลับอย่างฉุนเฉียว
พอองค์รัชทายาทได้ยินดังนี้ เขาก็รู้สึกว่าอาหารจานนี้ไม่ได้แย่อย่างที่คิด
อย่างน้อยน้องสาวของเขาก็ตั้งใจที่จะเอามันมาให้เขาโดยเฉพาะ เพราะฉะนั้นเขาไม่ควรทำให้นางต้องเสียใจ
“ข้าจะกินมันเอง” มู่จวินฝานหยิบตะเกียบขึ้นมาอีกครั้งและคีบหมูตุ๋นเข้าปาก
เดิมทีเขาคิดอยากจะกลืนมันลงไปทั้งหมด ก่อนจะเอ่ยปากชมมู่ไป๋ไป่สัก 2-3 คำ
แต่เด็กหนุ่มกลับคาดไม่ถึงว่า หลังจากได้ลิ้มรสเนื้อเพียงชิ้นเดียว เขาก็คีบเนื้อมาอีก 1 ชิ้น จากนั้นไม่นาน เนื้อหมูอีกหลายชิ้นก็ถูกส่งเข้าปากติดต่อกันโดยที่เขาไม่ได้พูดอะไร
ครั้นเด็กหญิงเห็นว่าผู้เป็นพี่ชายตกใจมากและไม่สามารถหยุดคีบอาหารเข้าปากได้ เธอก็ยิ้มอย่างมีความสุข
“เป็นอย่างไรเพคะ อร่อยใช่หรือไม่~” เธอไม่ได้คิดจะโอ้อวดเพราะหมูตุ๋นที่เธอทำขึ้นมานั้นอร่อยสมคำร่ำลือ
มู่จวินฝานกินหมูตุ๋นที่มู่ไป๋ไป่แบ่งมาให้จนหมดจานภายในเวลาไม่กี่เฟิน* สุดท้ายแล้วเขาก็หันไปพูดกับคนตัวเล็กเสียงขรึม “ไป๋ไป่ควรเลิกเรียนแล้วผันตัวมาเป็นแม่ครัวดีกว่า”
*เฟิน คือ หน่วยนับเวลาแบบโบราณของจีน เท่ากับ นาที
“ตำแหน่งแม่ครัวที่เก่งที่สุดในโลกจะต้องเป็นของเจ้าแน่นอน”
หลังจากเด็กหญิงได้รับคำชม เธอก็อารมณ์ดีขึ้นมากและอยู่เล่นที่ตำหนักตงกงสักพักหนึ่งก่อนจะเดินทางกลับ
แต่ก่อนจะออกเดินทาง องค์รัชทายาทก็ได้ทิ้งคำพูดที่แฝงความนัยเอาไว้ว่าพรุ่งนี้เขาอยากจะกินอาหารอร่อย ๆ เช่นนี้อีก
ปกติแล้วการซื้อใจคนหนุ่มสาวด้วยอาหารนั้นเป็นเรื่องยาก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอสามารถเอาชนะใจคนได้ด้วยอาหารประเภทนี้
มู่ไป๋ไป่รู้สึกมีความสุขอยู่ในใจ แต่ภายนอกเธอกลับเชิดหน้าอย่างภาคภูมิใจแล้วบอกว่าทุกอย่างนั้นขึ้นอยู่กับอารมณ์ของตน
เพื่อให้เจ้าเด็กน้อยอารมณ์ดีแล้วทำอาหารจานต่อไปในวันพรุ่งนี้ มู่จวินฝานจึงไม่ลังเลที่จะมอบของเล่นแปลก ๆ มากมายให้อีกฝ่าย
สุดท้ายเขาก็ได้สั่งของว่างที่คนตัวเล็กชอบมาให้เป็นพิเศษเพื่อทำให้นางรู้สึกอารมณ์ดีขึ้น ก่อนที่เขาจะส่งน้องสาวกลับไปที่ตำหนักอิ๋งชุนด้วยตัวเอง
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 68
แสดงความคิดเห็น