บทที่ 17: เจ้าชื่ออะไร?
ปัจจุบันนับได้ว่าวิกฤตของมู่ไป๋ไป่นั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว อีกทั้งซูหว่านก็ยังมองตนว่าเป็นสมบัติล้ำค่า แถมยังบอกกับตัวเธออีกว่าถ้ามีใครมารังแกเธอ นางจะไปช่วยเอาคืนให้
ฮือ ๆ ท่านแม่ดูจะตามใจฉันมากเลย
เมื่อหว่านผินเห็นว่าลูกสาวกำลังจะร้องไห้ นางก็เอื้อมมือไปประคองใบหน้าเล็ก ๆ ของอีกคนเอาไว้
วันนี้มีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้นตั้งมากมาย แล้วเหตุใดนางถึงร้องไห้?
จากนั้นคนเป็นแม่ก็พยายามเปลี่ยนเรื่อง “ไป๋ไป่ แม่เห็นว่าเจ้าจ้องมองต้นไม้สีเขียวนั้นไม่วางตา เจ้ารู้หรือไม่ว่านั่นคืออะไร?”
“ต้นโสมเพคะ!”
มู่ไป๋ไป่ตอบออกมาแบบไม่คิดอะไร
ทันใดนั้นเธอก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองเป็นเพียงเด็ก 4 ขวบ คำศัพท์ในสมองของเธอควรจะมีไม่มากนัก แล้วเธอจะแสดงออกว่ารู้จักโสมได้อย่างไร?
พอเห็นว่าความลับของตัวเองอาจจะถูกเปิดเผย เด็กหญิงจึงรีบอธิบายว่า
“ในตำหนักที่ข้าเคยอาศัยอยู่มีต้นไม้ต้นหนึ่ง แล้วข้าก็เก็บมันออกมาเล่น บังเอิญขันทีที่นำอาหารมาให้ผ่านมาเห็นพอดี เขาจึงดุข้าว่าไม่ควรเอาต้นโสมมาเล่น เขาถึงขั้นพูดคำหยาบกับข้าด้วย สุดท้ายแล้วเขาก็เก็บต้นโสมกลับไป”
หลังจากคนตัวเล็กอธิบายยืดยาว ซูหว่านก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก
นั่นยิ่งทำให้มู่ไป๋ไป่ตกใจมาก เพราะบางทีความลับของเธออาจจะถูกเปิดเผยไปแล้ว
เด็กหญิงจึงเงยหน้าขึ้นพร้อมกับกะพริบตาปริบ ๆ แสร้งถามออกมาว่า “ท่านแม่ โสมไม่ใช่สิ่งของล้ำค่ามากอย่างนั้นหรือเพคะ?”
ทางด้านซูหว่านเชื่อในสิ่งที่ลูกสาวพูดโดยไม่มีข้อกังขา แต่ที่นางไม่ได้พูดอะไรออกมาเป็นเพราะนางรู้สึกปวดใจมาก เนื่องจากก่อนหน้านี้แม้แต่ขันทีที่นำอาหารมาให้ก็ยังกล้าดุด่าว่ากล่าวลูกสาวของตน
ในเวลานี้หว่านผินรู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก “โสมเป็นสมุนไพรที่ช่วยบำรุงร่างกาย ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากสำหรับคนทั่วไป แต่ในตำหนักแห่งนี้กลับเป็นเพียงของบำรุงที่มีอยู่เกลื่อนกลาด”
“ทว่าโสมในตำหนักกลับแตกต่างจากโสมชนิดอื่น เพราะโสมพวกนี้ได้รับการดูแลอย่างดีด้วยการใช้น้ำค้างยามเช้ารดทุกวัน มันถูกเลี้ยงตามวิธีการที่เขียนไว้ในตำรา เนื่องจากได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจึงทำให้ต้นโสมที่เติบโตในวังหลวงสามารถใช้รักษาโรคได้ทุกชนิด”
จากนั้นหญิงสาวก็ชะงักไปและมีสีหน้าดูผิดหวังเล็กน้อย “แม่แค่ไม่รู้ว่ามันจะได้ผลหรือไม่ ตอนนี้ก็ผ่านมานานมากแล้ว โสมต้นนี้กลับเติบโตมากกว่าต้นโสมธรรมดาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และดูเหมือนว่ามันไม่มีอะไรพิเศษเลย”
เมื่อมู่ไป๋ไป่เห็นท่าทางผิดหวังของท่านแม่ เธอจึงคิดอยากจะบอกนางไปตามตรงว่า สิ่งที่นางลงทุนลงแรงไปนั้นไม่สูญเปล่า โสมต้นนี้ถูกบ่มเพาะจนบรรลุถึงขั้นมีจิตวิญญาณแล้ว
แม้ว่ามันจะเป็นเพียงวิญญาณขั้นเริ่มต้น แต่มันก็ได้พัฒนามาถึงจุดนี้โดยใช้เวลาเพียง 5 ปี นี่ก็นับว่ามันทรงพลังมากพออยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม เธอก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายให้ผู้เป็นแม่ฟังว่าอย่างไรดีให้นางไม่มองเธอเป็นคนบ้าที่พูดเพ้อเจ้อ
คนปกติคงไม่อยู่ ๆ ก็เทียวไปบอกคนอื่นว่าตัวเองฟังภาษาสัตว์ได้ มิหนำซ้ำยังสื่อสารกับวิญญาณโสมได้อีก แล้วก็ไปบอกว่าโสมต้นนี้มีจิตวิญญาณแล้วใช่หรือไม่?
ท้ายที่สุดเด็กหญิงก็เอ่ยปากพูดปลอบอีกฝ่าย “ท่านแม่ สิ่งที่พิเศษที่สุดก็คือมันสามารถเติบโตได้เป็นอย่างดี บางทีมันอาจจะสำเร็จก็ได้ เพียงแต่เราไม่รู้เท่านั้น”
ซูหว่านรู้สึกสบายใจมากขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดของลูกสาว “แม่เองก็หวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้น หากเจ้าสิ่งนี้มีความพิเศษอยู่ในตัวจริง ๆ ในอนาคตมันจะมีประโยชน์อย่างแน่นอน”
ระหว่างที่พูดคนเป็นแม่ก็ลูบหัวน้อย ๆ ของเด็กหญิง ในขณะที่มุมปากยกเป็นรอยยิ้มอ่อนโยน แล้วหัวใจที่เคยหนักอึ้งก็คลายลง
ต่อมา มู่ไป๋ไป่ก็ชวนซูหว่านคุยอยู่สักพักหนึ่ง จนกระทั่งท้องฟ้าด้านนอกเริ่มมืดลง
ยามนี้ลานกว้างของตำหนักมีทหารองครักษ์ในเครื่องแบบเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยผู้ติดตามอีกหลายคน
มู่ไป๋ไป่เดินตามซูหว่านออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น
เมื่อหญิงสาวเห็นคนจำนวนมากเดินเข้ามา นางก็อดไม่ได้ที่จะดึงบุตรสาวไปหลบไว้ข้างหลังตัวเอง
พอทุกคนมาหยุดยืนต่อหน้าหว่านผิน พวกเขาก็โค้งคำนับให้กับนาง
“ถวายพระพรหว่านผิน”
ซูหว่านตกตะลึง นางไม่เข้าใจจุดประสงค์ของพวกเขา ดังนั้นนางจึงยังคงแสดงท่าทีระแวดระวังอยู่เช่นเคย
ก่อนที่นางจะขยับปากพูดเบา ๆ “ลุกขึ้นเถิด”
ขณะที่เสนาบดีกรมวังกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง อันกงกงก็ได้ก้าวเข้ามาในตำหนักเช่นกัน
พอมาถึงก่อนอื่นเขาก็ได้โค้งคำนับให้กับคนของกรมวังเพื่อแสดงความเคารพ จากนั้นจึงเดินไปด้านข้างหว่านผิน แล้วเขาก็ยิ้มให้กับมู่ไป๋ไป่
เมื่ออันกงกงเห็นท่าทีประหลาดใจของซูหว่าน เขาก็รีบก้าวออกไปเพื่ออธิบายว่า “นี่คือขุนนางขั้น 3 ของกรมวัง หว่านผินไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนก”
หญิงสาวถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที และความตึงเครียดบนใบหน้าก็เหมือนจะคลายลงเล็กน้อย
ยามนี้คนของกรมวังโบกมือเบา ๆ จากนั้นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งก็เดินออกมาพร้อมกับถาดที่มีกระดาษสีแดงซึ่งมีวันที่ 3 วันเขียนเอาไว้อย่างชัดเจน
“หว่านผิน คนของกระหม่อมและกรมวังได้เลือกวันมงคล 3 วันออกมาให้หว่านผินได้เลือกวันที่จะย้ายเข้าไปประทับที่ตำหนักอิ๋งชุน”
ขณะนั้นมู่ไป๋ไป่มองไปรอบ ๆ แม้ว่ามือของเธอจะได้รับบาดเจ็บและถูกผ้าพันเอาไว้อย่างแน่นหนา แต่ในหัวสมองของเธอก็ยังเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับสิ่งใหม่ ๆ ที่ไม่เคยพบเจอ
“ท่านลดมือลงหน่อยได้หรือไม่ ข้าอยากเห็นด้วย”
เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กหญิงทำให้คนของกรมวังถึงกับอึ้งไป
เด็กคนนี้มาจากไหนกัน?
“นี่คือองค์หญิงหก นางเป็นลูกสาวของข้า เจ้าลดมือลงให้นางเลือก” ซูหว่านที่ยืนอยู่ใต้ชายคาพูดขึ้นอย่างใจเย็น
แต่คำสั่งนั้นทำให้คนจากกรมวังขมวดคิ้ว ก่อนจะย่อตัวลงอย่างไม่เต็มใจ
แล้วเขาก็ได้ย่อตัวลงให้ถาดอยู่ในระดับเดียวกับเด็กหญิงตัวเล็ก
หว่านผินอาศัยอยู่ในตำหนักอวี๋ชิงที่โดดเดี่ยวมานานกว่า 5 ปี นางโชคดีมากที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งในวันนี้ แต่ทุกคนก็ยังนับว่านางเป็นสตรีที่ไม่ค่อยได้รับความโปรดปรานอยู่ดี
ความจริงที่ว่าฮ่องเต้เสด็จมาที่ตำหนักอวี๋ชิงด้วยพระองค์เองเพื่อมาใช้เวลาร่วมกับหว่านผิน มันก็นับเป็นเกียรติมากพอสำหรับนางแล้ว
แต่นางกลับยังกล้าทำตัวผิดธรรมเนียมและยอมปล่อยให้เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เลือกวันมงคลเพียงลำพัง แล้วยังออกคำสั่งให้คนของเขาก้มหัวให้กับเด็กน้อยคนนี้อีก
นี่นางจะดูถูกขุนนางขั้น 3 ของกรมวังมากเกินไปแล้ว!
จากนั้นคนตัวเล็กก็ยืนมองกระดาษทั้ง 3 แผ่นไปมาอย่างระมัดระวัง ขณะเดียวกัน เธอก็รู้สึกได้ว่าเหนือศีรษะของเธอมีสายตากำลังหมดความอดทนจ้องมองมา
“เด็กขนาดนี้จะไปเข้าใจอะไร หว่านผิน ท่านเลือกเองเถิด พวกกระหม่อมมีราชกิจอื่นที่ต้องไปทำอีกมากมาย พวกกระหม่อมไม่มีเวลาว่างมากพอที่จะมารอเด็กคนเดียว”
ขุนนางขั้น 3 ของกรมวังพูดออกมาอย่างหมดความอดทน และปัดมือของมู่ไป๋ไป่ที่กำลังยื่นไปหยิบกระดาษสีแดง
แต่ก่อนหน้านี้มือของเด็กหญิงได้รับบาดเจ็บอยู่ก่อนแล้ว แต่การปัดดังกล่าวนั้นส่งผลให้กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นของเธอถูกดึงแบบฉับพลัน มันทำให้หัวใจดวงน้อยกระตุกวูบ พร้อมกับความเจ็บปวดที่แล่นเข้ามาในสมองจนทำให้มีเหงื่อเย็นผุดขึ้นมาบนหน้าผาก
“โอ๊ย!” คนตัวเล็กเจ็บจนน้ำตาแทบร่วง
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้สีหน้าของซูหว่านเปลี่ยนไปทันที นางรีบวิ่งออกไปข้างหน้าเพื่อปกป้องมู่ไป๋ไป่เอาไว้ในอ้อมแขน
จากนั้นหญิงสาวซึ่งปกติมีท่าทีสงบเสงี่ยมก็จ้องมองไปยังคนของกรมวังด้วยดวงตาโกรธเคือง “เจ้าทำอะไรน่ะ!”
การกระทำของคนจากกรมวังก่อนหน้านี้ไม่ได้รุนแรงเกินไปนัก แต่เมื่อเห็นหว่านผินตะคอกสุดเสียง หัวใจของเขาก็สั่นสะท้าน
ในขณะที่เขากำลังจะย่อตัวลงไปเกลี้ยกล่อมเด็กตัวเล็ก ซูหว่านก็ถลึงตามองเขา ทำให้เขาต้องก้มหน้าหนีราวกับว่าตนรู้สึกผิด
ทางด้านอันกงกงที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดมีเหงื่อกาฬผุดขึ้นมาบนหน้าผาก เขาถึงขั้นต้องยกแขนเสื้อขึ้นมาซับมัน
คนผู้นี้กล้าดีอย่างไรถึงมาทำร้ายองค์หญิงหก?
เขาคิดว่าชายคนนี้คงไม่ได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับองค์หญิงหกในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา หากฝ่าบาทรู้เรื่องนี้เข้า เขาเกรงว่าหัวของคนคนนี้จะหลุดออกจากบ่า
แล้วเจ้ากรมวังก็ยังคงไม่แยแสท่าทีของสองแม่ลูก
“หว่านผิน เหตุใดท่านถึงยังนิ่งเฉย?” เขากลอกตามองไปที่มู่ไป๋ไป่กับซูหว่านที่กำลังนั่งอยู่บนพื้น
“กระหม่อมไม่มีเวลาให้เสียกับพวกท่านที่นี่หรอกนะ!”
น้ำเสียงที่เจ้ากรมวังใช้พูดนั้นเริ่มหมดความอดทนแล้ว อีกทั้งดวงตาของเขาก็ฉายแววรังเกียจออกมาอย่างชัดเจน
และนั่นยิ่งทำให้มู่ไป๋ไป่รู้สึกโมโหมากขึ้น
เจ้าหมอนี่กล้ามาปัดมือเธออย่างนั้นหรือ? แล้วยังกล้าพูดจาเช่นนี้กับท่านแม่อีก
ชายคนนี้ดูถูกคนอื่นเก่งจริง ๆ!
มู่ไป๋ไป่ปาดน้ำตาออกจากใบหน้า แล้วดันตัวเองออกจากอ้อมแขนของซูหว่าน
“เจ้าชื่ออะไร ใครอนุญาตให้ขุนนางขั้น 3 อย่างเจ้าทำตัวหยิ่งผยองเช่นนี้ในวังหลังกัน เจ้าใจกล้าถึงขนาดนี้เชียวหรือ เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าองค์หญิงคนนี้จะทำให้เจ้าหัวหลุดออกจากบ่า”
มู่ไป๋ไป่จ้องอีกฝ่ายพร้อมกับพูดถ้อยคำเหล่านี้ออกมาจากปากเล็ก ๆ แต่คำพูดของเธอไม่ได้ทำให้ชายคนนั้นหวาดกลัวเลยสักนิด แถมยังเกิดเสียงหัวเราะดังก้องไปทั่วบริเวณ
“ฮ่าๆๆ! เด็กคนนี้ช่างฝันสูงยิ่งนัก พระองค์คิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญถึงเพียงนั้นเลยหรือ?”
“พระองค์เป็นเพียงองค์หญิงลำดับที่ 6 ที่มีภูมิหลังต้อยต่ำ เหตุใดพระองค์ไม่หลบอยู่ในอ้อมแขนของมารดาพระองค์เล่า เป็นเด็กเป็นเล็กยังกล้าแสดงอำนาจบาตรใหญ่ต่อหน้าผู้อื่นอีก!”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 49
แสดงความคิดเห็น