STARCIN ภาคที่ 8 Freight ตอนที่ 22 กดขี่
แสงจ้าส่องอยู่ตรงหน้าของฉัน แสงสีขาวสว่างส่องตรงเข้าที่ม่านตาจนต้องตื่นจากภวังค์หลับใหล แสงจากวัตถุประหลาดที่ฉันไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนราวกับเป็นดวงอาทิตย์จริง ๆ มาอยู่ตรงหน้า และพอดวงตาเริ่มชินกับแสงฉันก็เห็นอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือแปลกตากำลังจับยึดตัวฉันไว้
เสียงหัวเราะเบิกบานดีใจดังมาเป็นระยะ ๆ ช่วยปลุกฉันให้ได้สติ แม้จะพยายามขยับส่วนไหนมันก็ถูกตรึงไว้บนเตียงสีเงินที่มีน้ำเอ้อล้นออกมาให้หายใจได้
“โชคดีจริง ๆ ที่จับได้ทั้งครอบครัวเลย ทีนี้เราจะได้ดูว่าพันธุกรรมจะส่งต่ออะไรให้กันบ้าง”
ภาษาแปลก ๆ จากพวกชาวแผ่นดินกำลังพูดคุยไม่หยุดผ่านตู้กระจกหนาหลายนิ้ว แม้จะไม่รู้ว่ามันคือภาษาอะไรแต่ฉันก็พยายามจะสื่อสารกับพวกเขา แต่เมื่อฉันเอ่ยปากมันกลับทำให้พวกเขาเงียบทันที
“แหม ๆ ตื่นสักที ถ้ายังไม่ตื่นก็คงต้องเจ็บตัวสักหน่อย”
ชาวแผ่นดินในชุดสีขาวบริสุทธิ์เดินเข้ามาล้อมรอบฉัน พวกเขาสวมใส่หมวกและหน้ากากจนมองไม่ออกว่าหน้าตาเป็นอย่างไร ไม่นานนักพวกเขาก็เอาหมวกแปลก ๆ มาสวมให้ มิหนำซ้ำพวกเขายังใช้เข็มฉีดอะไรแปลก ๆ เข้าร่างกายของฉันด้วย
“ยังไงเราก็เก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อไปหมดแล้ว ขั้นที่สองเราจะมาดูพฤติกรรมของลูกสาวตัวน้อยกันดีกว่า”
ดวงตาของฉันเริ่มพร่ามัวเหมือนคนทำงานมาเหนื่อยมาก ๆ ร่างกายก็ควบคุมไม่ได้ดั่งใจทำได้เพียงแค่เดินตามชาวแผ่นดินพวกนั้นไปอีกห้องหนึ่ง
“ดูนั่นสิ ทั้งอาหารและที่พักผ่อนมีให้พร้อมหมดเลยนะ” พวกเขายิ้มเริงร่าพร้อมกับถอดหมวกให้ก่อนจะผายมือเชื้อเชิญ สมองที่สั่งการไม่ได้ดั่งใจจึงทำได้แค่เดินต่อไปเรื่อย ๆ เหมือนคนไร้วิญญาณ
ทันใดนั้นก็มีกลิ่นหอมโชยเข้าจมูก เพียงแค่สูดดมก็รู้สึกผ่อนคลายเหมือนได้ล่องลอยอยู่ในสรวงสวรรค์ อาหารนานาชนิดที่ไม่เคยได้ลิ้มลองทำให้ฉันยัดมันเข้าปากอย่างไม่ลังเล ความผ่อนคลายจากยาที่พวกนั้นฉีดค่อย ๆ ทุเลาลงกลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง
ข้าง ๆ กันนั้นมีบ่อน้ำเล็กอยู่บ่อหนึ่ง พอได้ลงไปแช่มันก็เป็นครั้งแรกเลยที่รู้สึกอบอุ่นเช่นนี้อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมของซากอาหารโชยมาเป็นระยะ ความสงสัยหลาย ๆ อย่างถูกแทนที่ด้วยความสงบสุขสบายใจจนเผลอปล่อยตัวไปกับมัน แต่พอตั้งสติได้ฉันก็เลยเดินไปที่ประตูห้องและมองผ่านกระจกตรงประตูออกไป
“เหมือนเธอจะไม่มีพฤติกรรมก้าวร้าวเหมือนพ่อแม่ของเธอนะ หรือเพราะยังเด็กแต่ถ้าเป็นเด็กทั่ว ๆ ไปก็ต้องร้องหาแม่สิ”
“ช่างเรื่องนั้นเถอะน่า แบบนี้ก็ดีกับเราไม่ใช่เหรอ?”
ฉันพยายามกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจนกระทั่งมีชายคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับของแปลก ๆ
“ถ้าเธอไม่ขัดขืนก็ไม่จำเป็นต้องใช้หมวกเหล็กหรอก”
แม้จะไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรแต่รอยยิ้มและแววตาอันอ่อนโยนเหล่านั้นมันทำให้ฉันคิดถึงพ่อกับแม่ พอนึกได้เช่นนั้นฉันจึงเปิดปากถามออกไป
“พ่อกับแม่หนูอยู่ไหน?”
แทนที่จะได้คำตอบแต่เขากลับยิ้มกว้างดูตื่นเต้นเป็นพิเศษ เขาพยายามใช้ภาษามือสื่อสารกับฉันซึ่งก็เข้าใจแค่เรื่องกินกับนอนเท่านั้น
สุดท้ายกำแพงทางภาษาก็ทำให้ฉันคุยกับเขาไม่รู้เรื่องแต่อย่างน้อยพวกเขาก็เป็นมิตรคอยดูแลฉันอย่างดีเลย ชายคนนั้นวางอุปกรณ์แปลก ๆ ไว้ตรงหน้าและสอนวิธีการใช้งานมันให้ หลักการของมันคือการนำก้อนไม้รูปทรงต่าง ๆ ใส่ในรูที่พอดีกับมัน ถึงจะไม่รู้ว่าทำไปทำไมแต่ก็ไม่เห็นจะยากตรงไหนเลยนี่ พอทำได้คล่องเขาก็หาอะไรแปลก ๆ มาให้เล่นอีกจนถึงเวลาอาหารมื้อถัดไป จะเรียกมื้ออะไรดีนะเพราะฉันก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เวลาไหนแล้ว
“ได้เวลามื้อเที่ยงแล้วนะเด็กดี”
พอได้กลิ่นฉันก็ยิ้มฉีกกว้างควบคุมตัวเองไม่ได้ ความเอร็ดอร่อยที่หาไม่ได้จากถิ่นฐานบ้านเกิดทำให้ฉันตั้งตารอเวลาอาหารทุกวัน
หลังจากเวลาผ่านไปหลายสัปดาห์จนฉันเริ่มคุ้นชินกับการอาศัยอยู่ในห้องเล็ก ๆ นั่น พอตื่นก็จะได้กินสุดยอดอาหารจากนั้นก็จะมีอะไรแปลก ๆ มาให้เล่นทั้งวันเลย อีกทั้งยังได้แลกเปลี่ยนภาษากันและกันจนฉันพอจะสื่อสารกับพวกเขาได้บ้างแล้ว
“หนู...อยากไปเจอ...พ่อกับแม่”
ความทรงจำสุดท้ายก็คงเป็นตอนที่พ่อกับแม่พาฉันขึ้นมาดูผิวน้ำ ก่อนที่จะได้สัมผัสบรรยากาศของโลกด้านบนก็ดันมีแสงสว่างจ้าส่องเข้าดวงตาจากนั้นฉันก็มาอยู่ที่นี่แล้ว พ่อกับแม่จะเป็นยังไงบ้างนะหรือจะรอเรากลับไปหาอยู่
“พ่อกับแม่กำลังทำงานอยู่”
“งาน...อะไรเหรอ?”
“เป็นความลับ ไว้เธอพร้อมเมื่อไรพวกเขาจะมาหาเอง”
พอได้ยินคำตอบฉันก็เลยโล่งใจนึกว่าพ่อกับแม่จะทิ้งฉันไปแล้ว อย่างน้อยตอนนี้ฉันก็ยังสบายดีอยู่พ่อกับแม่จะได้ไม่ต้องมาคอยเป็นห่วง
นานวันเข้าพวกเขาก็เริ่มหาอะไรยาก ๆ มาให้ทำ ตั้งแต่แบบทดสอบทางคณิตศาสตร์ไปจนถึงการทดสอบด้านกายภาพ รวมถึงการควบคุมมานาและใช้มันให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด บางวันฉันก็ต้องเข้าไปห้องโถงใหญ่ ๆ ที่เบื้องหน้ามีกระจกบ้านยักษ์ทำให้เห็นชาวแผ่นดินมากมายกำลังเฝ้ามองฉันอยู่
“การทดสอบมานาครั้งที่หก...เริ่ม”
สิ่งที่ฉันต้องทำก็แค่เรียกมานาออกมาและเปลี่ยนมันให้กลายเป็นน้ำแค่นั้น ครั้งแรกที่ทำฉันเกือบแทงตัวเองด้วยดาบวารีด้วยซ้ำ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจแต่ยังมีสิ่งที่เรียกว่าสเตตัสอยู่และเมื่อเปิดมันขึ้นมาก็จะเป็นเวทมนตร์พื้นฐานที่เราเรียกใช้ได้ เหมือนจะสะดวกสบายแต่พวกเขากลับไม่ให้ฉันทำแบบนั้นและสอนการใช้มานาทีละขั้นตอนแทน
“พัฒนาการของเธอมาได้ไกลกว่าอายุอีกนะ ถ้ายังทำแบบนี้ต่อไปเราอาจจะสร้างผู้ที่ก้าวข้ามเลเวลเก้าได้ก็ได้”
“สุดยอดเลยใช่ไหมล่ะครับ”
พวกเขามักจะยิ้มปลื้มใจทุกครั้งที่ฉันทำได้ดี พอจบการทดสอบฉันก็จะได้พักและกินอาหารตามใจอยากโดยไม่ต้องกลัวใครจะว่าอะไร
“การทดสอบมานาครั้งที่ยี่สิบ...เริ่ม”
ครั้งแล้วครั้งเล่าที่พวกเขาเพิ่มระดับความยากของสิ่งที่ต้องทำ จากการเปลี่ยนมานาเป็นเวทมนตร์วารีกลายเป็นการสร้างเสริมกำลังควบคู่ไปกับการใช้เวทมนตร์เพิ่มพละกำลังและเพิ่มความเร็ว และนั่นคือสิ่งที่ฉันทำไม่ได้สักทีจนโดนดุอยู่บ่อย ๆ
“เอาล่ะ วันนี้ถ้าเธอทำไม่ได้คงต้องโดนบทลงโทษกันสักหน่อยแล้ว”
“หนูจะทำให้ได้”
ฉันตอบกลับทันทีเพราะกลัวจะโดนทำโทษ การใช้เสริมกำลังโดยไม่พึ่งการร่ายมันช่างลำบาก ต่อให้พวกเขาจะบอกสอนวิธีการให้เท่าไรแต่ฉันก็ยังไม่ค่อยเข้าใจมันอยู่ดี
“สุดท้ายก็ทำไม่ได้สินะ งั้นมาเริ่มบทลงโทษกันเลยดีกว่า” ชายคนนั้นยิ้มมุมปากเหมือนรอเวลานี้มานาน ฉันสัมผัสได้ถึงความสนุกตื่นเต้นในรอยยิ้มเหล่านั้น แม้มันจะทำให้ฉันกลัวแต่ก็ต้องทำใจยอมรับชะตากรรม
พอเช้าวันถัดมาฉันก็โดนขังอยู่ในห้องเดิมโดยที่ไม่มีอาหารให้ ตลอดทั้งวันฉันต้องนอนหิวและบิดตัวไปมาเพราะท้องมันร้องไม่หยุด
ถึงจะหิวแต่ฉันก็ทนมันได้ ถึงจะน่าเบื่อแต่ก็ยังดีกว่าโดนพวกจ้าวทะเลกดขี่ข่มเหง ถึงจะเจ็บปวดแต่เดี๋ยวมันก็คงจะหายไปเอง ฉันพยายามนอนตลอดทั้งวันเพื่อบรรเทาความหิวจนผ่านครึ่งวันไปได้ ฉันจินตนาการถึงอาหารที่วางบนโต๊ะแล้วนึกถึงรสชาติรสสัมผัสแล้วก็กลับไปนอนต่อเหมือนพยายามสะกดจิตตนเองว่าได้กินไปแล้ว
จนเช้าวันถัดมาก็มีอาหารมื้อแรกมาวางบนโต๊ะ ฉันไม่รีรอให้เสียเวลาและพุ่งเข้าใส่อาหารพวกนั้นเพื่อกัดกินด้วยความหิวโหย รสชาติที่เคยคิดว่าอร่อยมันยังอร่อยได้มากกว่านั้นอีกหลายเท่า ระหว่างที่ฉันกินชายคนนั้นก็ยังยิ้มปลื้มใจพลางจ้องมองด้วยสายตาสงสัยตลอดเวลา
“คงหิวมากสินะ คราวหลังก็ทำให้ได้ล่ะ” เขาวางมือลงบนหัวของฉันแล้วลูบไปมา ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไปทำไมแต่มันก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไร
หลังจากฝึกอยู่หลายสัปดาห์ในที่สุดฉันก็ทำสำเร็จแม้จะทำได้แค่ไม่กี่วินาทีก็ตาม ฉันได้ยินเสียงตะโกนดีใจจากอีกฟากของห้องกระจกซึ่งมันทำให้ฉันรู้สึกภูมิใจมากกว่าเดิมเสียอีก
“สุดยอดไปเลย โครงการนี้จะได้รับการยอมรับแน่ ๆ ถ้าหากเราสามารถทำให้ใครสักคนไปถึงระดับนั้นได้เราก็จะได้มีชื่อในประวัติศาสตร์ด้วย”
พอการทดสอบจบพวกเขาก็พาฉันไปที่ห้องเหมือนเดิมพร้อมด้วยอาหารมากมายรอต้อนรับอยู่ ในตอนนั้นฉันไม่ได้คิดอะไรก็แค่มีความสุขกับมื้ออาหารตรงหน้า แต่ขณะเดียวกันพวกชาวแผ่นดินก็หายหัวไปที่ไหนกันสักแห่ง ฉันคิดว่าบางทีพวกเขาอาจจะไปฉลองเพราะฉันทำสำเร็จก็ได้
หลังจากจบการทดสอบครั้งนั้นฉันก็ได้พักผ่อนสบาย ๆ ไปหลายวันจนบางทีก็รู้สึกเบื่อมากกว่าตอนฝึกอีก พอเป็นเช่นนั้นฉันก็เลยแอบฝึกควบคุมมานาในห้องนั้น มานาที่เรียกออกมาค่อย ๆ เปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นเครื่องมือที่ฉันเคยเห็น
"ปัดโธ่เอ๊ยอีกนิดเดียวก็จะเสร็จแล้ว" ฉันเผลอตัวใช้มานามากไปจนตาเริ่มพร่ามัว เรี่ยวแรงก็หายไปหมดจนเกือบเป็นลมเสียแล้ว
หลายเดือนผ่านไป ฉันได้ย้ายไปอีกห้องหนึ่งเพราะร่างกายที่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งแขนขาและก้ามของฉันมันใหญ่และแข็งแรงกว่าก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิงเหมือนผ่านไปหลายสิบปี
“วันนี้เธอจะได้จำลองการต่อสู้เพราะฉะนั้นเตรียมตัวให้พร้อมล่ะ”
เพียงแค่ไม่กี่เดือนฉันก็พูดภาษาของพวกเขาได้ ฉันชอบนะตอนที่พวกเขาพูดชมยกยอมันทำให้ฉันรู้สึกว่าตนเองพิเศษ แต่พอถึงเวลาโดนดุโดนทำโทษพวกเขาก็ไม่ปรานีฉันเหมือนกัน
“เร็วกว่านี้ !”
ขณะที่กำลังฝึกซ้อมวิ่งบนบกก็มักจะมีเสียงตะโกนจากชายคนนั้นทำฉันสะดุ้งทุก ๆ ครั้ง แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้มองด้วยสายตาโกรธเกรี้ยวอะไรพวกนั้นเลย ที่ทำไปก็คงต้องการกระตุ้นให้ฉันตื่นตัว
“เก่งมาก ! เธอคือความภาคภูมิใจของฉันเลย”
หลังฝึกเสร็จเขาก็เดินเข้ามาลูบหัวเหมือนทุกครั้ง เขาเป็นคนที่อยู่กับฉันมากที่สุดจนเหมือนพ่ออีกคนไปแล้ว
“ลุงชื่ออะไรเหรอ?” ฉันพึ่งนึกได้ว่ายังไม่รู้ชื่อของเขาเลย ถึงจะเป็นคนแปลกหน้าแต่พอได้เจอกันบ่อย ๆ มันก็สนิทกันไปเอง บางครั้งตอนเขาเปิดประตูเข้ามาฉันก็หยอกล้อให้ตกใจเล่น
“ชื่อเหรอ? นั่นสินะเรายังไม่รู้ชื่อของกันและกันเลย”
“หนูชื่อรินพ่อกับแม่เป็นคนตั้งให้ แล้วลุงล่ะ?”
เขาหัวเราะในลำคอตามน้ำคำพูดของฉัน แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดชื่อตัวเองก็ดันมีคนมาเรียกเสียก่อน
“หัวหน้าครับ พวกผู้บริหารเดินทางมาถึงแล้วครับ”
“อืม จัดเตรียมเอกสารไว้เดี๋ยวฉันจะตามไป”
พอคุยเสร็จเขาก็หันกลับมายิ้มให้ก่อนจะเดินตามหลังเพื่อนของเขาไป เรื่องโลกภายนอกฉันไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไรรวมถึงเรื่องที่ตัวเองโดนขังอยู่ในนี้ด้วย แต่เพราะมีอาหารมีที่นอนและยังดูแลดีก็เลยไม่ติดใจอะไร
ยิ่งนานวันเข้าฉันก็ยิ่งต้องฝึกหนักขึ้นไปอีกจนบางครั้งก็สงสัยว่าจะให้ไปสู้รบที่ไหนหรือเปล่า พอทำไม่ได้ฉันก็จะถูกลงโทษโดยการอดอาหารหนึ่งวันและเป็นอย่างนั้นเรื่อยมาจนเข้าสู่ปีที่สาม
“อัตราการเต้นหัวใจคงที่ ภาวะมานาช็อกไม่มี การปลดปล่อยมานาอยู่ในระดับมาตรฐาน”
“ทุกอย่างยังอยู่ในเกณฑ์สินะ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเราอาจจะโดนตัดงบก็ได้”
จากการฝึกมากมายทำให้ประสาทสัมผัสฉันดีขึ้นไม่ว่าจะเป็นสายตาหรือการได้ยินเสียง เวลาที่พวกเขาคุยกันฉันก็ได้ยินเช่นกัน ถึงตอนแรกจะไม่เข้าใจแต่พอฟังบ่อย ๆ ฉันก็เริ่มรู้เรื่องการทดสอบพวกนี้มากขึ้น
“ฉันว่าเราต้องเพิ่มระดับการฝึกเป็นเท่าตัว”
“เอาจริงเหรอ? ถ้าทำแบบนั้นเธออาจจะเจ็บหนักจนกลัวไม่กล้าทำอะไรอีกเลยก็ได้” ชายคนนั้นพยายามเกลี้ยกล่อมคนอื่นเพื่อฉันสินะ เขาช่างเป็นคนที่ใจดีจริง ๆ
แต่เขาแค่คนเดียวไม่อาจสู้เสียงข้างมากได้ สุดท้ายฉันก็ได้รับการฝึกที่โหดหินยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า บทลงโทษเองก็โดนเพิ่มระดับจากอดอาหารหนึ่งวันเป็นอดอาหารสองวัน จากสองวันเป็นสามวัน จากสามวันเป็นสี่วัน
จนถึงจุดจุดหนึ่งที่ฉันไม่รู้ว่าจะนับวันยังไงดี หนึ่งสัปดาห์ สองสัปดาห์ สามสัปดาห์หรือหนึ่งเดือนดีล่ะ นอกจากจะอดอาหารก็ยังต้องไปฝึกต่อมันก็ยิ่งทำได้ไม่เต็มที่ พอทำไม่ดีก็ลงโทษต่อไปเรื่อย ๆ เป็นวังวนไม่รู้จบจนกว่าฉันจะอดตายไปเอง
“ขอบ...คุณ...ค่ะ” นั่นคือเสียงอันไร้เรี่ยวแรงของฉันที่กล่าวต่อลุงคนนั้นที่แอบเอาอาหารเล็ก ๆ น้อย ๆ มาให้เพื่อประทังชีวิต
“อย่าพึ่งยอมแพ้ล่ะ ฉันจะพยายามหาทางช่วยเอง”
นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันได้ยินเสียงของเขา สิ่งเดียวที่ยังจำอยู่ในหัวก็คืออย่าพึ่งยอมแพ้ล่ะ ฉันจึงพยายามฝึกฝนด้วยสภาพร่อแร่ใกล้ตายทุกวินาทีแต่ไม่รู้ทำไมมานาอันน้อยนิดของฉันถึงนิ่งและควบคุมได้ดั่งใจ
วินาทีที่ความหิวโหยเข้าครอบงำฉันก็จะเพ่งสมาธิไปที่การควบคุมมานาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ วินาทีที่ความเหงาเข้ามาทักทายฉันก็จะฝึกต่อสู้กับศัตรูในจินตนาการ วินาทีที่ความสิ้นหวังมาเยือนฉันก็จะนึกถึงคำพูดนั้นและใช้มันเพื่อเป็นแรงผลักดัน
และวินาทีที่การทดสอบมาถึงฉันก็ทำสำเร็จ กำแพงของการทดสอบได้พังทลายลงทำให้พวกชาวแผ่นดินกลับมายิ้มกันอีกครั้ง
“วันนี้เธอกินให้เต็มอิ่มไปเลย”
พวกเขาพาฉันมาที่ห้องอาหารซึ่งแค่เปิดประตูก็ได้กลิ่นหอมลอยเตะจมูก เมื่อความอยากที่อดทนมานานกำลังจะได้รับการปลดปล่อยฉันจึงพุ่งเข้าใส่อาหารบนโต๊ะ ท่าทางมูมมามของฉันทำให้ชาวแผ่นดินหัวเราะเยาะแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกแย่เลย กลิ่นหอม รสชาติ รสสัมผัส ภาพของอาหารอันโอชะ สิ่งเหล่านั้นกำลังดึงดูดฉันลงไปในห่วงลึกแห่งความสุขอย่างหาที่สุดมิได้
“ปิดประตูเถอะ แล้วก็เตรียมตัวให้พร้อม” พวกเขาปิดประตูขังฉันไว้กับอาหารบนโต๊ะ ฉันขอบคุณด้วยซ้ำเพราะไม่มีใครมาเกะกะตอนกำลังกิน
ระหว่างที่กำลังควานไปทั่วมือมันก็ดันไปโดนกับฝาครอบถาดจนเปิดออกมานิดหนึ่ง ด้วยความสงสัยว่ามีเมนูอะไรอยู่ในนั้นฉันจึงเปิดมันออกมา
สิ่งที่เห็นมันทำให้ฉันหูอื้อไม่รับรู้สิ่งใดไปพักหนึ่ง หลังจากนั้นฉันก็คว้าอาหารกินต่อทำเป็นไม่สนใจสิ่งที่อยู่บนถาดนั้น
“อร่อยหรือเปล่า? เนื้อของพ่อแม่ตัวเองน่ะ”
แม้จะมีเสียงจากลำโพงเยาะเย้ยกวนประสาทให้โมโหแต่ฉันก็ยังนิ่งและกินต่อไป ฉันหันหลังให้พวกมันเห็นแค่แผ่นหลังที่กำลังสั่นไหวเพราะควานหาของกิน มิใช่ใบหน้าที่กำลังกัดฟันเกร็งพร้อม ๆ กับฉีก เคี้ยวและฝืนกลืนอาหารลงคอทั้งน้ำตา
ความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไร กล้ำกลืน ขมขื่น วังเวง หวาดกลัว หรือก็แค่โกรธ ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้ต้องทำหน้ายังไงดี แม้จะรู้สึกเช่นนั้นแต่มือและปากกลับกินไม่หยุดเพราะความหิวโหยมันโหดร้ายยิ่งกว่าความรู้สึกพวกนั้น ต่อให้จะโกรธจะเศร้าแค่ไหนแต่ถ้ามีพลังงานฉันก็จะพอทำอะไรได้บ้าง แต่หากไร้ซึ่งพลังงานฉันก็เป็นได้แค่คนโง่ที่วิ่งไปมาในโหลแก้วให้พวกมันสนุก
“แปลกแฮะ ทั้ง ๆ ที่หัวของพ่อแม่วางอยู่บนโต๊ะพร้อมกับอาหารที่ทำจากเนื้อของพวกนั้น...แต่เจ้าเด็กนั่นกลับไม่สะทกสะท้านเลยเหรอ?”
“นั่นสินะ เราลองยั่วโมโหเธอมากกว่านี้ดีไหม?”
เสียงจากลำโพงพวกนั้นดังตลอดเวลาทำฉันเสียสมาธิกับการกินหมดเลย แต่เจ้าของเสียงอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้จึงทำได้แค่ฟังและกินต่อไป
“ดูสิ ฉันนึกว่ามนุษย์เงือกจะเห็นความสัมพันธ์เป็นเรื่องสำคัญแต่ทำไมลูกสาวแท้ ๆ ถึงกำลังกินพ่อแม่ตัวเองอยู่ล่ะ แถมกินทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเป็นพ่อแม่ตัวเอง ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ที่แอบใส่ลงไปทีละนิดก็คงไม่อะไรแต่นี่เห็นเป็นตัว ๆ หรือว่าจะอยากกินพ่อแม่ตัวเองอยู่แล้วกันนะ?”
ไม่ ๆ นั่นมันก็แค่เสียงของพวกบ้า ฉันพยายามปลอบใจตัวเองทุกครั้งที่ได้ยินเรื่องบัดซบพวกนั้น
“ตอนที่จับตัวมาแรก ๆ เราก็ใช้เธอเป็นตัวประกันทำให้พ่อแม่ของเธอยอมเป็นหนูทดลองง่าย ๆ เลยล่ะ ไม่ว่าจะตัดแขนขา เผาผิวหนัง ลองหยดสารเคมีใส่ ไม่ว่าจะเป็นอะไรพวกเขาก็ยอมทำโดยไม่บ่นแม้แต่คำเดียวเลย”
อร่อย นั่นคือสิ่งที่ฉันพยายามใช้มันเพื่อกลบความรู้สึกแย่ ๆ ทั้งหมด ต่อให้สิ่งที่กินอยู่จะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของผู้ให้กำเนิดแต่หากปล่อยให้ความเศร้ามาครอบงำมันอาจจะทำให้พวกมันได้ใจเข้าไปใหญ่
“ตอนนั้นเราสนุกมากเลยนะที่ได้กะเทาะเปลือกเพื่อที่จะได้เนื้อมาทำอาหารให้เธอกิน ท่าทางทุรนทุรายของพวกเขามันทำให้ผู้บริหารชอบใจกันมาก ๆ เลยนะ”
ตอนนี้ฉันยังหิวอยู่หรือเปล่า ทั้ง ๆ ที่กินไปเยอะขนาดนั้นแต่ก็ยังไม่อยากหยุดมือเลย ความโลภเหรอ? ไม่สินี่มันไม่ใช่ความโลภ ความตะกละเหรอ? นั่นก็ยังไม่ใช่
“เคยลองให้พวกนั้นผสมพันธุ์กันต่อหน้าคนนับสิบด้วยนะ เพราะพ่อแม่ของเธอเราเลยได้ทดลองและเก็บข้อมูลไว้มากมายจนพวกผู้บริหารเพิ่มงบให้ แต่ลูกสาวของพวกเขาดันพัฒนาช้าเรื่อย ๆ จนเราต้องกระตุ้นแบบเด็ดขาดอย่างนี้ยังไงล่ะ”
หลังจากกินหมดทุกจานจนเหลือแค่ถาดใบนั้น ถาดที่วางหัวของพ่อกับแม่โดยที่หันหน้ามองฉันกินตลอดเวลาเหมือนพวกเขากำลังสุขใจที่ได้เห็นลูกกินอิ่ม แต่ฉันกลับรู้สึกผิดและนั่งมองหน้าพวกเขาอยู่อย่างนั้นจนพวกชาวแผ่นดินเข้ามาลากตัวฉันกลับไปที่ห้องพัก
สรุปแล้วฉันกำลังรู้สึกอะไรกันแน่ จะเศร้าใจหรือจะโกรธก็ไม่รู้แต่สิ่งเดียวที่รู้ได้ก็คือพุงที่ป่องออกมาเพราะกินอาหารไปจำนวนมาก
“ตอนแรกก็คิดว่าเธอจะอาละวาดเสียอีก แต่นิ่ง ๆ แบบนี้ก็ดีกับทั้งตัวเธอและพวกเรานะ”
นั่นสินะ ดีกับทั้งฉันและพวกเขา
สองปีหลังจากยกระดับการฝึกทำให้ฉันพัฒนาขึ้นเป็นเลเวลหกได้ด้วยอายุอันน้อยนิดและสิ่งแรกที่ฉันทำก็คือทำให้ทั้งศูนย์วิจัยเงียบลง
ซึ่งนั่นก็เป็นอีกครั้งที่ฉันบอกความรู้สึกตัวเองไม่ถูก สะใจเหรอ? ยังไม่ใช่ สนุกเหรอ? นั่นก็ยัง โกรธเคือง? ไม่ใช่เหมือนกัน แล้วตอนนี้ฉันรู้สึกยังไงกันแน่
ฉันเดินผ่านเศษกระจกมากมายไม่สนใจว่ามันจะบาดเท้าหรือไม่ ดวงตาผ่อนคลายมองไปยังห้องอาหารและเข้าไปนั่งกินเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“จับเธอไว้แต่ห้ามฆ่าเด็ดขาด”
ไม่นานนักคนจากศูนย์อื่นก็ส่งกำลังเสริมมาซึ่งมีคนที่แข็งแกร่งกว่าฉันเป็นสิบคนเลย พวกเขาประเมินฉันไว้สูงเชียวนะรู้สึกปลื้มใจจริง ๆ
“รายงานครับ ทุกคนถูกตัดหัวหมดเลยรวมถึงผู้อำนวยการศูนย์ด้วยครับ”
เจอแล้วเหรอไอ้ลุงเวรนั่นที่หลอกใช้ฉัน มันว่าอะไรนะที่บอกให้อย่ายอมแพ้ก็เพื่อกระตุ้นฉันให้สู้ต่อ แหม ๆ ทำดีเพื่อหวังประโยชน์สมกับเป็นพวกชาวแผ่นดินจริง ๆ
“เราต้องส่งเธอไปที่ศูนย์ใหญ่เพราะพวกผู้บริหารชอบโครงการนี้ ถ้าเกิดโครงการล่มขึ้นมาอาจจะมีปัญหาก็ได้ครับ”
“ให้ตายสิเป็นตัวทดลองที่แปลกซะด้วย จะบอกว่าน่าเก็บไว้ก็ได้หรือจะบอกว่าควรกำจัดทิ้งก็ไม่แปลก ทั้ง ๆ ที่ลงมือฆ่าทุกคนไปแล้วแต่แทนที่จะหนีกลับมานั่งกินอาหารเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แถมตอนโดนจับก็ไม่มีท่าทีขัดขืนเลยแม้แต่น้อย”
นั่นคงเป็นช่วงเวลาที่ฉันได้รู้ตัวว่าตนเองเป็นเพียงแค่หนูทดลองในโหลเท่านั้น ไม่ว่าจะดิ้นรนเท่าไรพวกมันก็มีคนที่เหนือกว่ารอควบคุมทุกการกระทำอยู่ แม้จะก้าวขึ้นมาถึงเลเวลเก้าแล้วแถมมันยังผ่านมาเป็นร้อยปีแต่พวกมันก็ยังมีการส่งต่อพลังอำนาจไม่จบไม่สิ้น
“ดูเหมือนตอนนี้ฉันจะเข้าใจแล้วว่ารู้สึกยังไง” ความเจ็บปวดทรมานได้หายไปแลกมากับการฟื้นฟูร่างกายได้สมบูรณ์แบบ อีกทั้งก้ามยังเพิ่มจำนวนเป็นสี่ข้างเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้กระสุนพิฆาตมากยิ่งขึ้นไปอีก
เธอยืดแขนขาพยายามปรับตัวให้เข้ากับร่างใหม่ จากนั้นก็ว่ายน้ำกลับขึ้นไปด้านบนอีกครั้ง
“ฉันรู้แล้วว่าความรู้สึกที่บอกไม่ได้เหล่านั้นมันคืออะไร”
ทันทีที่ว่ายขึ้นเหนือผิวน้ำเธอก็กวาดยิงกระสุนพิฆาตไปทุกทิศทุกทางราวกับเป็นการประกาศศักดาให้รับรู้การมาของรินจ้าวทะเลผู้ที่ได้รับการปลดปล่อย
“มันช่าง...โล่งใจจริง ๆ”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 88
แสดงความคิดเห็น