STARCIN ภาคที่ 8 Freight ตอนที่ 6 มาแล้ว
สุดท้ายเหล่าขุนนางอลาสกันก็ยอมใช้ทางขรุขระลูกรังเพื่อเดินทางมายังเมืองเอลโฟเรีย ท่าทางฉุนเฉียวของพวกเขาถูกระงับด้วยสายตาเยือกเย็นและเวทมนตร์ที่พร้อมสะบั้นคอ
“หงุดหงิดฉิบหายเลย ไอ้หน้าจืดนั่นน่ะเหรอที่เป็นเจ้าเมือง” ขุนนางหนุ่มเดาะลิ้นไม่พอใจขณะที่นั่งรถม้าที่สะเทือนไม่หยุดเพราะเส้นทางขรุขระ
“ครับ ผมเคยเห็นเขาที่แอสต้าแถมยังมีข่าวลือหลาย ๆ อย่างที่ดูไม่น่าเป็นไปได้ด้วย”
“รีบ ๆ เล่ามาเถอะ ฉันอยากรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของมันแล้ว”
คนรับใช้ส่วนตัวกระแอมคอก่อนพูด “เขาได้เป็นอาจารย์ที่โรงเรียนหลวงเพราะพลเอกลักซ์ขอให้เขาทำคุณประโยชน์สักอย่างเพื่อเป็นการไถ่โทษ เมื่อปีก่อนมีทหารถูกเขาฆ่าตายไปหลายคนและยังหลบหนีการจับกลุ่มจนเกือบโดนท่านโอบาสั่งประหารไปแล้ว”
“นั่นมันก็เหมือนที่ฉันเคยได้ยินไม่ใช่หรือยังไง?” ขุนนางหนุ่มตอบ
“ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่เป็นข้อสงสัยกันอยู่นะครับ ส่วนนั้นก็คือทำไมพลเอกลักซ์ถึงออกตัวช่วยกบฏขนาดนั้น แถมอีกฝั่งก็ยังเข้ามาหาถึงที่เหมือนรู้อยู่แล้วว่ายังไงก็รอด และยังมีผู้กล้าฟรานอีกนะครับที่ช่วยพวกกบฏ”
“ผู้กล้าฟรานสินะ ฉันยังไม่เคยเห็นเธอเลยสักครั้ง อยากเห็นจริง ๆ จะได้รู้ว่าสวยสมคําร่ําลือหรือเปล่า”
ไม่นานนักพวกเขาก็มาถึงทางเข้าเมืองที่มียามตรวจตราทุกระเบียบนิ้ว จนขุนนางหนุ่มขมวดคิ้วหงุดหงิดและยังถลึงตามองพวกยามเหมือนอยากจะบอกว่าตนไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“ที่นี่เหรอเอลโฟเรีย” ขุนนางหนุ่มกวาดสายตามองไปรอบ ๆ เห็นถึงความเป็นระเบียบเรียบร้อย สะอาดตาและยังน่าเดินชมรอบ ๆ เมืองอีกต่างหาก
“นี้มันดูดีกว่าแอสต้าอีกไม่ใช่เหรอ?” เขากล่าวด้วยแววตาเป็นประกาย ยิ่งรถม้าเคลื่อนเข้าไปในเมืองมากเท่าไรก็ยิ่งมีอะไรให้มองเต็มไปหมด ระบบสัญญาณไฟที่มีอย่างทั่วถึง รถขนส่งที่ขับเคลื่อนด้วยเชื้อเพลิงมิใช่รถม้าอย่างที่ใช้เป็นประจำ
“ที่เจ้าเมืองบอกคือให้ไปที่อาคารสภาเพื่อติดต่อขอเจรจา แล้วมันอยู่ตรงไหนผมก็ไม่รู้” คนรับใช้เปิดแผนที่ที่ซึฮากิให้ไว้และลองไล่อ่านไปเรื่อย ๆ แต่ก็มีแต่ภาษาอาณาจักรอาฟ
ทันใดนั้นก็มีเสียงบีบแตรดังมาจากด้านหลังเล่นเอาพวกขุนนางสะดุ้งตกใจ “ขอโทษนะครับ พวกคุณขวางทางอยู่ถ้าจะจอดก็ช่วยหลบไปริมถนนได้ไหมครับ?” คนขับรถสาธารณะแบะปากส่ายหัวไม่พอใจแม้จะไม่เข้าใจภาษาแต่ก็รู้ได้ทันทีว่าต้องทำอย่างไร พอพวกขุนนางขยับรถม้าเขาจึงเคลื่อนรถไปต่อได้
“ขอโทษนะคะ ถ้าม้าของคุณถ่ายในที่สาธารณะก็ควรจะเก็บกวาดให้เรียบร้อยนะคะ” ขณะที่กำลังยืนงงก็มีเอลฟ์สาวที่เดินผ่านบอกกล่าวด้วยภาษาอาณาจักรเซียเหมือนรู้ว่าพวกเขาเป็นคนจากที่นั่น และพอพูดจบก็เดินจากไปทันที
“อะไรกันนักหนาวะเนี่ย” พวกเขาขยับรถม้าไปข้างหน้าเพื่อให้คนรับใช้ทำความสะอาดพื้น
“เฮ้ย ! ไม่ดูหรือยังไงว่านี่มันทางม้าลายนะ” กลุ่มเอลฟ์หนุ่มที่พึ่งกลับจากการดื่มกำลังจะเดินข้ามทางม้าลายแต่รถม้าของขุนนางก็ดันจอดขวางไว้ เสียงตะโกนด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวทำให้พวกขุนนางรู้ว่ากำลังทำอะไรผิดแน่นอนแม้จะไม่เข้าใจภาษาของเขา
พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับความวุ่นวายจนอยากจะกลับบ้านเดี๋ยวนั้น แต่พอเริ่มคุ้นเคยพวกเขาก็ค่อย ๆ ถามและตามรอยแผนที่ไปยังอาคารสภาที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากบ้านหลักสักเท่าไร
“ตัดหญ้าเสร็จก็ได้พักสักที ว่าแต่เธอไปเอาน้ำมาให้หน่อยสิ” แคทเทอรีนนั่งเหงื่อตกรวมกับเสื้อแขนยาวกับผ้าเช็ดเหงื่อทำให้เหมือนเป็นคนงานไม่มีผิด
“ลืมตัวไปแล้วหรือเปล่าว่าฉันไม่มีมือ” ทีโอน่ายิ้มแห้งตอบกลับ
“เออ...จริงด้วย”
ขณะที่กำลังจะเดินไปหาน้ำกินก็ดันมีเสียงเรียกจากขุนนางหนุ่ม
“ที่นี่ใช่อาคารสภาไหม?”
แคทเทอรีนทำหน้างุนงงก่อนจะหันไปกระซิบกับทีโอน่า “เมื่อกี้เขาว่าอะไรนะ?”
“อืม เหมือนจะเป็นภาษาอาณาจักรเซียนะคะแต่ฉันก็ไม่ค่อยรู้เท่าไร”
ขุนนางหนุ่มถอนหายใจจากนั้นก็เอาแผนที่ให้ดูแทน
“อ้อ ! ใช่ ๆ ที่นี่แหละ” แคทเทอรีนพยักหน้าเป็นสัญญาณว่าใช่ พอได้คำตอบเขาก็รีบเดินเข้าไปข้างในไม่สนใจพวกแคทเทอรีนอีก
ขณะที่กำลังจะเปิดประตูกระจกมันก็ดันเปิดออกเองยิ่งทำให้พวกเขาตกตะลึงเข้าไปใหญ่ บรรยากาศเย็น ๆ จากเครื่องปรับอากาศทำให้ขุนนางหนุ่มมองไม่ละสายตา
“เจ้าเครื่องนั่นมันปล่อยลมเย็นออกมาด้วย...เหมือนกับตู้เย็นเลย”
“สวัสดีค่ะ พวกคุณคงเป็นขุนนางอลาสกันที่เดินทางมาจากอาณาจักรเซียใช่ไหมคะ?” เอลฟ์สาวเดินเข้ามาทักด้วยภาษาอาณาจักรเซียทำให้พวกเขายิ้มออกมาได้
“ใช่ ฉันมาเพื่อเจรจาซื้อพิมพ์เขียวตู้เย็น” เขาไม่รีรอให้เสียเวลาและยังเปิดถุงเงินจำนวนมากให้เห็นเสมือนกับการประกาศฐานะที่ตนมี
“เชิญเข้ามาด้านในก่อนนะคะ” เธอนำทางขุนนางหนุ่มเข้าไปรอในห้องรับแขกและทิ้งเขาไว้อย่างนั้น
เวลาผ่านไปไม่นานก็มีเอลฟ์อีกคนเดินเข้ามาแทน สีหน้าท่าทางสุขุมดูมีความเป็นผู้ใหญ่นั่งลงฝั่งตรงข้าม
“มาขอซื้อพิมพ์เขียวตู้เย็นใช่ไหมครับ?” โคกล่าว
“ใช่ เราเตรียมเงินมามากพอที่จะซื้อที่ดินอาณาเขตของพวกออร์คด้วยซ้ำ ฉันคือทายาทของอลาสกันที่มีชื่อเสียงเรื่องแร่ เพชรพลอยและหินเวท และยัง...”
“ขายให้ไม่ได้ครับ” โคพูดขัดเสียก่อนแถมยังส่งสายตาเย็นชาไม่แยแสให้อีกต่างหาก
“หา ! ทำไมขายให้ไม่ได้” ขุนนางหนุ่มตะคอกเสียงดังไม่สนว่าเอลฟ์ที่อยู่เบื้องหน้าคือใคร
“เพราะพวกเราขายให้กับคุณวาเลี่ยมไปแล้วและที่ผลิตอยู่ตอนนี้ก็เป็นหน้าที่ของเขา ส่วนเราก็แค่รอรับเงินส่วนหนึ่งที่อยู่ในสัญญา”
“เวรเอ๊ย ! นี่เรามาเสียเที่ยวเหรอ? ไม่สิเจ้าเครื่องเหลี่ยม ๆ นั่นฉันยังไม่เห็นขายที่ไหนเลย ถ้าเป็นอันนั้นฉันขอซื้อได้ไหม?” เขาชี้ไปที่เครื่องปรับอากาศด้านบน
“พวกเราไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจสิ่งนั้น ถึงเราจะใช้ชื่อว่าเป็นสภาเมืองแต่ทุกอย่างก็ยังต้องผ่านคุณซึฮากิอยู่ดี”
ขุนนางหนุ่มถอนหายใจแสดงอารมณ์ชัดเจน “ซึฮากิอีกแล้ว ก็แค่ไอ้กบฏทำไมถึงมีแต่คนเชื่อฟังกันนะ...”
ทันใดนั้นโคก็กระโจนเข้าใส่โดยใช้มือเสริมกำลังเสมือนเป็นมีดเตรียมปาดคอขุนนางหนุ่มนายนั้น
“จงรู้ไว้ซะว่าที่พวกคุณยังยืนอยู่ที่นี่ได้เพราะคุณซึฮากิบอก ไอ้คำดูถูกพรรค์นั้นเก็บไว้พูดที่บ้านเถอะ” โคปล่อยมือจากคอของขุนนางหนุ่มก่อนจะกล่าวต่อ
“ส่งแขก !” พูดจบเอลฟ์สาวก็เข้ามาแทนและเชิญพวกเขาออกไปจากอาคารสภา เอลฟ์สาวมองด้วยสายตาสาปส่งเป็นการโบกลา
“คุณชายเป็นอะไรครับ?” คนรับใช้และผู้ติดตามต่างก็ตกใจที่ได้เห็นสีหน้าซีดเหมือนโดนคนเอาปืนจ่อหลังตลอดเวลา ความรู้สึกที่ได้เฉียดตายเป็นครั้งแรกทำให้เขานิ่งเงียบเดินขึ้นรถม้าไปทั้งอย่างนั้น
“กะ...กลับบ้าน” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นกลัวจากนั้นก็นั่งเงียบไม่พูดอะไรอีกเลย
หลังจากที่ขุนนางอลาสกันออกไปก็มีเสียงนินทาตามหลังมาไม่หยุด ว่าด้วยเรื่องขุนนางที่เดินทางข้ามแผ่นดินเพื่อมาซื้อสิ่งที่ขายไปแล้ว แต่นั่นก็ไม่เท่ากับคำดูถูกที่ทำให้โคเลือดขึ้นหน้าจึงเป็นเรื่องเล่าที่ได้เห็นสีหน้าโกรธของประธานสภา
“ไล่กลับไปแล้วสินะ” ซึฮากิที่นั่งรออยู่ห้องข้าง ๆ ถาม
“ครับ เขาไร้มารยาทเกินไปที่จะค้าขายด้วย” โคยืนตัวตรงตอบกลับ
“อืม คุณโคทำถูกแล้วล่ะ” ซึฮากิกล่าวให้กำลังใจจากนั้นก็เดินออกไปทันที
ตระกูลอลาสกันกำลังอยู่ในสภาพไม่สู้ดีนัก การแข่งขันของผู้สืบทอดก็สูงแถมผู้นำตระกูลก็ไม่ยอมบอกสถานภาพของตระกูลให้ลูก ๆ ฟังด้วย และการกระทำอันโง่เขลาอย่างการเอาเงินมาซื้อพิมพ์เขียวตู้เย็นหวังเอาไปผลิตขายเพื่อกู้คืนฐานะกลับมาแต่ความรู้ความเข้าใจดันไม่มีเลยแม้แต่น้อย ต่อให้ซื้อรุ่นนี้ไปแต่อีกไม่นานรุ่นใหม่ก็จะผลิตออกทำให้รุ่นเก่าโดนแทนที่
“นี่นายคิดอะไรเยอะอีกแล้วสิท่า” ฟรานเอามือตบหลังเรียกสติกลับมา
“นั่นสินะ แล้วพวกเซนล่ะ?”
“พวกเซนพาเด็ก ๆ ไปฝึกซ้อมต่อ พัฒนาการของพวกเขาไปไวพอ ๆ กับเราเลยนะทั้ง ๆ ที่อายุน้อยกว่า” ระหว่างการเดินเท้าพวกเขาสองคนก็ได้พูดคุยไปเรื่อย
“ใช่ โดยเฉพาะคิโนริที่ใกล้จะขึ้นเลเวลห้าแล้ว นั่นทำให้เพื่อน ๆ ของเธอรู้สึกอิจฉาอยู่บ้างแต่ก็เป็นเหมือนแรงผลักดันเช่นกัน”
“ก็จริงของกิจัง แล้ว...ซีโร่ที่นายแนะนำมาก็คือสเตล่าใช่ไหม?”
“อืม ไม่รู้สิ” เขาฉีกยิ้มบางเหมือนจะหยอกล้อหรือเป็นการตอบว่าใช่ก็ไม่รู้แต่เพราะไม่ค่อยได้เห็นจึงเดาได้ยากเสียจริง
ทั้งสองเดินไปที่ลานประลองที่มีเสียงโครมครามร่ายเวทซัดกันไปมา
“รู้ใช่ไหมว่าเส้นทางที่ฉันเดินไปมันค่อนข้างเสี่ยงเลยทีเดียว”
“รู้สิ เพราะอย่างนั้นแหละฉันจึงต้องไปด้วย” เธอเดินมาขวางทางเพื่อให้ซึฮากิสบตาก่อนจะกล่าวต่อ
"กิจัง...อย่าแบกรับอะไรที่หนักเกินไปล่ะ" ฟรานส่งยิ้มให้กำลังใจจากนั้นก็วิ่งแจ้นไปหาเด็ก ๆ ที่กำลังฝึกซ้อมกันอยู่
สิ่งที่แบกรับเหรอ ก็คงเป็นชีวิตของทุก ๆ คน ต่อให้จะเป็นคนแปลกหน้าแต่ถ้ามาอยู่ร่วมกันในเมืองนี้เราก็จะช่วยให้ใช้ชีวิตได้สุขสบายไร้กังวล ไม่ว่าจะเป็นอาชีพไหนหรือเผ่าอะไร และยังมีสัญญาของคุณวิกตอเรียเรื่องการก้าวข้ามเลเวลเก้าอีก
“เฮ้ ! มานี่เร็วกิ” เซนตะโกนเรียกแต่ไกลเหมือนมีอะไรอยากให้ดู
ซึฮากิรีบวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว รู้ตัวอีกทีเขาก็ไปยืนอยู่ข้าง ๆ เซนแล้ว
“มีท่าอะไรเพิ่มอีกล่ะ?” ซึฮากิถาม
เซนหัวเราะในลำคอและยังกอดอกเหมือนท่าของนักแข่งกีฬาที่ชอบใช้ตอนถ่ายรูป “กระบวนท่าใหม่ที่ฉันคิดค้นมาได้ก็คือมนุษย์ไฟยังไงล่ะ”
พอเซนให้สัญญาณคิโนริก็ใช้ลูกไฟติดไปกับตัวเซน จากนั้นเขาก็วิ่งชนต้นไม้ตรง ๆ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่คิโนริควบคุมลูกไฟให้มาอยู่ตรงหน้าเป็นการผสานกันแปลก ๆ ที่ดูไม่น่าได้ผลอะไรแต่ต้นไม้ก็โดนไฟเผาเป็นจุณไปแล้ว
“เป็นไงล่ะ !” เซนยิ้มฉีกกว้างรู้สึกภูมิใจที่ได้แสดงกระบวนท่าให้เห็น
“ฉันว่าแยกกันใช้เวทมนตร์ของตัวเองก็ไม่ต่างหรอก แต่ก็คงไม่เท่เหมือนแบบนี้ใช่ไหมล่ะ?”
“โธ่...อุตส่าห์คิดกันตั้งนาน” เซนกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงเดินคอตกกลับมาหาเพื่อน ๆ
“ว่าแต่พลังเดอะของนายคือร่างกายกันไฟเหรอ? นอกจากนี้มีความสามารถอะไรอีกไหม?”
“ไม่รู้สิ ฉันก็ไม่เห็นพลังอะไรใหม่ ๆ เหมือนกัน สงสัยจะทำได้แค่นั้นแหละ”
จะแค่นั้นจริง ๆ เหรอ พลังเดอะของเซนมันเป็นพลังเดียวกับราชาแอสต้าเลยนี่ คำยกยอที่ว่าเดอะไฟเออร์ของราชาแอสต้าเป็นพลังเดอะที่แข็งแกร่งที่สุดคงเป็นแค่การแต่งเติมจริง ๆ สินะ
“อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้” ซีโร่พูดเหมือนรู้ว่าซึฮากิกำลังคิดอะไร
“แต่ก็อาจจะเป็นเพราะราชาแอสต้าใช้มันให้มีประสิทธิภาพก็ได้” ฟรานพูดต่อทันทีแถมยังโอบเอวและดึงตัวซึฮากิมาแนบชิด
“แหม ๆ ทำไมถึงจ้องกันขนาดนั้นล่ะ?” ซีโร่ยิ้มเยาะยักคิ้วตั้งใจกวนประสาท
“ไม่...มี...อะ...ไร” ฟรานเน้นเสียงทุกพยางค์เห็นได้ชัดว่าต้องมีอะไรแน่ ๆ พอเป็นเช่นนั้นซีโร่ก็ยิ่งยิ้มชอบใจพยายามเข้ามาประชิดซึฮากิอีก
“นิด...หน่อย...นะ” พอฟรานเห็นเช่นนั้นจึงแยกเขี้ยวขู่ขณะที่ซีโร่ยังยิ้มระรื่นเหมือนกำลังสนุกที่ได้แกล้ง
“พวกเธอเล่นอะไรกันเนี่ย?” ซึฮากิก็ไม่กล้าขยับไปไหนเพราะไม่ว่าฝั่งไหนก็เอาแต่ดึงตัวเขาไว้ จนกระทั่งพวกลิงเมฆาเดินมาหาจึงยอมปล่อยซึฮากิไป
ลิงเมฆาหัวเราะเสียงสูงอย่างกับตัวร้ายในหนัง “กอดกันกลมเชียวนะ”
“อือ ๆ วัยรุ่นนี่มันดีจริง ๆ” เคานต์พยักหน้าตามน้ำไปด้วย
“ช่างสวยงามเสียจริง” เฮร่าผสานมือไว้ที่หน้าอกเพื่ออวยพรให้หนุ่มสาวได้มีชีวิตที่ดี
“มีธุระอะไรเหรอครับ?” ซึฮากิถาม
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอกแค่จะมาเตือนเรื่องการไปหาพวกมนุษย์เงือก” ลิงเมฆาเป็นตัวแทนตอบ
“ถ้าเป็นเรื่องสถานที่ที่เสียเปรียบผมก็คิดเผื่อไว้แล้ว ถ้าเจรจาได้ก็จะทำดีกว่าการทำสงคราม”
“ไม่ใช่แค่นั้นหรอก นอกจากพวกมนุษย์เงือกก็ยังมีภัยธรรมชาติที่รุนแรงยิ่งกว่าสู้กับพวกมันเสียอีก และพวกข้าก็กังวลเรื่องเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นด้วย”
“หมายถึงพวกจ้าวทะเลเหรอ?”
ลิงเมฆาส่ายหน้าเป็นคำตอบ “เจ้าพวกนั้นคงมีการสืบทอดเชื้อสายมาหลายรุ่นแต่ก็ไม่น่ากลัวเท่าสิ่งนั้นหรอก ถึงมันจะตายไปนานแล้วแต่พวกข้าก็ยังกังวลเรื่องของมันอยู่”
“ไม่ต้องห่วงนักหรอกเพราะเราจะพาแคทเทอรีนไปด้วย พลังน้ำแข็งของเธอสามารถสร้างพื้นที่และควบคุมการเคลื่อนไหวของศัตรูได้”
“เหอะ ถ้าพวกเจ้าได้เจอกับตัวคงอยากหนีไปให้ไกลแน่นอน”
ขณะที่ลิงเมฆาเริ่มหงุดหงิดกับการโต้เถียงกับซึฮากิ เฮร่าจึงเข้ามาพูดคุยแทน “เอาเป็นว่าพวกนายก็ระวังตัวกันหน่อยนะ ถ้าเกิดมีปัญหาก็จงหนีก่อนจะไม่มีโอกาส”
“อืม พวกเราจะพยายามถึงจะไม่รู้ว่า...”
“เจ้ามนุษย์ไฟ ! มาสู้กับข้าอีกรอบซะ” บองตะโกนเสียงดังขัดจังหวะคนกำลังพูด จากนั้นเขาก็กระโจนลงไปที่สนามประลองโทรม ๆ เพื่อฟาดฟันกับเซนเหมือนทุกที
สุดท้ายพวกเขาก็ได้มานั่งรวมตัวกันเหมือนมาปิกนิก สักพักพอยูกิเห็นจึงรีบทำอาหารกินเล่นมาเสิร์ฟถึงที่
“บรรยากาศอย่างนี้มันก็ต้องมีของกินด้วยสิ” นอกจากอาหารก็ยังมีน้ำผลไม้ใส่น้ำแข็งเย็น ๆ แถมเขายังยกถังใส่แอลกอฮอล์มาตั้งข้าง ๆ อีกด้วย
ความสงบสุขร่มรื่นค่อย ๆ ดึงดูดผู้คนที่อยู่บ้านหลักมาเรื่อย ๆ
“กลิ่นนี้มัน !” แคทเทอรีนวิ่งหน้าตั้งมาที่ถังแอลกอฮอล์
“ตัดหญ้าเสร็จแล้วเหรอ?” ซึฮากิถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่แววตากลับดุดันเหมือนอาจารย์ห้องปกครองกำลังสอบสวน
“แน่นอน ! ระดับฉันไม่มีคำว่าพลาด”
ซึฮากิเหลือบมองทีโอน่ารอคำยืนยัน “เรียบร้อยแล้วค่ะ” พอได้สบตาเธอจึงตอบกลับทันที
“ถ้างั้นก็เชิญพักตามสบาย”
แคทเทอรีนไม่รอช้าสร้างแก้วน้ำแข็งของตนเองและกดแอลกอฮอล์ออกมาดื่มสบายใจ
“เฮ้ย ๆ ขอแบบนั้นบ้างสิ” บองพุ่งเข้าประชิดหลังจากเห็นแก้วน้ำแข็ง
“ข้าด้วย !” ลิงเมฆาก็มายืนมุงด้วยอีกคน
ผ่านไปไม่นานนาธาและอาจารย์อลิสก็ตามมาร่วมวงด้วย
“ช่วงนี้ยุ่ง ๆ สินะ” นาธานั่งลงข้าง ๆ ซึฮากิ
“ครับ พอดีว่ามีเรื่องให้ทำหลายอย่าง”
“เหรอ...ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกได้เลย” ขณะที่กำลังนั่งคุย อลิสที่เมาจนหน้าแดงก็ลากตัวนาธาออกไปเต้นกันสนุกสนานโดยมีเหล่าคนแคระมาช่วยบรรเลงเพลงให้
พอรู้สึกตัวอีกทีสถานที่แห่งนั้นก็กลายเป็นลานเฉลิมฉลองอย่างมิได้นัดหมาย แม้แต่วีด้าก็โดนคนอื่นชวนมาอีกทีถึงจะไม่อยากเห็นหน้าซึฮากิก็ตาม
“ชน !” เสียงร้องเฮลั่นพร้อมเพรียงกันอย่างกับนัดกันมา หลาย ๆ คนก็เริ่มเมาจนหัวทิ่ม บางคนยิ่งเมายิ่งคึก บางคนก็ดื่มไม่เมาเสียที ยกเว้นซึฮากิที่ไม่แตะสักแก้วเอาแต่ดื่มน้ำผลไม้
แบบนี้ก็ไม่เลวนะ เบื้องหลังของแก้วน้ำที่กำลังกระดกดื่มมีรอยยิ้มเล็ก ๆ ซ่อนอยู่ แววตาอันอ่อนโยนมองดูเหล่าพวกพ้องกำลังยิ้มสนุกเริงร่าจึงพลอยมีความสุขไปด้วย
อีกด้านหนึ่งที่เกาะร้างห่างไกลผู้คนมีกลุ่มคนนั่งรายล้อมโต๊ะประชุม เสียงลมทะเลพัดผ่านเย็นสดชื่นแม้จะนั่งอยู่ท่ามกลางแสงแดดก็ตาม
“พักหลังมานี้เรียกประชุมบ่อยจริง ๆ นะ” ฮิโยรินั่งขมวดคิ้วระหว่างที่รอคนมาครบ
“มันใกล้เข้ามาแล้ว” ไรลี่ที่เดินผ่านประตูมิติมาพอดีจึงกล่าวสั้น ๆ ก่อนจะนั่งลงหัวโต๊ะ
“วันเกิดเหรอ?” ฮิโยริถามกลับเล่นเอาเพื่อน ๆ กุมขมับ
“สงครามเว้ย ! สงคราม” เนเน่ตะคอกสวนกลับ หลังจากนั้นพวกเธอก็ต่อล้อต่อเถียงกันอยู่พักหนึ่งกว่าจะกลับมาประชุมได้ปกติ
“สงครามครั้งใหญ่ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว...แต่เหล่าลูกศิษย์หรือแม้กระทั่งตัวพวกเราเองก็ยังไม่พัฒนาไปไหนเสียที ถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไปพวกเราคงพ่ายแพ้อีกแน่ ๆ” ไรลี่กล่าวขณะที่นั่งเอนหลังถอนหายใจ
“อืม...พวกเราคงพัฒนาไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้วแหละ” เนเน่เหม่อมองท้องทะเลพลางยิ้มบางให้กำลังใจตนเองไปด้วย ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจกำลังกัดกินแรงผลักดันจนไม่อยากทำอะไรอีกแล้ว
“นั่นสินะ...” แม้แต่ฮิโยริที่มักจะกัดกับเนเน่ยังต้องยอมรับ น้ำเสียงอันเรียบนิ่งแสดงให้เห็นถึงอาการหมดไฟลามไปถึงคนรอบข้างด้วย
“เพราะอย่างนั้นแหละฉันถึงต้องเรียกประชุมอีก” ไรลี่ตบโต๊ะเพื่อเรียกสติของทุกคนกลับมา พอทุกคนหันมาสบตาเขาจึงกล่าวต่อ
“เนเน่จัง บอกเมอร์ให้ก่อกบฏยึดมหาสมุทรทั้งหมดซะ”
“เดี๋ยวก่อนสิ ถ้าเมอร์ทำอย่างนั้นมีหวังโดนโจมตีรอบด้านแน่ ๆ แถมเธอก็ยังอ่อนแอเกินกว่าจะสู้กับจ้าวทะเลคนอื่นได้ด้วย”
“ไม่เป็นไร จงใช้ประโยชน์จากคนนอกซะ ถึงจะดูไม่น่าไว้ใจแต่ฉันไม่เคยโกหกพวกเธอนะ...เพราะฉะนั้นเชื่อฉันเถอะ” ทั้งสองสบตากันเพื่อดูว่าภายในใจกำลังโกหกอยู่หรือไม่
“ที่ต้องทำอย่างนั้นก็เพื่อสร้างจุดวิกฤติให้เกิดการพัฒนา นอกจากลูกศิษย์ของเนเน่ก็คงมีลูกศิษย์ของฮิโยริกับแอนจังที่ต้องสร้างจุดวิกฤติ”
“เดี๋ยวสิ ลูกศิษย์ของฉันไม่ใช่สายต่อสู้นะ จะให้ไปเจอวิกฤติอะไรแบบนั้นไม่ได้หรอก” หญิงสาวผู้ที่นั่งสุขุมเรียบร้อยมาตลอดเอ่ยปากเถียงกลับ
“จุดวิกฤติที่ว่าไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องการต่อสู้เสมอไป จุดวิกฤติคือจุดที่ทำให้คนคนนั้นดึงศักยภาพของตนเองออกมาให้มากที่สุดจนก้าวข้ามจุดที่ตนเองยืนอยู่ ที่ใช้วิธีนี้เพราะแต่ละคนอยู่ในจุดอิ่มตัวทำให้เกิดการพัฒนาได้ยาก...ดังนั้นช่วยเข้าใจหน่อยนะ” ไรลี่ส่งยิ้มอันเป็นมิตรให้กับทุกคนแต่กลับได้เห็นสีหน้าเบื่อหน่ายกลับมาแทน
“หรือว่าที่ให้ลูกศิษย์ของฉันไปอยู่กับเจ้าเด็กนั่นก็เพื่อให้เจอจุดวิกฤติสินะ” ท่ามกลางบรรยากาศเงียบเชียบก็ได้ยอซพูดเปลี่ยนบรรยากาศ
“ก็ใช่ และนายก็จะเข้าใจว่าทำไมฉันถึงให้ทำอย่างนั้น ว่าแต่เนเน่จังไม่ได้บอกคนอื่นไว้เหรอว่าห้ามใครเข้าใกล้เกาะนี้” ไรลี่ลุกจากเก้าอี้เดินไปที่ริมชายหาด สายตามองตรงไปข้างหน้าเห็นคลื่นน้ำที่อยู่ห่างออกไปกำลังเข้ามาใกล้
“บอกหมดทุกเขตแล้วนะ...หรือว่ามีคนตั้งใจฝ่าฝืน”
ทันใดนั้นสัตว์อสูรขนาดยักษ์ก็กระโดดขึ้นเหนือผิวน้ำและกำลังจะจู่โจมพวกเขา
“สงสัยพวกเราต้องย้ายที่ประชุมซะแล้ว” ไรลี่ชักดาบจากฝักและฟันลงตรง ๆ ก่อนจะเก็บดาบอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเขาก็หันหลังมาเพื่อพูดกับเพื่อน ๆ ต่อ
“เจ้านั่นมันรู้ที่อยู่ของเราแล้ว”
ซากสัตว์อสูรที่โดนผ่าครึ่งกำลังร่วงลงน้ำซึ่งมีเครื่องติดตามติดอยู่บนหัวของมันด้วย
“ให้ตายสิ อุตส่าห์หลบมาตั้งนานสุดท้ายก็ตามมาเจอจนได้สินะ” ยอซเปิดประตูมิติเตรียมพาคนอื่นกลับ
“อืม รีบไปกันเถอะ” เหล่าจอมมารทั้งหกได้เดินเข้าประตูมิติและแยกย้ายกันกลับบ้านของตนเอง
4 มิถุนายน พ.ศ.2576
เหล่าผู้คนได้มายืนอยู่ท่าเรือเพื่อชมการเปิดตัวของเรือสุดล้ำสมัยที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน
“ที่นายไปสร้างไว้ตอนไหนเนี่ย?” เซนยังต้องอ้าปากค้าง
“ก็นานอยู่นะ เพราะยังไงก็ต้องมีการเดินทางทางน้ำอยู่แล้ว เลยทำพิมพ์เขียวและสอนคนงานล่วงหน้าไว้แล้ว ส่วนของที่มีความละเอียดสูงฉันจะเป็นคนทำเอง”
พวกเขาใช้แรงงานจำนวนมากเพื่อขนย้ายเรือมาจากเมือง วินาทีที่มันได้ลงสู่ทะเลก็มีเสียงปรบมือตามมาติด ๆ โดยเฉพาะเหล่าผู้คนที่ได้ร่วมมือสร้างมันขึ้นมา ความรู้สึกภาคภูมิใจกำลังเอ้อล้นเหมือนได้เห็นลูกของตนเองเดินได้ครั้งแรก
“มีชื่อหรือยัง?” ฟรานถาม
“มีสิ เรือรบหมายเลขหนึ่ง”
“เออ...” ทุกคนที่ได้ยินต่างก็ต้องส่ายหน้า
“ฉันว่าหาชื่อเท่ ๆ ให้มันเถอะ” คานะพยายามใช้หัวคิดก่อนจะพูดต่อ
“เอาเป็น...เกรย์เอลโฟเรียไหม ไหน ๆ ก็เป็นเรือลำแรกของเมืองแล้วก็เอาชื่อเมืองเรียกไปเลยก็ได้”
“ก็เข้าท่านะ” เซนยิ้มฉีกกว้างพร้อมวิ่งไปยืนริมท่าเรือจากนั้นก็หันหลังกลับมาหาเพื่อน ๆ
“มาเร็วทุกคน !” เขาตะโกนเรียกให้ไปยืนเรียงกันตรงนั้น
บรรยากาศเป็นกันเองทำให้แคทเทอรีนและทีโอน่ารู้สึกสบายอย่างไม่น่าเชื่อ แม้พวกเธอจะเคยเป็นศัตรูแต่พอได้มาอยู่ร่วมกันจึงเริ่มผูกพันจนกลายเป็นเพื่อนคนหนึ่ง
คานะตั้งกล้องจนได้มุมจากนั้นก็ตั้งโหมดถ่ายดีเลย์ไว้
“เอาล่ะ หนึ่ง...สอง...สาม !”
ทั้งเซน คานะและฟรานต่างก็ช่วยกันนับถอยหลังแม้ด้านหลังจะแย่งที่ยืนกันวุ่นวายไปบ้าง สุดท้ายก็ได้รูปถ่ายรวมโดยมีฉากหลังเป็นเรือลำยักษ์กำลังชักธงขึ้นสู่ยอดเสาเพื่อเป็นการแสดงสัญลักษณ์
เสียงหัวเราะสนุกสนานลั่นหลังจากได้เห็นรูปถ่ายที่ซีโร่กำลังทำท่าจะกัดหัวฟราน นอกจากนี้ก็ยังมียูกิที่ยืนหน้าบึ้งเพราะโดนลากมาถ่าย แถมมีเหตุการณ์วุ่นวายกับพวกที่แย่งที่ยืนกันอีกแต่ถึงกระนั้นนี่ก็เป็นภาพแห่งความทรงจำอันล้ำค่าอีกใบ
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 180
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น