STARCIN ภาคที่ 6 OverThrow ตอนที่ 36 มูลเหตุ
28 เมษายน พ.ศ.2576
วันคืนแห่งความสูญเสียได้หมดลงแต่ผู้ที่เหลือรอดคงมีภาพจำที่จะสลักอยู่ภายในใจตลอดไป ท้องฟ้าปลอดโปร่งที่ไร้ซึ่งหิมะแต่ผืนแผ่นดินกลับหนาวเย็นจนเหมือนกระดูกกำลังถูกแช่แข็ง ร่องรอยของการต่อสู้อันดุเดือดที่ไปเล่าให้ใครฟังก็ไม่อาจเชื่อได้จนกว่าจะได้มาเห็นด้วยตัวเอง
“แคทเทอรีน...” ทีโอน่าตื่นขึ้นมาในแคมป์ชั่วคราวที่มีหน่วยแพทย์จากไหนไม่รู้มาคอยช่วยเหลือพวกเธอ
“ผู้บาดเจ็บอาการโคม่าสิบห้าคน !” เสียงของเอลฟ์สาวผู้ที่เป็นเหมือนหัวหน้าหน่วยแพทย์เอ่ยขึ้น
"รับทราบครับ"
“ติดเชื้อในกระแสเลือดห้าสิบคน !”
คำสั่งของเธอถ่ายทอดต่อไปเป็นทอด ๆ ทำให้ทั้งแคมป์วุ่นวายกับการรักษาอาการผู้บาดเจ็บทั้งหลาย แม้เหล่าแพทย์พวกนั้นจะมืออาชีพแค่ไหนแต่ด้วยจำนวนที่แตกต่างกันมากจึงทำให้การรักษาล่าช้าจนมีคนเสียชีวิตกลางคัน
“ทำงานกันขยันขันแข็งจริง ๆ ถ้าซึฮากิได้เห็นคงต้องชมแน่ ๆ” โทลเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้มเพื่อเพิ่มขวัญกำลังใจให้คณะแพทย์เหล่านั้น
“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณโทล”
“อืม ไม่ต้องใส่ใจฉันหรอกทำงานของเธอต่อไปนั่นแหละ”
“พวกคุณเป็นใครกันแน่? ใครเป็นคนส่งมาหรือจะเป็นราชวงศ์” ทีโอน่ายันตัวเองขึ้นนั่งแต่พอมองไปรอบ ๆ แขนทั้งสองของเธอก็ไม่มีอีกแล้วได้แต่นอนกลิ้งไปมา
“ตื่นแล้วสินะคนสนิทของจักรพรรดินี” หัวหน้าหน่วยแพทย์ก้าวเดินเข้ามาหาเหลือบมองด้วยแววตาสมเพชเวทนา
เอลฟ์สาวผู้นั้นดึงตัวทีโอน่าขึ้นนั่งจึงเห็นขาที่ได้รับบาดเจ็บหนักจนถึงขั้นดามไว้มันก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกอนาถใจตัวเองเข้าไปใหญ่ ถ้าเป็นคนที่จิตใจไม่เข้มแข็งพอก็อาจจะยอมตายดีกว่าต้องมาอยู่ในสภาพนี้แต่เพราะเธอก็เคยคิดถึงจุดนี้มาก่อนแล้วจึงพอรับมันได้
ไม่คิดเลยว่าเรื่องที่พูดกันเล่น ๆ เมื่อสิบปีก่อนมันจะได้เจอกับตัวเอง
“แล้วตอบได้หรือยังว่าใครส่งมา?” ทีโอน่ายังคงตอบโต้อย่างใจเย็นแม้แววตาจะเหม่อลอยบ่อยครั้ง
“เราบอกได้ไหมคะคุณโทล?” เอลฟ์สาวหันไปกระซิบคุยกับโทลกันสองคนมันยิ่งทำให้ทีโอน่าอยากรู้อยากเห็นเข้าไปอีก
“หัวหน้าของเรายังไม่ประสงค์บอกนาม เมื่อถึงเวลาอันสมควรเขาจะมาบอกด้วยตัวเองค่ะ”
“เหรอ...แล้วตอนนี้สงครามเป็นยังไงบ้าง?” ทีโอน่าเอ่ยถามด้วยความสงสัยและหวาดหวั่นว่ามอร์เดร็ดกำลังทำอะไรอยู่ที่ไหน
“สงครามจบลงแล้วโดยมีจักรพรรดินีกับหัวหน้าของเราช่วยกันกำจัดมอร์เดร็ด แต่ตอนนี้เราก็ยังวางใจไม่ได้เพราะต่อให้อาเธอร์ตายไปแล้วกองทัพก็อาจจะยังเปิดฉากโจมตีได้อีก”
“พวกเขาจะไม่ทำแบบนั้นถ้าได้เห็นพลังของมอร์เดร็ดที่ยากจะจินตนาการถึง สำหรับฉันคงบอกว่าเป็นจอมมารตนใหม่เลยก็ว่าได้...แสดงว่าหัวหน้าของพวกเธอก็คงไม่ธรรมดาเหมือนกันสินะที่กำจัดจอมมารตนใหม่ได้”
“ถ้าพูดถึงภาพที่เห็นคงต้องบอกว่าเป็นฝีมือของจักรพรรดินีซะส่วนใหญ่แต่หากไม่มีหัวหน้าของเราเธอก็คงจะพ่ายแพ้ไปแล้ว ช่างเรื่องนั้นไปก่อนเพราะเราจำเป็นต้องใช้เธอที่มีอำนาจรองลงมาจากจักรพรรดินีเพื่อเป็นผู้นำชั่วคราว”
ทีโอน่าถอนหายใจสั้น ๆ ก่อนกล่าวออกมา “พวกเขาคงจะยอมรับหรอก คนฝั่งเราส่วนใหญ่เป็นนักผจญภัยที่ไม่ได้ขึ้นตรงต่อจักรพรรดินีคงยากที่จะสั่งให้พวกเขาทำอะไรได้ดั่งใจ แถมดูสภาพของฉันตอนนี้สิ...ไม่มีความน่าเกรงขามหรือความน่าเชื่อถือให้ทำตามคำสั่งเลยสักนิด”
“มีอะไรให้ช่วยไหมคะลุงโทล?” ขณะที่กำลังพูดคุยเจรจาฟรานก็เดินเข้ามาแทรกเสียก่อน
“โอ้ เอาเป็นฟรานดีไหมถ้าเป็นเธอก็คงจะคุมคนได้เหมือนกัน” โทลยิ้มอย่างมีเลศนัยเสนอความเห็นแปลก ๆ เช่นนี้ให้กับพวกเธอ
ฟรานขมวดคิ้วสงสัยในคำพูดเหล่านั้นแต่ก็ได้แต่ยืนมอง
“นายหญิงนี่เอง ถ้าเป็นนายหญิงฉันก็ไม่เกี่ยงหรอกนะ”
“ใช่ไหมล่ะถ้าเป็นฟรานต้องทำได้แน่ ๆ” ทั้งสองต่างก็เห็นด้วยอย่างไม่ต้องสงสัยแต่ก็มีแค่ฟรานที่สงสัย
สายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังจ้องมองฟรานจนเธอต้องเอ่ยคำที่บ่งบอกถึงอารมณ์ความรู้สึกงุนงงออกมาทันที
“คะ?”
หลังจากนั้นฟรานก็ได้เข้าร่วมการช่วยเหลือคนเจ็บโดยใช้เวทรักษาที่อยู่ในระดับสูงกว่าคนทั่ว ๆ ไปทำให้แผลหายได้ไวยิ่งขึ้นแต่ก็ไม่อาจช่วยสร้างแขนหรือต่อเติมอวัยวะได้อยู่ดี
“ทุกคนทำได้ดีมาก ตอนนี้สามารถไปพักตามการจัดเวรยามได้แล้ว” หัวหน้าหน่วยแพทย์ปรบมือเป็นสัญญาณของความสำเร็จก่อนจะแยกย้ายกันไป
“นายหญิงพร้อมแล้วใช่ไหมคะ?” สีหน้าท่าทางตื่นเต้นของเอลฟ์สาวช่างตรงกันข้ามกับฟรานที่กำลังถอนหายใจเสียเหลือเกิน
“แล้วฉันต้องทำยังไงบ้าง?” ฟรานถามกลับทันควันเพราะรู้สึกไม่ชอบพามากล
“ง่ายมากค่ะ เราจะประกาศสงบศึกโดยให้นายหญิงเป็นตัวแทนค่ะ”
“แล้ว...ยังไงต่อ?” ฟรานถามต่อทันทีที่หญิงสาวผู้นั้นเงียบ
“มีแค่นั้นแหละค่ะ ทีนี้ก็เตรียมตัวให้พร้อมนะคะ” เธอลากตัวฟรานไปยังด้านหน้าของแคมป์เพื่อให้ทั้งคนเจ็บและคนที่ปกติสุขได้เห็นชัด ๆ
ให้ตายสิทำไมต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วยเนี่ย ป่านนี้กิจังเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้น่าจะปลีกตัวออกไปตามหาดีกว่า
สายตาของเหล่านักผจญภัยและนักโทษที่เหลือรอดต่างก็จ้องมองฟรานตาไม่กะพริบ หญิงสาวที่แต่งตัวในชุดทันสมัยแตกต่างจนเห็นได้ชัดแถมยังเปล่งออร่ามานาออกมาพร้อมกับพลังบวกที่แค่เห็นก็ทำให้รู้สึกดี
เอาก็เอาวะ ฟรานสูดหายใจเข้าออกลึก ๆ เป็นการรวบรวมสมาธิเพื่อกล่าวคำเหล่านี้
“ก่อนอื่นก็ขอแนะนำตัวก่อน ฟราน เลสเทีย เรียกแค่ฟรานเฉย ๆ ก็ได้ พวกเราเห็นถึงความสูญเสียของเหล่าประชาชนของอาณาจักรนอดจากสงครามที่เกิดขึ้นเพราะคนเพียงหยิบมือ หลังจากที่สถานการณ์สงบลงเราจึงยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกคุณทุกคนโดยหวังว่าจะลดความสูญเสียได้บ้าง แม้ชนวนสงครามจะหายไปแล้วแต่เถ้าถ่านก็อาจจะลุกกลับมาอีกครั้งก็ได้ ดังนั้นเราจะทำหน้าที่เป็นตัวกลางเพื่อจบสงครามบ้า ๆ นี่เสียที”
ท่าทางมั่นอกมั่นใจและเสียงอันไพเราะมั่นคงทำให้ผู้ฟังคล้อยตามราวกับมนต์วิเศษที่เสกให้คนเชื่อฟังได้ เทคนิควิธีการพูดให้เข้าถึงใจคนถ้าสามารถบรรลุได้ก็จะสามารถจูงใจคนได้อย่างง่ายดาย
“แม่สาวน้อย เธอเป็นผู้นำของพวกนั้นใช่ไหม?” เสียงอันคมเข้มจากชายร่างสูงใหญ่ที่กลอกตามองหน่วยแพทย์เหล่านั้น
ฟรานอ้ำอึ้งคิดว่าจะตอบกลับอย่างไรดีแต่พอหันไปมองเอลฟ์สาวที่เป็นหัวหน้าหน่วยแพทย์เธอก็พยักหน้าให้ฟรานตอบว่าใช่ไป
“ถูกต้องฉันเป็นหัวหน้าของพวกเขาเอง”
“ดี ! ถ้าอย่างนั้นก็รีบสั่งให้พวกของเธอไสหัวออกไปได้แล้ว” น้ำเสียงขึงขังตวาดดังลั่นราวกับไปสร้างความแค้นอะไรไว้
“เดี๋ยวสิครับหัวหน้า” วิยาพยายามเกลี้ยกล่อมให้ยาซากะสงบลงแต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล
“คนนอกอย่างพวกเธอทำไมถึงมาช่วยพวกเรา เหตุผลมันไม่ใช่เรื่องเห็นอกเห็นใจหรือเมตตาอะไรพวกนั้นหรอกแต่พวกมันหวังประโยชน์อยู่แล้ว ถ้าเกิดเราคล้อยตามและให้พวกมันเข้ามามีส่วนก็อาจจะปลอดภัยตอนนี้แต่ก็คงจะถูกใช้เป็นเชลยไม่ก็แรงงานทาสสินะ”
คำพูดที่ดูน่าเชื่อถือจากคนที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของแคทเทอรีนทำให้พรรคพวกของเขาค่อย ๆ ย้ายฝั่งไปเห็นด้วยกับยาซากะ
“ก็จริงทำไมคนนอกถึงต้องเข้ามามีส่วนร่วมถ้าไม่อยากได้อะไร”
“นั่นสิแถมยังส่งสาวสวยมาเพื่อหลอกล่อแบบนี้คงจะวางแผนไว้แล้วแน่ ๆ”
คำครหาค่อย ๆ ทวีคูณยิ่งขึ้นและส่งต่อให้คนรอบ ๆ จนถูกความเชื่อนั้นกลืนกินไปจนหมด
ขณะที่พวกฟรานกำลังถูกกดดันให้ออกไปก็มีเสียงหัวเราะชอบใจกับเหตุการณ์วุ่นวายแบบนี้
“แค่แวะไปทิ้งระเบิดแป๊บเดียวก็มีเรื่องวุ่นวายซะได้ ดูท่าเราคงใจอ่อนเกินไปสินะ” โทลเดินไปยืนข้าง ๆ ฟรานที่ค่อยแบกหน้ารับแรงกดดันจากคนแปลกหน้าที่พึ่งจะช่วยรักษาอาการแท้ ๆ
โทลลูบหัวฟรานที่อดทนไม่แสดงท่าทีโกรธเลยแม้จะต้องเผชิญหน้ากับพวกเขาเหล่านั้น
“เป็นอย่างที่ซึฮากิบอกเลยว่าพวกเขาอาจจะไม่ยอมทำตามหากไม่ได้คนสนิทของแคทเทอรีนมาเป็นคนชี้นำ แต่ก็มีแผนสำรองอยู่แล้วและมันค่อนข้างจะรุนแรงไปหน่อย” ทันใดนั้นหน่วยแพทย์ทุกคนก็หยิบหน้ากากกันแก๊สขึ้นมาใส่โดยที่พวกยาซากะไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร
“บุกเข้าไปเลยก่อนที่พวกมันจะเล่นตุกติก !”
ยาซากะตะโกนสั่งแต่พวกเขากลับไร้เรี่ยวแรงแค่จะเดินก็ลำบากมากพอแล้ว สิ่งที่เห็นก็มีเพียงแววตาที่กำลังหัวเราะสะใจผ่านหน้ากากของโทล
“แก๊สไร้สีไร้กลิ่นที่ซึฮากิทำไว้ให้มันใช้งานได้ดีจริง ๆ”
“แล้วฟรานกลับได้หรือยังคะ? หรือจะมีงานอะไรให้ทำอีก” เวลาคุยกับผู้หลักผู้ใหญ่เธอมักจะเรียกแทนตัวเองด้วยชื่อแต่บางครั้งก็ใช้คำแทนตัวเองทั่ว ๆ ไปเช่นกัน หลังจากเห็นสภาพอ่อนแรงของพวกเขาเธอก็ได้แต่คิดสงสารและสมน้ำหน้าในคราวเดียวกันแต่อย่างน้อยมันก็ไม่ได้อันตรายถึงชีวิต
“ยาพิษเหรอ? พวกแกกะจะฆ่าพวกเราทั้งหมดเลยใช่ไหม?” ยาซากะลากสังขารที่ไม่สู้ดีนักค่อย ๆ เดินเข้าหาโทลพยายามจะจับตัวเขาไว้
“อะอา...มือไม้อ่อนเชียวพ่อหนุ่มตัวโต” แค่เทียบมือของยาซากะกับมือของโทลมันก็เหมือนกับตอนจับมือกับเด็กพึ่งเกิดแต่ไม่ว่าจะออกแรงแค่ไหนยาซากะก็ไม่สามารถทำอะไรโทลได้เลย
หลังจากที่เยาะเย้ยท่าทางขึงขังของยาซากะโทลก็กดตัวยักษ์ใหญ่ตรงหน้าลงพื้นก่อนจะกล่าวต่อ
“เธอยังมีอีกหนึ่งอย่างที่ต้องทำ ก็คือไปฝั่งกองทัพเพื่อแจ้งข่าวสำคัญของสงครามให้รู้ก่อนจะเกิดการปะทะอีกครั้ง”
ฟรานแบะปากไม่พอใจแต่ก็ทำตามแต่โดยดี “ก็ได้ค่ะฟรานจะรีบทำให้มันจบ ๆ จะได้กลับเสียที”
เธอและคนนำทางตรงไปยังกองทัพที่อยู่ห่างออกไปเกือบสิบกิโลเมตรซึ่งจะมีค่ายพักชั่วคราวตั้งอยู่ การปรากฏตัวของเธอทำให้กองทัพแตกตื่นคิดว่ามีศัตรูล่วงรู้ตำแหน่งของค่ายจึงพากันเตรียมพร้อมเพื่อกำจัดฟราน
วิธีที่ทำให้คนยอมฟังหรือยอมทำตามเหรอ? วิธีมันก็ไม่ได้มีมากอะไรนักหรอกแต่สำหรับเธอก็คงมีสองทาง ถ้าไม่แสดงความจริงใจที่ยากต่อการปฏิเสธก็จงแสดงพลังอำนาจที่ยากจะต่อกร
นั่นคือสิ่งที่กิจังเคยบอกเอาไว้แต่ไม่คิดเลยว่าจะได้ใช้ตอนนี้
ฟรานยืนนิ่งต่อหน้ากองทัพหลายร้อยหลายพันนายโดยไม่มีท่าทีถอยแม้มือไม้จะสั่นแต่ก็ยังเก็บอาการไว้ไม่ให้เห็นด้านอ่อนแอ
“นังนั่นกำลังทำอะไรอยู่กันแน่?”
“ข้าจะไปรู้เหรอแต่คำสั่งให้กำจัดผู้บุกรุกทันทีเพราะฉะนั้น...” ทหารแนวหน้าได้แต่สงสัยว่าเหตุไฉนหญิงสาวผู้นั้นถึงยืนนิ่ง ตอนแรกก็คิดว่าเป็นการเพ่งรวมมานาแต่พอเข้าใกล้กลับไม่มีแรงกดดันเหล่านั้นเลยสักนิด
“เรามาเพื่อพูดคุย ! พวกท่านจงเปิดทางให้เราเดี๋ยวนี้” ฟรานโยนอาวุธทั้งหมดทิ้งต่อหน้าเพื่อความบริสุทธิ์ใจแต่ท่าทางของทหารเหล่านั้นกลับไม่เป็นไปตามที่คิด
"หลีกไป !" น้ำเสียงอันคมเข้มกล่าวด้วยความหงุดหงิดก่อนจะเดินแหวกทหารชั้นแนวหน้าออกมา
“เรามาเพื่อแจ้งข่าวสำคัญเท่านั้น !”
“ยกมือเหนือศีรษะแล้วหันหลังไป !” ปอร์ธอสตะโกนสั่งด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างไม่มีการอ่อนข้อ
ฟรานทำตามแต่โดยดีและเมื่อเธอหันหลังปอร์ธอสก็เข้ามาประชิดตัวพร้อมกับกดเธอลงพื้นไว้แบบนั้น
“เธอมาจากไหน? ใครเป็นคนส่งเธอมา?”
“พวกเราก็แค่พลเมืองที่รู้เหตุการณ์ทั้งหมด สงครามและความบาดหมางทั้งหมดเป็นแผนของอาเธอร์เท่านั้น เมืองเอเธนที่พังพินาศไปก็เป็นฝีมือเขาด้วยเช่นกัน”
“ใครจะไปเชื่อคนนอกอย่างพวกแกล่ะ ดูจากการแต่งตัวก็คงไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาแน่ ๆ แถมออร่ามานาภายในตัวก็แข็งแกร่งใช่เล่นเลยนี่”
ฟรานนึกคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับไป
“ผู้คนที่ตายในเมืองเอเธนกลายเป็นพลังให้กับมอร์เดร็ดที่มีพลังเดอะคิวเลอร์และออกอาละวาดไปทั่ว ถ้าจักรพรรดินีไม่ขัดขวางไว้อาณาจักรนอดก็คงเละไปหมดแล้ว”
ปอร์ธอสที่ได้ยินเช่นนั้นจึงใช้แขนกดคอเธอกับพื้นเป็นการบังคับให้พูดความจริง
“เลิกอ้อมค้อมแล้วพูดเป้าหมายของพวกแกสักที !”
“พวกเราก็แค่จะมาบอกว่าสงครามมันจบแล้วไม่จำเป็นต้องมีการสูญเสียอีก”
ปอร์ธอสเหลือบมองไปข้างหน้าที่ที่ไร้ซึ่งเสียงระเบิดหรือการฆ่าฟันพลางคิดในใจว่าจะเชื่อคนแปลกหน้าดีไหม ถ้าเกิดเขาสั่งถอนทัพแล้วสงครามยังไม่จบนั่นหมายความว่าตัวเขาได้ละเลยหน้าที่สำคัญในการปกป้องบ้านเมืองเสียเอง
ปอร์ธอสลุกออกจากตัวฟรานก่อนจะกล่าวต่อ
“หลักฐานล่ะ?”
บรรยากาศอันเคร่งขรึมทำเอาทหารเหล่านั้นเหงื่อตกแต่ฟรานกลับลุกขึ้นยืนและยังยิ้มสดใสส่งให้ก่อนจะตอบ
“ก็คงบอกได้แค่ลมปากแต่หากไปเห็นด้วยตาตัวเองก็คงดีกว่า”
ปอร์ธอสหัวเราะในลำคอก่อนจะหันหลังเดินกลับไปยังค่ายพัก ชายผู้เป็นทหารชั้นสูงกล้าหันหลังให้กับคนแปลกนั่นอาจจะเป็นเพราะฟรานทิ้งอาวุธและยอมทำตามตั้งแต่ตอนแรกทำให้เขาเชื่อว่าอย่างน้อยก็ไม่ใช่ศัตรู
“เป็นยังไงบ้างครับท่าน” หลายคำถามต่างก็ยิงเข้ามาไม่หยุดแต่เขาก็เลือกที่จะไม่ตอบอะไรและกลับไปยังที่พัก
“ได้เรื่องไหม? หรือจะเป็นลูกน้องของแคทเทอรีน” เอธอสถาม
“อืม...คงจะไม่ใช่ เพราะฉันไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อนเลย”
“แหม ๆ เธออาจจะเป็นหนึ่งในกลุ่มนักโทษก็ได้” อารามิสเม้มปากสงสัย
“ก็จริงแต่ฉันกลับรู้สึกดีแปลก ๆ ตอนที่อยู่ใกล้ ๆ เธอ...หรือจะเป็นพลังเดอะอะไรสักอย่าง” หนุ่มวัยกลางคนที่ผ่านสมรภูมิมามากกว่ากลับถูกเสน่ห์ของฟรานทำให้หวั่นไหว แม้แต่พี่น้องร่วมสาบานทั้งสองก็สามารถมองออกตั้งแต่แววตาท่าทางที่เหมือนกำลังเหม่อคิดเรื่องอื่นอยู่ตลอด
“แล้วสรุปเราจะเอายังไง? ถอนทัพหรือจะปักหลักอยู่ที่นี่ไปก่อน” เอธอสถาม
“ฉันคิดว่าปักหลักรอดูสถานการณ์ก่อนดีกว่า แต่ให้พวกทหารผ่อนกำลังแล้วไปพักผ่อนกันบ้างเดี๋ยวจะเป็นเรื่องถ้ามีคนล้มตายมากกว่านี้”
“เอาตามนั้นก็ได้” อารามิสยักไหล่เออออตามไม่ได้คิดให้ปวดหัว
หลังจากนั้นฟรานก็กลับไปยังที่พักบอกเล่าสถานการณ์ของอีกฝั่งให้กับลุงโทลรับรู้ แรกเริ่มเดิมทีแผนของซึฮากิก็แค่เป็นมือที่สามรอเข้ามาแทรกในจังหวะที่พอดีแต่ดันมีการจุติของมอร์เดร็ดทำให้ทุกอย่างวุ่นวายไปหมดจนต้องออกโรงก่อนเวลาและแผนก็เปลี่ยนไปทันที
“แล้วพวกเราต้องทำยังไงต่อคะ?” ฟรานถอนหายใจนั่งคิดไม่ตก
“อืม แผนขั้นต่อไปหลังจากแสดงตัวให้ทั้งสองฝั่งรู้ก็คือการเชื่อมสัมพันธ์ เราจะค่อย ๆ ให้การช่วยเหลือและพัฒนาความไว้เนื้อเชื่อใจให้มากที่สุดซึ่งเป้าหมายสูงสุดก็ยังเป็นอำนาจเด็ดขาดของอาณาจักรนอดแต่ถ้าไม่ได้ก็ขอแค่สามารถค้าขายได้ก็พอ นั่นคือสิ่งที่ซึฮากิบอกไว้” ตลอดเวลาการอธิบายโทลก็ยิ้มแบบภาคภูมิใจแต่ก็ดันมาติดที่ลงท้ายด้วยซึฮากิไม่อย่างนั้นก็คงทำให้คนฟังเชื่อว่าเป็นแผนของเขาไปแล้ว
“แล้วเราจะไปตามหาซึฮากิได้เมื่อไรคะ?”
“นั่นสิ ลุงก็ไม่รู้ว่าพวกเขาเริ่มการบ่มเพาะตอนไหนแต่ปกติการบ่มเพาะจะใช้เวลาประมาณสามเดือน”
“บ่มเพาะ?”
โทลกระตุกยิ้มอย่างกับรอคำถามนี้มานาน
“การบ่มเพาะของพวกเขาก็คือการเก็บตัวฝึกนั่นแหละ แถมพอจบช่วงเวลาการบ่มเพาะก็จะมีการจัดงานประลองเพื่อหาตัวแทนสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งจะได้รับการสนับสนุนจากสำนักอื่นเพื่อทำธุรกิจต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น”
“ฟังดูเหมือนพวกจอมยุทธเลยนะคะ”
“จอมยุทธอะไรนะ?”
“ไม่มีอะไรค่ะ” ฟรานตอบทันควันก่อนที่โทลจะถามอะไรไปมากกว่า
หวังว่ากิจังจะไม่เป็นอะไรนะ ภายใต้ใบหน้าสดใสที่พร้อมทักทายทุกคนกลับเต็มไปด้วยความกังวลที่ก่อตัวอยู่ภายในใจ แม้จะไม่ได้อยู่ในอาณาจักรเซียที่ทุกคนคาดหวังผลงานในฐานะผู้กล้าแต่สิ่งเหล่านั้นมันก็ตามหลอกหลอนให้กดดันตัวเองอยู่เรื่อยไป
ขณะเดียวกันที่เมืองแอสต้าก็ได้เกิดข่าวลือแปลก ๆ ของพวกเซนกระจายออกไป กบฏที่เคยหนีออกจากค่ายพร้อมกับสังหารทหารไปมากมายกลับลอยนวลอยู่ในเมืองหลวงได้ปกติ ยิ่งเวลาผ่านไปข่าวลือเหล่านั้นก็ถูกใส่สีตีไข่จนคนบ้านนอกได้ยืนต่างก็ขวัญผวาเพราะคิดว่าพวกเซนมีพลังอำนาจมากพอทำให้ผู้หลักผู้ใหญ่หรือแม้แต่รัฐบาลไม่กล้าลงมือทำอะไร
เสียงร้องดังลั่นหลังจากที่เซนนอนอู้งานแล้วโดนคานะเขกหัว “งานการไม่ทำหรือยังไงวะ”
“โถ่...หนี้ก็ใช้หมดแล้วทำไมต้องมาทำงานอีกล่ะเนี่ย?” เซนทำตาโตอ้อนวอนขอความเมตตา
“อ้าว ๆ จะอยู่ที่นี่มันก็ต้องกินต้องใช้ ถ้าไม่ทำงานก็ไปขอทานเอาก็แล้วกัน” คานะหงุดหงิดจนคิ้วขมวดก่อนจะเตะก้นเซนให้ออกไปทำงานต่อ
งานที่พวกเขาสองคนทำก็คือการสวนซึ่งมีขุนนางยศสูงเป็นคนจ้างวาน ส่วนสเตล่าก็ยังคงทำงานกับยูกิที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งและดูจะเป็นไปได้ด้วยดีไม่เหมือนทางฝั่งเซนเลยสักนิด
“วันนี้เป็นยังไงบ้างล่ะ?”
“สะสวัสดีครับหัวหน้า” เซนยืนตัวตรงทักทายเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที
“งานสวนทั่วไปเสร็จหมดแล้วค่ะเหลือแค่ตรวจสอบเขตป่า” คานะตอบด้วยน้ำเสียงนอบน้อมสุภาพ
“อืม ๆ วันนี้ไม่ต้องไปก็ได้ ปกติก็ตรวจสอบกันทุกวันอยู่แล้วคงไม่มีสัตว์อสูรโผล่มาหรอก”
“ก็ได้ค่ะ”
“ยอดไปเลย” เซนเผลอดีใจจนอุทานออกมาเสียงดังแต่ชายผู้เป็นหัวหน้าก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไรแถมยังยิ้มอย่างมีความสุขเสียด้วยซ้ำ
“ก็นั่นแหละไม่ต้องไปตรวจสอบเขตป่าแล้วแต่นายท่านอยากจะพบพวกเธอแทน”
“นายท่านเหรอ?” จะว่าไปเราก็ยังไม่เคยเห็นเจ้าของบ้านเลยนี่หว่า
“ได้ค่ะ”
หลังจากนั้นหัวหน้างานก็พาพวกเขาไปพบกับเจ้าของบ้านหรูแห่งนี้ แทนที่จะเป็นขุนนางแต่กลับเป็นเพียงเด็กวัยรุ่นที่กำลังนอนกินขนมอย่างสบายใจ
“มาแล้วสินะ หวังว่าพวกนายจะจำฉันได้” หญิงสาวผมบรอนซ์ทองที่มาพร้อมรอยยิ้มชวนสนุกสนานกำลังยักคิ้วทักทาย
“คุ้น ๆ เหมือนกันนะเนี่ยแต่ขอนึกก่อน” เซนเลิกคิ้วจ้องมองและเดินไปรอบ ๆ ตัวหญิงสาวผู้นั้น
“ดีน่า...”
“ถูกต้อง ! ไม่ได้เจอหน้ากันตั้งนานแล้วซึฮากิไปอยู่ไหนล่ะ?” เธอส่งยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุขและความคาดหวังที่คานะยังจำเธอได้
“แหม ๆ มาถึงก็ถามหากิเลยนะหรือจะมีลับลมคมในอะไรกัน” คานะกระตุกยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ แล้วที่นี่บอกได้หรือยังว่าซึฮากิไปไหน?”
“ตอนนี้ก็คงอยู่ที่เอลโฟเรียนั่นแหละ เห็นว่ากำลังจัดการเรื่องใหญ่อยู่แต่ก็ไม่ได้ติดต่อกันหลายวันแล้ว”
“เหรอ...น่าเสียดายเนอะ” ดีน่ากวักมือเรียกพ่อบ้านให้เอาของกินมาเพิ่ม
“ตอนแรกที่ได้ยินข่าวลือก็ไม่เชื่อหรอก หลังจากนั้นฉันก็เลยแอบมาตามหาจนเห็นพวกเธอเนี่ยแหละถึงได้ซื้อบ้านที่นี่อยู่ซะเลย”
“โห่...คนรวยนี่มันดีจริง ๆ”
“ขอบคุณที่ชม” ดีน่าหัวเราะคิกคักชอบใจที่ได้เจอเพื่อนร่วมต่อสู้ในดันเจี้ยน
ดีน่าเหลือบมองหน้าเซนและคานะกำลังครุ่นคิดบางสิ่งภายในใจว่าควรจะพูดออกไปดีหรือไม่
“แล้ว...ฉันจะไปหากิได้ยังไง?”
“อืม...ตอบยากเหมือนกันนะเนี่ย ฉันว่ารอให้เขากลับมาก่อนจะดีกว่า”
“แล้วเมื่อไรล่ะ?”
คานะขมวดคิ้วคิดหนักเพราะตัวเธอก็ไม่อาจทราบได้เช่นกัน ตลอดระยะเวลาที่พวกเขาได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแอสต้าแม้จะมีสายตาขุ่นเคืองมองตลอดเวลาแต่พวกเธอก็ยังรู้สึกเหมือนได้กลับไปยังโลกเดิมไม่มีผิด โลกที่อย่างน้อยก็ไม่ต้องคอยเอาชีวิตรอดจากพวกสัตว์ประหลาดแค่จะนอนก็ยังต้องคอยตื่นมาเช็กรอบ ๆ ตลอด
“ไว้ตอนที่เขากลับมาฉันจะบอกให้ก็แล้วกัน”
แสงแดดจ้าอาบลงบนใบหน้าอันทรุดโทรมของแคทเทอรีนราวกับกำลังไว้อาลัยแก่การจากไปแต่ก็ไม่ใช่เพราะหลังจากนั้นไม่นานเธอก็ตื่นขึ้นมาบนพื้นหญ้าสีส้ม
“ใครจะคิดว่าแรงระเบิดของมันแรงขนาดนี้”
“ตื่นได้สักทีนะจักรพรรดินี” เสียงของชายหนุ่มอันเรียบนิ่งกล่าวทัก
“แกก็อึดใช้ได้เลยนะเนี่ยตกลงมาสูงขนาดนี้แท้ ๆ”
ซึฮากิไม่มีการตอบโต้ใด ๆ ได้แต่ยืนนิ่งและมองไปรอบ ๆ ทำให้แคทเทอรีนรู้สึกขนลุกเพราะรอบข้างนั้นมีกลุ่มคนแปลกหน้าจ้องมาราวกับเห็นพวกเธอเป็นสัตว์ประหลาด
“หาตัวเจอแล้วสินะ” หญิงสาวรูปงามนางนั้นก้าวเดินออกมาทักทายอย่างเป็นมิตร
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 233
แสดงความคิดเห็น