ตอนที่ 470 การตัดสินใจที่ยากลำบาก
ตอนที่ 470 การตัดสินใจที่ยากลำบาก
ยานบัญชาการขนาดใหญ่บินวนอยู่ในท้องฟ้าอันมืดมิด ขณะเดียวกันเซี่ยเฟยก็กำลังลุกออกมาจากใต้แผงควบคุมพร้อมกับเก็บคีมอเนกประสงค์ลงไปในกระเป๋ากางเกง
“เอาล่ะฉันติดตั้งระบบล่องหนของเอสทาเมลเข้ากับระบบควบคุมการนำทางแล้ว หลังจากนี้พวกเราจะสามารถเรียกใช้ระบบล่องหนได้ในระหว่างการเดินทาง และหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็นได้อีกมากมาย”
“เจ้านายดื่มน้ำชาก่อน น่าเสียดายที่กระป๋องเป็นหุ่นยนต์รับใช้ไม่สามารถช่วยเจ้านายซ่อมแซมเครื่องจักรได้ ส่วนพวกที่ซ่อมแซมเครื่องจักรได้ก็น่าเสียดายที่กลายเป็นพวกทรยศไปแล้ว” กระป๋องกล่าวพร้อมกับรีบเสิร์ฟน้ำชาให้เซี่ยเฟยดื่มดับกระหาย
แต่เมื่อพูดถึงพวกทรยศสีหน้าของกระป๋องก็เปลี่ยนไปเป็นเศร้าหมอง เซี่ยเฟยจึงตบหัวหุ่นยนต์ตัวน้อยเบา ๆ พร้อมกับกล่าวปลอบใจขึ้นมาว่า
“ไม่ต้องคิดมาก นายแตกต่างจากหุ่นยนต์พวกนั้นไม่ใช่เหรอ? แล้วในสายตาของฉันนายก็เป็นคนรับใช้ที่ดีที่สุดตั้งแต่ที่ฉันเคยเจอมาเลย หุ่นยนต์ทุกชนิดย่อมมีคุณค่าเป็นของตัวเอง ดังนั้นขอแค่นายทำงานของตัวเองให้ดีแค่นั้นมันก็เพียงพอสำหรับฉันแล้ว”
“กระป๋องจะไปเตรียมบะหมี่ผัดกับแตงกวาหั่นที่เจ้านายชอบให้นะ” กระป๋องกล่าวอย่างตื่นเต้นหลังจากที่มันได้รับคำชม
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับและเมื่อได้รับคำยืนยันกระป๋องก็รีบวิ่งไปเตรียมอาหารภายในครัวอย่างวุ่นวาย
“เจ้าหนูนี่น่ารักขึ้นทุกวันจริง ๆ” อันธกล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ
“แต่กระป๋องทำให้ฉันอยู่อย่างสบายมากเกินไป นี่ฉันรู้สึกเหมือนกับน้ำหนักขึ้นมาแล้วสัก 2-3 โล” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างหยอกล้อ
จากนั้นทั้งสองก็พูดคุยและหัวเราะด้วยกัน ขณะที่ยานจูเนี่ยนเข้าสู่ระบบล่องหนขับเคลื่อนร่างกายอันใหญ่โตไปท่ามกลางจักรวาลอันกว้างใหญ่
“เอาล่ะเรากำลังจะเข้าสู่ดินแดนนาวีแล้ว การวาร์ปผ่านระบบล่องหนน่าจะช่วยหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็นได้เยอะเลย แต่น่าเสียดายที่ระหว่างทางพวกเราไม่ได้พบกับโจรสลัด ฉันเลยไม่มีโอกาสได้ทดสอบพลังของยานลำใหม่” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเสียดาย
“ฉันรู้นะว่าที่ก่อนหน้านี้นายยังไม่ได้ใช้ระบบล่องหน นั่นก็เพราะว่านายอยากจะทดสอบพลังของจูเนี่ยน จะว่าไปตอนนั้นก็ตลกดีที่พวกโจรสลัดได้บุกเข้ามาแล้วเห็นว่าจูเนี่ยนเป็นยานบัญชาการ ก่อนที่พวกมันจะวิ่งหนีหางจุกตูดไม่กล้าที่จะเข้ามาใกล้พวกเราเลยแม้แต่นิดเดียว” อันธกล่าวพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดัง
เซี่ยเฟยยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้และถึงแม้ว่าโจรสลัดแห่งเขตดาววิลเดอร์เนสจะมีชื่อเสียงในด้านความโหดร้าย แต่เมื่อกลุ่มโจรสลัดพวกนี้ได้มาเจอกับยานบัญชาการขนาดใหญ่ มันก็ทำให้กลุ่มโจรสลัดพวกนั้นรู้สึกหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และมันก็ไม่จำเป็นจะต้องพูดถึงว่ายานลำนี้เคยเป็นยานรบของกองทัพมาก่อนด้วยซ้ำ ซึ่งหมายเลขประจำยานยังคงระบุว่ามันคือยานบัญชาการของกองทัพพันธมิตร
“พวกเรามาตั้งชื่อให้ยานลำนี้หน่อยดีไหม?” อันธกล่าว
“แต่เดิมยานลำนี้เคยเป็นยานรบของกองทัพ แต่มันก็ได้สูญหายไปในทะเลดวงดาวเป็นเวลาหลายพันปีก่อนที่เราจะได้มาค้นพบมันอีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นฉันขอตั้งชื่อมันว่า ‘ฟินิกซ์’ ก็แล้วกัน เพราะฉันคิดว่ามันเปรียบเสมือนกับยานลำนี้ได้ถูกชุบชีวิตขึ้นมาใหม่” เซี่ยเฟยกล่าว
“ฟินิกซ์งั้นเหรอ? เป็นชื่อที่ดีจริง ๆ ยานลำนี้มีพลังการรบที่น่าทึ่งมาก ฉันคิดว่ามันน่าจะช่วยเพิ่มพลังการต่อสู้ในระหว่างการเดินทางให้กับนายมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า”
“น่าเสียดายที่ระบบล่องหนยังไม่สามารถลบความผันผวนของการวาร์ปในระหว่างล่องหนได้ ก่อนหน้านี้ศัตรูก็สามารถตรวจจับคลื่นความผันผวนในระหว่างการวาร์ปของเบโอเนทได้ ฉันคิดว่าความผันผวนในระหว่างการวาร์ปของฟินิกซ์ก็คงจะถูกตรวจพบได้ชัดเจนมากยิ่งกว่า” อันธกล่าวอย่างกังวล
“ปัญหานี้จัดการได้ง่ายมากเลย เพราะหลังจากที่ฉันได้ตรวจสอบระบบล่องหนอีกครั้ง ฉันก็ได้พบกับวาล์วคายพลังงานของตัวเครื่องแล้ว สิ่งที่ฉันทำก็แค่การเพิ่มวงจรให้พลังงานบางส่วนถูกถ่ายโอนกลับคืนไปที่เตาปฏิกรณ์โดยอ้างอิงจากแบบแปลนของยานไททัน แค่นี้มันก็ไม่มีคลื่นพลังงานถูกปล่อยออกไปในอวกาศในระหว่างที่มันทำการวาร์ปผ่านระบบล่องหนแล้ว” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“นายคิดเรื่องนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่? ทำไมฉันถึงไม่รู้” อันธอุทานด้วยความตกใจ
“ขอแค่เข้าใจหลักการเรื่องอื่น ๆ มันก็กลายเป็นเรื่องที่ง่ายนิดเดียว ในตอนที่ฉันออกแบบระบบเรดาร์แบล็คแบทขึ้นมาใหม่เมื่อไม่กี่วันก่อน ฉันก็ได้ทดลองออกแบบระบบส่งผ่านพลังงานกลับไปที่เตาปฏิกรณ์ออกมาด้วย แต่ฟินิกซ์มีขนาดที่ใหญ่มากและพื้นที่บางส่วนก็ถูกสร้างขึ้นมาจากวัตถุดิบที่มีส่วนผสมที่ซับซ้อน”
“แต่เดิมยานบัญชาการมีหน้าที่หลักในการบำรุงรักษาและซ่อมแซมยานรบลำอื่น ๆ ในกองยานอยู่แล้ว ภายในยานจึงเต็มไปด้วยเครื่องมือและวัตถุดิบต่าง ๆ อย่างมากมาย ฉันเลยใช้วัตถุดิบพวกนั้นในการสร้างระบบส่งผ่านพลังงานกลับไปยังเตาปฏิกรณ์ แต่น่าเสียดายที่ยานลำใหญ่ขนาดนี้กลับมีเพียงแค่หนึ่งคน, หนึ่งผี, หนึ่งอสูร, หนึ่งหุ่นยนต์และหนึ่งต้นหญ้าอยู่เท่านั้น”
“พิมพ์เขียวของยานไททันที่ถูกเก็บเอาไว้ภายในกล่องมีรายละเอียดที่สูงมาก และมันก็สร้างแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ให้กับฉันได้เยอะเลย และหนึ่งในแรงบันดาลใจใหม่นั้นมันก็ช่วยทำให้ฉันปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบเรดาร์แบล็คแบทขึ้นมาจากเดิมได้อีกมากพอสมควร” เซี่ยเฟยกล่าว
ย้อนกลับไปในตอนที่เซี่ยเฟยได้รับพิมพ์เขียวของระบบเรดาร์ของไททันมาเพียงแค่ชุดเดียว เขาก็แทบที่จะไม่สามารถทำความเข้าใจหลักการของระบบซุปเปอร์เรดาร์นั้นได้เลย แต่เมื่อเขาได้รับพิมพ์เขียวของไททันครบทั้งชุด มันก็ทำให้เขาสามารถทำความเข้าใจโครงสร้างในส่วนต่าง ๆ ของยานได้อย่างชัดเจน
ซึ่งแท้ที่จริงแล้วระบบต่าง ๆ ภายในยานจำเป็นจะต้องได้รับการสนับสนุนซึ่งกันและกัน และหลักการนี้ก็ทำให้เขาสามารถประยุกต์ใช้นำมาสร้างสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมาได้อย่างมากมาย
ตี๊ด!
ทันทีที่นึกถึงระบบเรดาร์แบล็คแบท การติดต่อสื่อสารผ่านระบบเรดาร์ก็ดังขึ้นมาอย่างฉับพลัน หลังจากนั้นภาพของชาร์ลีกับพอตเตอร์ก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ
“เซี่ยเฟยต้นแบบที่นายส่งกลับมาให้ใหม่ครั้งนี้ดีมาก มันทั้งช่วยลดความยุ่งยากในการผลิตและเพิ่มความทนทานให้กับระบบเรดาร์ขึ้นจากเดิมอีกหลายเท่า ฉันคิดว่าครั้งนี้ระบบเรดาร์แบล็คแบทมีความสมบูรณ์มากพอที่จะกลายเป็นสินค้าของบริษัทควอนตัมแล้ว” พอตเตอร์กล่าว
“ต้นทุนการผลิตก็น้อยกว่าเดิมถึง 1 ใน 5 ด้วยครับ ส่วนมูลค่าของมันก็สมควรจะเพิ่มจากเดิมไม่น้อยไปกว่า 4 เท่า ระบบเรดาร์นี้จะต้องเป็นสินค้าขายดีชิ้นต่อไปของบริษัทเราแน่นอน” ชาร์ลีพูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้น
“ที่พวกคุณติดต่อมาไม่ใช่เพราะเรื่องแค่นี้ใช่ไหม?” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ใช่ครับ ที่พวกเราติดต่อมาก็เพื่อจะบอกว่ากองกำลังแนวหน้าถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้าไปที่ภูมิภาคดาวเหวทมิฬ ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งที่เดินทางไปยังโลกได้เดินทางไปจนถึงจุดหมายแล้ว” ชาร์ลีกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
“โลกเป็นยังไงบ้าง?” เซี่ยเฟยถามด้วยความสนใจ เพราะท้ายที่สุดดาวโลกก็ยังคงเป็นดาวบ้านเกิดของเขา ดังนั้นมันก็คงจะเป็นเรื่องโกหกถ้าหากว่าเขาจะบอกว่าเขาไม่สนใจดาวเคราะห์ดวงเล็ก ๆ ดวงนี้
“สถานการณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ครับ ถึงแม้ว่าโลกจะเป็นเพียงแค่ดาวเคราะห์ดวงเล็ก ๆ แต่พวกเซิร์กก็ไม่ได้มองข้ามดาวดวงนี้ไป เมืองใหญ่เกือบทั้งหมดภายในโลกจึงได้รับความเสียหายอย่างหนัก และโครงสร้างพื้นฐานส่วนใหญ่ภายในโลกก็ถูกทำลายไปจนหมด” ชาร์ลีกล่าว
“แล้วสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติล่ะ เป็นยังไงบ้าง?” เซี่ยเฟยถามอย่างประหม่า
หากเมืองถูกทำลายมันก็สามารถสร้างขึ้นมาใหม่ได้ทุกเมื่อ แต่ถ้าหากธรรมชาติถูกทำลายมันก็อาจจะเปลี่ยนให้ดาวดวงนี้ไม่ใช่ดาวเคราะห์ที่เหมาะสมสำหรับการอยู่อาศัยของมนุษย์อีกต่อไป แล้วมันก็จะกลายเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ที่ไม่สามารถกู้คืนกลับมาได้
“ธรรมชาติไม่ได้รับความเสียหายในระดับที่กู้คืนไม่ได้ครับ โชคดีที่พวกเซิร์กทำลายแค่เพียงเมืองใหญ่ ๆ เท่านั้น ก่อนที่พวกมันจะจากไปไม่ค่อยได้ให้ความสนใจกับโลกของพวกเรามากนัก” ชาร์ลีกล่าว
“ดีแล้ว” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“การสร้างโครงสร้างพื้นฐานขึ้นมาใหม่จำเป็นจะต้องใช้เงินทุนจำนวนมหาศาล ตอนนี้ประธานาธิบดีอู่หลงเลยกำลังยุ่งอยู่กับการจัดหาเงินทุนสำหรับการฟื้นฟูโลกขึ้นมาใหม่ครับ” ชาร์ลีกล่าว
“ถึงยังไงพวกเราก็ยังคงเป็นชาวโลก นายบอกพี่หลงได้เลยว่าบริษัทควอนตัมจะสนับสนุนเงินทุนทั้งหมดเท่าที่เขาต้องการ” เซี่ยเฟยกล่าว
“ได้ครับ ผมจะรีบแจ้งให้เขาทราบโดยเร็วที่สุด” ชาร์ลีกล่าว
“ฉันรู้ว่าตอนนี้สถานการณ์ของบริษัทควอนตัมก็ไม่ค่อยดีนัก เพราะสภาวะสงครามทำให้รายได้ของเราลดลงจากเดิมอย่างหนัก แต่เรื่องนี้นายไม่จำเป็นจะต้องกังวลบริษัทควอนตัมไม่มีทางล้มลงอย่างแน่นอน อย่างน้อยพวกเราก็สามารถใช้โอกาสนี้สนับสนุนการสร้างโลกขึ้นมาใหม่ และโลกที่กำลังจะสร้างขึ้นมาใหม่จะต้องเป็นโลกที่เป็นไปตามมาตรฐานขั้นสูงสุดของพันธมิตร” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างจริงจัง
“สร้างโลกขึ้นมาใหม่ตามมาตรฐานขั้นสูงสุดของพันธมิตรงั้นเหรอครับ? แบบนั้นมันจะมีค่าใช้จ่ายมากมายมหาศาลเลยนะครับ” ชาร์ลีกล่าวขึ้นมาอย่างประหม่า
เซี่ยเฟยใช้นิ้วแตะที่แหวนมิติเบา ๆ ก่อนที่เขาจะหยิบหัวใจจักรวาลสีม่วงออกมาจากแหวนมิติหลายร้อยก้อน
“เชื่อฉันสิว่าเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา”
…
หลังจากพูดคุยเรื่องการบริหารของบริษัทจนจบแล้ว ชาร์ลีก็เดินจากไปเพื่อเปิดทางให้เซี่ยเฟยได้พูดคุยกับพอตเตอร์ตามลำพัง
“ในช่วงสงครามฉันกับวินด์ไชม์ได้มีโอกาสดูแลซึ่งกันและกัน เธอเลยฝากฉันมาขอบคุณที่นายพาเธอออกมาจากทุ่งดาวแห่งความตาย ไม่อย่างนั้นเธอก็คงจะไม่รู้ว่าการได้อยู่กับฉันคือสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับเธอ” พอตเตอร์กล่าวขึ้นมาอย่างประหม่า
“ขอแค่ลุงมีความสุขผมก็ดีใจด้วยแล้วครับ ความจริงพวกคุณไม่จำเป็นจะต้องขอบคุณผมหรอก ย้อนกลับไปในตอนนั้นมันอาจจะเป็นความผิดของผมด้วยซ้ำที่ผมบังคับให้เธอกลับมาพร้อมกับผมด้วย” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ
หลังจากพูดคุยกันต่อไปอีกสักพัก เซี่ยเฟยก็ตัดการเชื่อมต่อไป
“ดูเหมือนว่านายจะจัดการปัญหาหัวใจของพอตเตอร์ได้ดีเลยนะ แต่ฉันคิดว่านายคงจะไม่รู้ว่าจะต้องจัดการกับปัญหาของตัวเองยังไงใช่ไหมล่ะ?” อันธกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ
เซี่ยเฟยถึงกับพูดไม่ออกอยู่พักหนึ่ง เพราะท้ายที่สุดเขาก็ยังไม่ได้บอกแอวริลเรื่องที่เขาจะเดินทางไปยังดินแดนของผู้ใช้กฎเลย
ท้ายที่สุดดินแดนของผู้ใช้กฎก็คือสถานที่ที่รวมตัวนักรบที่แข็งแกร่งเอาไว้อย่างมากมาย และจากประสบการณ์ในชีวิตที่ผ่านมาเซี่ยเฟยก็สามารถบอกได้เลยว่ายิ่งผู้มีอำนาจได้มารวมตัวกันมากเท่าไหร่ ข้อพิพาทระหว่างพวกเขาก็จะยิ่งรุนแรงมากขึ้นไปเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสมที่เขาจะนำแอวริลไปอยู่ด้วยอย่างแน่นอน และมันก็อาจจะหมายความว่าเขาจะต้องจากแอวริลไปโดยไม่รู้ว่าจะได้กลับมาพบเธออีกเมื่อไหร่ หรือจะมีช่องทางการติดต่อในระหว่างที่เขาได้อยู่ในดินแดนนั้นหรือไม่ เรียกได้ว่าเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับดินแดนของผู้ใช้กฎเลย
ก่อนหน้านี้แอวริลได้แสดงความจริงใจบ่งบอกออกมาอย่างชัดเจนแล้วว่าเธอต้องการที่จะอยู่กับเขา มันจึงทำให้เขาไม่รู้ว่าเขาจะพูดเรื่องนี้กับเธอยังไงดี
เมื่อได้คิดถึงความลำบากใจที่จะต้องบอกคนรักถึงการจากลาในครั้งนี้ เซี่ยเฟยก็ทำได้เพียงแต่ส่ายหัวพร้อมกับถอนหายใจแล้วเดินกลับไปภายในห้องเพียงลำพัง
***************
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 354
แสดงความคิดเห็น