ตอนที่ 376 การอพยพที่น่าเศร้า
ตอนที่ 376 การอพยพที่น่าเศร้า
ณ กลุ่มดาวนครหลวงของพันธมิตร
เวลาเพิ่งจะล่วงเลยเกิน 6 โมงเช้ามาเพียงแค่ไม่นาน แต่สัญญาณเตือนภัยกลับดังขึ้นทั่วทั้งท้องถนน พวกมันจึงปลุกผู้คนให้ลุกขึ้นมาจากเตียงด้วยความสับสนโดยไม่รู้ว่ามันกำลังเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกันแน่
“ประกาศแจ้งเตือนสภาวะฉุกเฉิน ประธานาธิบดีจอห์นสันกำลังจะประกาศเรื่องสำคัญในอีก 12 นาทีขอให้ทุกคนรับชมการประกาศโดยพร้อมเพรียงกัน ขอเน้นย้ำว่าสถานการณ์ในปัจจุบันคือเรื่องจริงไม่ใช่การฝึกซ้อมของทางรัฐบาล”
มนุษย์ใช้ชีวิตอยู่อย่างสบายมานานเกินไป มันจึงทำให้หลาย ๆ คนลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ามันมีระบบเตือนภัยแบบนี้อยู่ พวกเขาจึงเปิดทีวีขึ้นมาดูด้วยความสงสัยแต่ข่าวที่พวกเขาได้รับกลับทำให้พวกเขารู้สึกตกใจจนเบิกตากว้าง
“ทางทีมข่าวของเราสืบทราบมาว่าตอนนี้กองยานเซิร์กอยู่ห่างจากนครหลวงเพียงแค่ 4.9 ล้านปีแสงและกำลังเดินทางมายังนครหลวงด้วยความเร็วสูงสุด แต่ในปัจจุบันทางเรายังไม่ได้รับข้อมูลจากกรมทหารโดยละเอียด เราจึงไม่สามารถระบุจำนวนกองยานเซิร์กที่รุกรานพันธมิตรในครั้งนี้ได้”
“ทางทีมข่าวขอให้ทุกคนติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งในอีก 11 นาทีประธานาธิบดีจอห์นสันจะขึ้นมากล่าวชี้แจงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยละเอียดค่ะ”
ช่องสื่อข่าวทั้งหมดต่างก็กำลังรายงานความคืบหน้าของสถานการณ์ในครั้งนี้อย่างตึงเครียด และพวกเขาก็ลืมกองยานการค้าที่ถูกส่งไปยังดินแดนเซิร์กจนหมดแล้ว มันจึงไม่มีใครให้ความสนใจถึงความเป็นตายของพวกเซี่ยเฟยเลยด้วยซ้ำ
10 นาทีต่อมา ณ ทำเนียบรัฐบาล
ประธานาธิบดีจอห์นสันยืนอยู่ลำพังหน้าโพเดียมที่ถูกรายล้อมไปด้วยพนักงานที่กำลังจัดสรรข้อมูลอย่างยุ่งเหยิง แต่จอห์นสันไม่ได้ให้ความสำคัญกับพนักงานพวกนั้นเลย เพราะเขากำลังพยายามสงบสติอารมณ์เพื่อแถลงการณ์ต่อประชาชนทั่วทั้งพันธมิตร
มันไม่ใช่เรื่องดีสำหรับประธานาธิบดีที่จะต้องออกมาประกาศสภาวะสงคราม แต่หลังจากที่เขาได้ถูกปลุกขึ้นมาอย่างกะทันหันสงครามมันก็ได้เริ่มต้นขึ้นไปแล้ว ดังนั้นถึงแม้ว่าเขาจะไม่ชอบสถานการณ์ในปัจจุบัน แต่เขาก็มีหน้าที่จะต้องประกาศให้ประชาชนทั่วทั้งพันธมิตรรับทราบโดยทั่วกันว่าสงครามระหว่างสองเผ่าพันธุ์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ทั่วทั้งศีรษะของประธานาธิบดีจอห์นสันเต็มไปด้วยผมสีเงิน มันจึงทำให้คนหลาย ๆ คนคิดว่าเขาเป็นญาติกับจอมพลไทสันแห่งกรมทหาร แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่แบบนั้นเลย เพราะจอห์นสันเติบโตขึ้นมาจากครอบครัวที่ยากจนและพ่อแม่ของเขาก็ถูกอันธพาลฆ่าตายตั้งแต่ที่เขายังเด็ก เขาจึงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาให้พันธมิตรมีความสงบสุขมากยิ่งขึ้น
หลังจากเข้ารับตำแหน่งมานานหลายปีเขาก็ได้ทำตามปณิธานที่เขาได้ตั้งเอาไว้ตั้งแต่เด็ก มันจึงทำให้เขาได้รับคำยกย่องจากประชาชนว่าเขาคือหนึ่งในประธานาธิบดีที่ดีที่สุดเท่าที่พันธมิตรเคยมีมา
แต่ในตอนนี้ประธานาธิบดีที่หวังจะให้พันธมิตรมีเพียงแต่ความสงบสุข กลับต้องมาประกาศสภาวะสงครามที่เต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง!!
“ท่านประธานาธิบดีการถ่ายทอดสดจะเริ่มต้นขึ้นในอีก 10 วินาทีนะครับ” ผู้อำนวยการสำนักข่าวเดินเข้ามากล่าวกับจอห์นสัน
ชายชรายืดอกตรงพร้อมกับจ้องมองไปยังกล้องหลักที่อยู่ด้านหน้า จากนั้นเขาก็พยายามสูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ โดยหวังที่จะรักษาความสงบเอาไว้ให้ได้มากที่สุด
“เมื่อเวลา 6:08 น. กองยานเซิร์กบุกเข้ามาปรากฏตัวอย่างกะทันหันห่างจากกลุ่มดาวนครหลวงออกไป 4.9 ล้านปีแสง และทำลายยานสอดแนมของพันธมิตรลงไปหนึ่งลำทำให้ทหารเสียชีวิตไปทั้งสิ้น 17,155 นาย”
“6:12 น. กองยานตัวแทนการค้าที่ถูกส่งไปยังดินแดนเซิร์กถูกตัดการเชื่อมต่อไปอย่างกะทันหัน พวกเราจึงคาดว่ากองยานทั้งสามกองและพลเรือนผู้บริสุทธิ์ทั้ง 42,162 คนถูกพวกเซิร์กสังหารอย่างโหดเหี้ยม”
“6:14 น. ยานอวกาศในกองยานตัวแทนการค้าเซิร์กที่อยู่ในภูมิภาคดาวเอ็นดาโร่ทั้ง 48 ลำระเบิดพร้อมกันขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทำให้ยานรบบริเวณชายแดนได้รับความเสียหายอย่างหนัก ในตอนนี้ยังไม่สามารถสรุปความเสียหายได้”
เมื่อพูดมาจนถึงตรงนี้จอห์นสันก็หยุดพูดเป็นการชั่วคราว โดยดวงตาของเขากำลังเปลี่ยนเป็นสีแดงและน้ำเสียงของเขาก็กำลังสั่นเครืออย่างควบคุมไม่อยู่
—
ณ เวลา 7:49 น. ประมาณเกือบ 2 ชั่วโมงหลังจากกองยานเซิร์กปรากฏตัวยังพื้นที่ใจกลางพันธมิตรอย่างกะทันหัน
“เมื่อประมาณ 1 ชั่วโมงที่แล้ว ท่านประธานาธิบดีได้ออกคำสั่งควบคุมทางการทหารอย่างเต็มกำลัง ทำให้หลังจากนี้ทางกองทัพมีอำนาจในการควบคุมอำนาจในเขตพันธมิตรนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป”
“สิ่งที่เราจำเป็นจะต้องทำในตอนนี้คือการวางแผนรับมืออย่างดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” ไทสันกล่าวกลางที่ประชุมฉุกเฉินของกรมทหาร
“ตอนนี้เป้าหมายของศัตรูชัดเจนมากคือพวกเขาต้องการยึดครองนครหลวง และใช้ทรัพยากรในนครหลวงเพื่อดำเนินแผนการขั้นต่อไป ดังนั้นเราจึงจำเป็นจะต้องป้องกันไม่ให้พวกเขาบรรลุเป้าหมายตามแผนการ” วิลเลียมกล่าวขณะหยิบลูกอมเมเปิ้ลเชื่อมเข้าไปภายในปาก
“จอมพลวิลเลียมกองกำลังของศัตรูจะมาถึงในอีก 4 วันแล้ว แต่กองกำลังหลักเกือบทั้งหมดของเรายังอยู่ในภูมิภาคดาวเอ็นดาโร่อยู่เลย คุณควรจะรู้ดีนะว่ากองกำลังป้องกันนครหลวงตอนนี้ไม่สามารถต้านทานการรุกรานจากศัตรูได้ และกองกำลังหลักก็คงจะถอยทัพกลับมาได้ไม่ทันอย่างแน่นอน แล้วคุณยังคิดที่จะปกป้องนครหลวงไว้ภายใต้สถานการณ์แบบนี้จริง ๆ เหรอ?” นายพลชราผิวเข้มกล่าวพร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างหนัก
หลังจากนั้นก็มีเสียงถอนหายใจออกมาทั่วทั้งห้องประชุม เพราะท้ายที่สุดกองกำลังหลักของพันธมิตรก็กระจายกันอยู่ทั่วทั้งเขตชายแดน มันจึงทำให้ระแวงใกล้ ๆ กลุ่มดาวนครหลวงเหลือกองยานคอยป้องกันอยู่ไม่ถึง 100 กอง ซึ่งกองกำลังจำนวนนี้ย่อมไม่อาจต้านทานกองยานเซิร์กที่มีมากกว่า 600 กองได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามการถอนกำลังออกมาจากชายแดนก็มีความเสี่ยงอันร้ายแรงที่พร้อมจะตามมา เพราะอย่าลืมว่ากองยานการค้าเพิ่งถูกกองยานเซิร์กกว่า 600 กองทำลายไปเมื่อไม่นานมานี้เช่นเดียวกัน ดังนั้นถ้าหากกองยานป้องกันบริเวณชายแดนถอนกำลังออกมา กองยานเซิร์กทั้ง 600 กองนี้ก็พร้อมที่จะรุกคืบเข้ามาทางภูมิภาคดาวเอ็นดาโร่ได้ทุกเมื่อ
ภูมิภาคดาวเอ็นดาโร่อยู่พื้นที่ทางตอนใต้ของนครหลวง ซึ่งถ้าหากเซิร์กสามารถยึดครองนครหลวงได้สำเร็จกองยานหลักของพันธมิตรก็จะถูกล้อมทั้งด้านหน้าและด้านหลัง โดยในเวลานั้นพวกเขาก็ไม่มีทางต้านทานการโจมตีของกองยานกว่า 1,200 กองได้ ซึ่งมันก็หมายความว่าตอนนี้พันธมิตรมีความเสี่ยงสูงมากที่จะสูญเสียพื้นที่ทางตอนใต้ทั้งหมดให้กับเซิร์กแล้ว
แต่การที่นครหลวงถูกยึดครองยังไม่ได้จำกัดความเสียหายอยู่เพียงแค่เท่านั้น เพราะอย่าลืมว่านครหลวงคือแกนหลักทางการเมือง, เศรษฐกิจ, สถานบันเทิงของพันธมิตร ดังนั้นเมื่อนครหลวงล่มสลายมันจะสร้างแรงกดดันทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ไปทั่วทั้งพันธมิตร จากนั้นฝูงชนจะเริ่มตื่นตระหนกจนสถานการณ์ยากที่จะควบคุมได้
“ทางกองบัญชาการเสนาธิการได้ทำการวิเคราะห์สถานการณ์โดยละเอียดแล้ว ซึ่งทางเราก็พิจารณาว่าในช่วงระยะเวลาอันใกล้นี้นครหลวงต้องห้ามถูกยึดครองโดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นมันจะนำมาซึ่งความตื่นตระหนกของประชากรไม่ต่างไปจากสงครามครั้งที่แล้ว” วิลเลียมกล่าวพร้อมกับใช้นิ้วเคาะโต๊ะเบา ๆ
“คุณอย่าพูดมักง่ายไปหน่อยเลย ตอนนี้กองกำลังป้องกันนครหลวงมีกองยานอยู่เพียงแค่ 106 กองและ 30% ของกองยานพวกนี้ก็ไม่ใช่กองยานแบบเต็มรูปแบบด้วยซ้ำ ในช่วงเวลา 3 วันที่เหลืออย่างมากที่สุดพวกเราก็สามารถรวบรวมกำลังได้ไม่เกิน 70 กองยาน แต่เมื่อพิจารณาจากกำลังรบจริง ๆ กองยานทั้งหมดมีกำลังรบเพียงแค่ประมาณ 100 กองยานแบบเต็มรูปแบบเท่านั้น”
“แล้วกองยานพวกนี้จะสามารถต่อต้านกองยานเซิร์กกว่า 600 กองที่จัดกระบวนทัพพร้อมทำสงครามได้ยังไง?” นายพลผิวเข้มตบโต๊ะพร้อมกับตะโกนขึ้นมาเสียงดัง
บรรยากาศในห้องประชุมเริ่มหนักหน่วงขึ้นเรื่อย ๆ และนายพลทุกคนในห้องประชุมนี้ก็ตระหนักดีถึงความสิ้นหวังของสถานการณ์
“สิ่งที่ผมเสนอไปไม่ได้มีความหมายว่าแบบนั้น ทุกคนอย่าลืมว่าในนครหลวงมีทรัพยากรและกำลังคนที่สูงมากที่สุดในพันธมิตร ดังนั้นถ้าหากว่าเราไม่สามารถป้องกันนครหลวงเอาไว้ได้พวกเราก็จะย้ายนครหลวงไปที่อื่น จากนั้นเราจะเผานครหลวงในปัจจุบันให้ราบเป็นหน้ากลองเพื่อไม่ให้เหลือทรัพยากรเอาไว้ให้ศัตรูแม้แต่นิดเดียว” วิลเลียมกล่าวอย่างหนักแน่น
ข้อเสนอแนะนี้ถึงกับทำให้ทุกคนรู้สึกช็อกไปตาม ๆ กัน
เผานครหลวงทิ้งเนี่ยนะ!
อย่าลืมว่าสถานที่แห่งนี้คือบ้านเกิดของพันธมิตรในยุคปัจจุบัน และพลเมืองทุกคนก็ถือว่าสถานที่แห่งนี้คือสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ในหัวใจของพวกเขา
ย้ายนครหลวง?
ทำลายกาแล็กซีวีนอล?
ในมุมมองของประชาชนเหตุการณ์นี้เป็นเรื่องที่พวกเขาไม่สามารถทำใจยอมรับได้อย่างแน่นอน เพราะมันให้ความรู้สึกเหมือนกับการที่มนุษย์ต้องใช้มีดแทงเข้าไปในหัวใจของตัวเอง แล้วมันจะมีคนที่มีความกล้าแบบนั้นสักกี่คน
“ผมรู้ว่าทุกคนไม่พอใจที่ผมเสนอให้ทำลายนครหลวงในปัจจุบัน แต่ผมอยากจะเตือนทุกคนไว้ว่าสถานที่ที่มนุษย์สามารถอยู่รอดได้อย่างปลอดภัยต่างหากที่สมควรจะถูกเรียกว่าบ้านที่แท้จริง”
“ดังนั้นเมื่อกาแล็กซีวีนอลไม่ใช่สถานที่ที่ปลอดภัยอีกต่อไป พวกเราก็ควรจะต้องทำลายทรัพยากรทั้งหมดด้วยมือของตัวเอง เพราะถ้าหากทรัพยากรได้ตกไปอยู่ในมือของศัตรู สถานการณ์ของเราก็จะเลวร้ายไปมากกว่านี้อีกเป็นพันเท่า” วิลเลียมกัดฟันกล่าวออกมาอย่างไม่เต็มใจ
คำอธิบายของวิลเลียมทำให้ทุกคนจมอยู่ในความเงียบสงัด เพราะมันไม่มีใครเต็มใจที่จะเสียสละกาแล็กซีวีนอลไป แต่พวกเขาก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่ากองกำลังในปัจจุบันไม่สามารถปกป้องนครหลวงเอาไว้ได้
“ผมขอค้าน!” นายพลที่มีหูแหลมยาวตะโกนขึ้นมาเสียงดัง
นายพลคนนี้คือรองผู้อำนวยการกองบัญชาการกองทัพยานผู้มีชื่อว่าสเตแฮม นอกจากนี้เขายังเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจอมพลเลย์ตันโดยตรง และเนื่องมาจากในตอนนี้จอมพลเลย์ตันเป็นผู้นำกองยานหลักไปยังภูมิภาคดาวเอ็นดาโร่ มันจึงทำให้สเตแฮมคอยรับหน้าที่ดูแลกองบัญชาการในระหว่างที่เลย์ตันไม่อยู่
“กาแล็กซีวีนอลเคยล่มสลายมาแล้วครั้งหนึ่งในยุคที่หุ่นยนต์ก่อกบฏ และในครั้งนี้พวกเราจะปล่อยให้บ้านเกิดของเราตกไปอยู่ในมือของเซิร์กไม่ได้อีกเป็นอันขาด!!”
“บริเวณใกล้ ๆ ยังมีกองยานอิสระที่มียานแครีเออร์กับยานเดรดนอตอยู่อีกอย่างละ 80 ลำ เราสามารถใช้กองกำลังนี้ในการปกป้องกาแล็กซีวีนอลเอาไว้ได้ และถึงแม้ว่าเราจะตายเราก็ไม่ควรหันหลังให้ศัตรู” สเตแฮมกล่าวขึ้นมาเสียงดัง
“กองยานอิสระคือรากฐานสำคัญของกองทัพในปัจจุบัน และกองกำลังขั้นสุดยอดนี้ไม่ควรจะถูกนำมาใช้งานเว้นแต่ว่าเรากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่จำเป็นจริง ๆ นอกจากนี้ถึงแม้ว่าเราจะใช้งานกองยานอิสระแต่เราก็ไม่สามารถยืนยันชัยชนะได้ใช่ไหม?”
“แต่ถ้าหากว่ากองยานนี้ถูกกำจัดมันก็จะทำให้พันธมิตรสูญเสียความหวังสุดท้ายไปพร้อมกับการตัดสินใจอันสะเพร่าของเรา” วิลเลียมกล่าวโดยไม่รอให้สเตแฮมพูดจบ
กองยานอิสระที่พวกเขากำลังพูดถึงคือกองยานขนาดใหญ่ที่เตรียมการณ์เอาไว้สำหรับการใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยกองยานนี้อยู่ห่างจากนครหลวงไปเพียงแค่ไม่ไกล และสมาชิกภายในกองยานทั้งหมดต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นหัวกะทิที่ถูกทางกองทัพคัดสรรมาเป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตามกองยานอิสระในพันธมิตรก็มีอยู่เพียงแค่หนึ่งเดียว และมันก็คือท่าไม้ตายของกองทัพที่คิดจะเก็บเอาไว้ใช้ในสถานการณ์ชี้เป็นชี้ตาย
“ไอ้คนทรยศ! ไอ้คนขี้ขลาด! หลังจากนี้มนุษย์ทุกคนจะสาปแช่งพวกแกว่าเป็นคนที่ทำให้บ้านของพวกเขาถูกทำลาย!!” สเตแฮมส่งเสียงร้องคำรามขึ้นมาด้วยความโกรธเกรี้ยว
“ใครอยากจะสาปแช่งฉันก็สาปแช่งมาเลย ฉันกลัวแค่ว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์จะสูญพันธุ์ไปจากจักรวาลเท่านั้น ท้ายที่สุดนครหลวงย่อมสามารถสร้างขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ ตราบใดก็ตามที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ยังคงอยู่รอดในอนาคต” วิลเลียมกล่าวขึ้นมาเบา ๆ ด้วยท่าทางที่ไม่ใส่ใจ
สเตแฮมไม่อยากจะเชื่อกับความคิดของวิลเลียมและเขาก็กำลังจะด่าทอจอมพลคนนี้อีกครั้ง แต่ในที่สุดจอมพลไทสันก็ตบโต๊ะขึ้นมาเสียงดังจนทำให้ถ้วยน้ำชากระเด็นขึ้นไปบนอากาศ
การเคลื่อนไหวของจอมพลคนนี้ทำให้แม้แต่สเตแฮมที่กำลังอารมณ์เสียก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกมา เพราะมันเคยมีเรื่องเล่าขานกันอย่างลับ ๆ ในกองทัพว่าความโกรธของไทสันเปรียบเสมือนกับความโกรธแค้นของพันธมิตรเลยทีเดียว
“ทุกคนพอได้แล้ว!” ไทสันตะโกนขึ้นมาด้วยความโกรธทำให้ทั่วทั้งห้องประชุมกลับสู่ความเงียบสงบ และถึงแม้ว่ามันจะมีนายพลบางคนยังคงรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่มีใครกล้าที่จะส่งเสียงดังขึ้นมาเลยแม้แต่นิดเดียว
“วิลเลียมแผนการย้ายนครหลวงจำเป็นต้องใช้เวลานานแค่ไหน?” ไทสันกล่าวถามด้วยน้ำเสียงอันจริงจัง และถึงแม้ว่าเขาจะรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น ๆ แต่เมื่อเขาตัดสินใจแล้วเขาก็จะเดินหน้าอย่างสุดกำลังโดยไม่สนใจว่าใครคนอื่นจะรู้สึกยังไง
“ถ้ากรมทหาร, ตำรวจและสมาพันธ์นักสู้ขนาดใหญ่ทุกองค์กรเห็นพ้องต้องกัน ฉันก็คาดการณ์ว่ามันน่าจะใช้เวลาประมาณ 180 ชั่วโมง” วิลเลียมกล่าวพร้อมกับฉายข้อมูลแผนการขึ้นบนหน้าจอ
ไทสันพยักหน้าอย่างยอมรับว่าวิลเลียมสมควรแล้วที่จะได้รับตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายเสนาธิการของกองทัพ และได้รับการแต่งตั้งให้กลายเป็น 1 ใน 3 จอมพลของกรมทหาร เพราะเขาได้ใช้เวลาเพียงแค่ชั่วโมงกว่า ๆ ในการคิดแผนการนี้ขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นแผนการของเขายังถูกออกแบบมาโดยละเอียดมากพอที่จะเริ่มแผนการอพยพได้ในทันที
“จอมพลวิลเลียม!” ไทสันตะโกนเสียงดัง
“ครับ!” วิลเลียมยืนขึ้นพร้อมกับแสดงความเคารพในรูปแบบของทหาร
“ผมขอแต่งตั้งให้คุณเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดในปฎิบัติการอพยพนครหลวง คุณมีอำนาจรับผิดชอบแผนการนี้อย่างเต็มที่ นครหลวงจะต้องถูกอพยพไปยังพื้นที่ภาคเหนือของพันธมิตรภายใน 150 ชั่วโมง หากใครขัดขืนคำสั่งฉันอนุมัติให้ลงโทษขั้นสูงสุดได้ในทันที”
“รับทราบครับ” วิลเลียมรับคำสั่งด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“นายพลซอเนส, นายพลมาร์ช, ผู้บัญชาการนาชี่”
“ครับ” นายพลผู้คุมกองกำลังป้องกันภายใน, ผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงและผู้บัญชาการตำรวจทั้ง 3 คนที่ถูกเรียกชื่อต่างก็ยืนขึ้นแสดงความเคารพพร้อมรับคำสั่ง
“หลังจากนี้กองกำลังของพวกคุณจะอยู่ภายใต้การควบคุมของกรมทหารโดยตรง ฉันให้เวลาพวกคุณ 24 ชั่วโมงระดมยานรบ, ยานบรรทุก แม้กระทั่งยานขนส่งเข้ามาใกล้เมืองหลวงให้ได้มากที่สุดแล้วรอฟังคำสั่งจากจอมพลวิลเลียม”
“ครับ”
“กองยาน 1574, กองยาน 2356, กองยาน 8426, ... กองยานทั้ง 70 กองนี้ให้ไปรวมตัวกันที่ฐานทัพไถปิงซานทางตอนเหนือของนครหลวงและพยายามขัดขวางกองยานเซิร์กเอาไว้ หากมียานเซิร์กหลุดรอดเข้ามาในเขตนครหลวงแม้แต่ลำเดียว ผู้บัญชาการกองยานทุกคนจะถูกประหารทันที”
กองยานทั้ง 70 กองที่ไทสันเพิ่งสั่งการต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นกองยานเต็มระบบที่มียานบัญชาการเป็นจุดศูนย์กลางยานรบ พวกเขาจึงมีความสามารถมากพอที่จะช่วยถ่วงเวลาพวกเซิร์กเอาไว้ได้
อย่างไรก็ตามคำสั่งของไทสันก็ไม่ต่างไปจากการเสียสละทหารนับร้อยล้านนาย ซึ่งมันเป็นคำสั่งที่โหดร้ายและไร้ความปรานี
ทุกคนในที่ประชุมเริ่มพูดจาพึมพำว่าถ้าหากพวกเขานั่งบนตำแหน่งของไทสัน พวกเขาจะกล้าออกคำสั่งอย่างเด็ดขาดแบบนี้หรือไม่
อย่างไรก็ตามวิลเลียมก็ไม่ได้พูดอะไรขึ้นมา เพราะมันเป็นสิ่งที่สมควรเป็นตั้งแต่สมัยโบราณแล้วว่าคำสั่งของกองทัพจะไร้ความเด็ดขาดไม่ได้เป็นอันขาด เพราะท้ายที่สุดกองทัพต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้รับชัยชนะ ดังนั้นถึงแม้ว่ามันจะเป็นคำสั่งที่โหดร้ายแต่ถ้าข้าศึกบุกเข้ามาในนครหลวงได้จริง ๆ จำนวนของผู้เสียชีวิตก็คงจะมีมากกว่านี้อย่างไม่สามารถที่จะประมาณการได้
มนุษย์ในนครหลวงจะต้องอพยพไปยังพื้นที่ทางตอนใต้ของพันธมิตร แล้วมันก็จำเป็นจะต้องใช้กองยานที่แข็งแกร่งคอยต่อต้านกองยานเซิร์กเอาไว้ และนี่ก็เป็นทางเลือกเดียวที่พวกเขาเหลืออยู่ในปัจจุบัน
“นายวางแผนจะทำยังไงต่อ?” วิลเลียมกล่าวถาม
“มันถึงเวลาที่จะต้องใช้พวกเขาแล้ว” ไทสันกล่าวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชา
***************
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 130
แสดงความคิดเห็น