บทที่ 198: ข้าไม่ต้องการเรียกเขาว่าพี่ชาย ข้าอยากให้เขาออกไป
หลงหลิงเอ๋อรีบเข้าไปดึงหลงจงออกไปอีกทางแล้วกระซิบอธิบายข้าง ๆ หูเขาว่า “เขาพูดไม่ได้ แล้วญาติเพียงคนเดียวของเขาเพิ่งเสียชีวิตไปไม่นานมานี้ เขาน่าสงสารมากเลย”
แม้ว่าวันนี้เด็กสาวจะไม่ได้ตามแม่จิ้งจอกไป แต่นางก็จำบทสนทนาที่ตนเองได้ยินในบ้านไม้เมื่อวานได้ นางจึงคาดเดาว่าหยินกู่ต้องตายแล้วแน่นอน ดังนั้นหูเจียวเจียวจึงพาหยินชางกลับมาที่บ้านด้วย
พอหลงจงได้ยินเช่นนี้ก็เหลือบมองไปยังคนโตกว่าที่อยู่ไม่ไกลด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย
เด็กหนุ่มสังเกตท่าทีของอีกฝ่ายที่ถือกล่องไม้ประกอบกับมีสีหน้าไร้ชีวิตชีวา แล้วเขาก็ทำหน้ามุ่ยพลางตอบกลับน้องสาวว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”
เมื่อหลงจงได้รู้ว่าหยินชางเพิ่งสูญเสียคนในครอบครัวไป เขาก็ไม่สนใจเด็กคนนั้นอีก
ทางด้านหลงอวี้กับหลงเซียวที่อยู่อีกด้านก็ยับยั้งสีหน้าของตัวเองทันทีที่พวกเขาได้ยินคำพูดของหลงหลิงเอ๋อ แต่ทั้งคู่ยังคงมองเด็กแปลกหน้าแบบไม่สู้ดีนัก
พวกเขาแค่ไม่ชอบหยินชางที่จู่ ๆ ก็กลับมาพร้อมกับแม่จิ้งจอก
“นี่คือหยินชาง ต่อจากนี้ไปเขาจะมาอาศัยอยู่ในบ้านของเรา หยินชางแก่กว่าพวกเจ้า เหยาเอ๋อเรียกเขาว่าพี่ชายสิ” หูเจียวเจียวอธิบายขณะกอดลูกชายคนเล็ก
จากนั้นหญิงสาวก็หันกลับมาแนะนำเด็กตระกูลหลงให้หยินชางได้รู้จัก
“หยินชาง นี่คือลูกทั้ง 5 คนของข้า พวกเจ้า 2 คนน่าจะเข้ากันได้ดี”
ประโยคสุดท้ายเธอจงใจเน้นไปที่เจ้าตัวแสบ
หลงเหยาที่ได้ยินคำพูดของผู้เป็นแม่เม้มปากสีชมพูพร้อมทำหน้าไม่พอใจ “ท่านแม่ ทำไมท่านต้องมีลูกเพิ่มอีกคน?”
หูเจียวเจียวรู้สึกขบขันกับคำถามของคนตัวเล็กพลางดีดหน้าผากเขาด้วยความหมั่นเขี้ยว “แม่ให้กำเนิดลูกเพียง 5 คนเท่านั้น แม่จะมีลูกอีกคนได้ยังไง?”
“แล้วทำไมเสี่ยวเหยาต้องเรียกเขาว่าพี่ด้วย เสี่ยวเหยาไม่อยากเรียกเขาว่าพี่ชาย” เด็กน้อยเอามือกุมหน้าผากอย่างเศร้าสร้อย
“แล้วเจ้าจะเรียกเขาว่าอะไรล่ะ?” จิ้งจอกสาวถาม
หลงเหยามองไปที่คนเป็นแม่เงียบ ๆ ขณะกุมศีรษะแล้วกระซิบตอบว่า “เสี่ยวเหยาอยากให้เขาออกไป”
“...” หูเจียวเจียวได้ยินคำตอบของลูกชายแล้วก็ยืนอึ้งไปชั่วครู่
“ไม่ได้” หญิงสาวยกมือขึ้นบีบจมูกเจ้าตัวเล็กก่อนจะวางเขาลง แล้วพาหยินชางเข้าไปในบ้านแทน
ระหว่างที่แม่จิ้งจอกเดินไป เธอก็คอยแนะนำส่วนต่าง ๆ ของบ้านให้เขาฟังไปด้วย
“นี่คือบ้านของข้า ในอนาคตเจ้าจะอาศัยอยู่ที่นี่ แต่มันยังไม่มีห้องสำหรับเจ้า ในช่วง 2-3 วันนี้เจ้าไปอาศัยอยู่ในบ้านไม้ก่อนแล้วกัน ที่นี่ยังพอมีห้องว่างอยู่ ข้าจะจัดเตรียมห้องให้เจ้า แล้วก็ทำเตียงอุ่น ๆ เอาไว้นอน ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว มันก็จะเป็นห้องของเจ้า”
เธอต้องจัดโกดังให้เป็นระเบียบพร้อมเตรียมเครื่องเรือน แล้วให้หยินชางย้ายเข้าไปอาศัยอยู่ที่นั่น
ยามนี้เด็กหนุ่มเดินตามหลังหญิงสาวไปเงียบ ๆ นัยน์ตาสีดำสนิทกวาดไปทั่วบ้านหลังใหญ่ ก่อนที่ร่องรอยของความประหลาดใจจะฉายในดวงตาของเขา
บ้านของเผ่านี้แปลกมาก เขาไม่เคยเห็นมันที่ไหนมาก่อน
คนในเผ่าใช้หินสร้างบ้านอย่างนั้นหรือ พวกเขาไม่กลัวว่าหินจะตกลงมาทับคนตายหรือไง?
เมื่อหูเจียวเจียวพาหยินชางไปทำความคุ้นเคยกับบ้านหินรวมถึงห้องที่จะมอบให้เขาเสร็จแล้ว จากนั้นเธอก็พาเขาไปยังบ้านไม้ที่เขาต้องอาศัยอยู่ชั่วคราว
เนื่องด้วยพวกเธอเพิ่งย้ายเข้าบ้านใหม่เมื่อไม่นานมานี้เอง ดังนั้นบ้านไม้หลังเก่าจึงยังสะอาดอยู่มาก แม้ว่าสภาพของมันอาจจะดูโทรมไปบ้าง แต่ก็ไม่กระทบกับความเป็นอยู่มากนัก
เวลาต่อมา จิ้งจอกสาวทำเตียงฟางให้เด็กหนุ่มและเอาหนังสัตว์ผืนหนึ่งมาปูเป็นที่รองนอนก่อนจะให้อีกฝ่ายเข้ามาในบ้าน
“เอาล่ะ หยินชาง เจ้าอยู่ที่นี่สัก 2-3 วันก่อนนะ แล้วข้าจะช่วยทำห้องให้เจ้า”
ทันทีที่หยินชางเดินเข้าไปในบ้านไม้ เขาก็เห็นเตียงที่ถูปูเรียบร้อยสะอาดสะอ้าน นั่นทำให้เขาผงะไปเล็กน้อย เขาไม่คาดคิดจริง ๆ ว่าหูเจียวเจียวจะพิถีพิถันขนาดนี้
เด็กหนุ่มยืนถือโกศด้วยความงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหัวเพื่อเรียกสติตัวเอง
ครู่ถัดมา เขาหันไปหาจิ้งจอกสาวแล้วโบกมือข้างหนึ่งโดยต้องการบอกว่านางไม่จำเป็นต้องเตรียมห้องให้เขาอีก การให้เขาอยู่ที่นี่มันก็เพียงพอแล้ว
ในเผ่าอื่นที่ตนเคยอยู่ แม้แต่การอาศัยอยู่ในบ้านไม้แบบนี้ก็ยังถือว่าเป็นอะไรที่ได้รับเกียรติมากแล้วจริง ๆ
เพราะเขาและพี่ชายเป็นภูตต่างเผ่า พวกเขาจึงทำได้เพียงเลือกอาศัยอยู่ในบ้านไม้หรือถ้ำที่คนอื่น ๆ ไม่ต้องการ ต่อมา หยินกู่สามารถสร้างบ้านไม้เป็นของตัวเองได้ จากนั้นทั้งคู่ก็ย้ายไปอยู่ในบ้านไม้หลังใหม่ แต่พวกเขามักจะถูกพวกภูตของเผ่าเอาก้อนหินขว้างใส่อยู่ดี
ทันทีที่พี่ชายของเขาซ่อมมัน ก็จะมีเหล่าภูตมาทำลายมันอีก
ความจริงแล้ว ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่มีที่พักอาศัยเป็นบ้านไม้หลังใหม่ก็ไม่เป็นไร ในทางกลับกัน หาก 2 พี่น้องมาอาศัยอยู่ที่นี่ก็ต้องซ่อมแซมบ้านบ่อย ๆ นอกจากนี้พวกเขาจะได้รับบาดเจ็บและมีเลือดออกตามจุดที่โดนก้อนหินหรือท่อนไม้กระแทกอีกด้วย
เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก ทั้งคู่จึงตัดสินใจย้ายไปอาศัยอยู่ในบ้านไม้ที่ทรุดโทรม
“วางใจเถอะ เรื่องห้องไม่ต้องห่วง ที่บ้านนั้นมีห้องว่างพอดี ข้ารับปากพี่ชายของเจ้าไว้แล้วว่าจะดูแลไม่ให้เจ้าลำบาก”
หูเจียวเจียวยิ้มพลางตบไหล่หยินชางเบา ๆ
“ถึงเจ้าจะไม่ใช่ลูกข้า แต่ในอนาคตหากลูกของข้าได้อะไร เจ้าก็จะต้องได้แบบพวกเขา”
เพราะอย่างไรเสียจิ้งจอกสาวก็ไม่ได้ขาดเสบียง
ฝ่ายที่ถูกรับมาเลี้ยงดูเม้มริมฝีปาก ลดศีรษะลง ก่อนจะวางโกศแล้วโค้งคำนับให้ผู้มีพระคุณเพื่อเป็นการขอบคุณ
ตอนนี้ผมของเขายาวจนปกคลุมแก้มจึงบดบังดวงตาขุ่นมัวไร้ชีวิตชีวาเอาไว้
ในยามเย็น พอหลงโม่กลับมาและเห็นหยินชางอยู่ที่ลานบ้าน เขาก็ตกตะลึงเพราะตนไม่ได้คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะย้ายมาอยู่ด้วยเร็วขนาดนี้ เมื่อชายหนุ่มเห็นหูเจียวเจียวที่เพิ่งเดินออกจากประตูบ้านไม้มา เขาก็เข้าใจในทันทีพร้อมกับที่แววตาเปลี่ยนไปเป็นอ่อนโยน
ถัดมา จิ้งจอกสาวเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันนี้ รวมถึงแผนการของเธอที่จะเปลี่ยนโกดังให้เป็นห้องนอนของหยินชาง
“ตกลง ข้าจะทำเอง”
มังกรหนุ่มตอบตกลงโดยไม่ต้องคิด
จากนั้นชายหนุ่มจัดการเหยื่อที่เอากลับมาวันนี้โดยตัดเป็นชิ้น ๆ ให้หูเจียวเจียวสามารถนำไปประกอบอาหารต่อได้และย้ายพวกมันทั้งหมดไปที่ห้องครัว ขณะที่หญิงสาวกำลังทำอาหารเย็น เขาก็มุ่งหน้าไปยังสถานที่เก็บของของเผ่าเพื่อขนหินที่จำเป็นสำหรับการทำห้องใหม่
ปัจจุบันโกดังถูกทำความสะอาดจนเป็นระเบียบเรียบร้อย แล้วในอนาคตหลังจากที่ทำเครื่องเรือนอย่างเช่น เตียง, โต๊ะ, เก้าอี้, ตู้เก็บของ, ตู้เสื้อผ้าเสร็จ เพียงเท่านี้เจ้าของห้องก็อาศัยอยู่ได้แล้ว
เมื่อหูเจียวเจียวทำอาหารเย็นเสร็จ จมูกของหลงเหยาที่รับรู้กลิ่นอาหารได้เป็นอย่างดีก็ตามกลิ่นมาโดยที่เธอไม่จำเป็นต้องตะโกนเรียกเขา ไม่นานเด็กน้อยตัวอ้วนกลมก็นั่งตัวตรงอยู่ที่โต๊ะอาหารพร้อมกับพี่น้องของตน
ทางด้านแม่จิ้งจอก เธอเดินไปที่บ้านไม้เพื่อเรียกหยินชางมากินข้าวด้วยกัน
เนื่องจากหูเจียวเจียวกลัวว่าเด็กหนุ่มยังปรับตัวไม่ได้ เธอเลยจงใจบอกให้เขานั่งข้างตนเองเพื่อที่เธอจะได้ดูแลเขาสะดวก
ทั้งหมดนี้นอกจากหลงหลิงเอ๋อแล้ว เด็กตระกูลหลงอีก 4 คนกำลังเหลือมองไปทางเด็กใหม่ด้วยความไม่พอใจ
ไอ้เด็กนั่น! พอมาปุ๊บก็แย่งท่านแม่ไปปั๊บ!
ตามปกติแม่จิ้งจอกจะต้องแบ่งเวลาให้ลูก ๆ ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งที่เหลือเป็นของพ่อมังกร แต่ตอนนี้พวกเขาไม่สามารถแตะต้องหญิงสาวได้เลย
หลงหลิงเอ๋อที่นั่งอีกด้านหนึ่งของหยินชางไม่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับที่นั่งของอีกฝ่ายมากนัก
อาจเป็นเพราะจิตใจของผู้หญิงนั้นละเอียดอ่อนกว่าผู้ชายมาก นางรู้สึกเห็นอกเห็นใจต่อประสบการณ์ชีวิตของเด็กหนุ่มมากกว่าคนอื่น นอกจากนี้ร่างกายเขายังได้รับบาดเจ็บอยู่ สาวน้อยรู้สึกเพียงว่าเขาน่าสงสารมาก
แม้ว่าเด็กที่ ‘น่าสงสาร’ จะแก่กว่าตนเองถึง 5 ปีและตัวสูงกว่านางเกือบครึ่งหนึ่งก็ตาม
“นั่งนิ่งทำไม พวกเจ้าไม่กินหรือ?”
หูเจียวเจียวชำเลืองมองไปยังลูกทั้ง 5 ของตนที่ยังไม่ยอมเคลื่อนไหว จากนั้นจึงถามขึ้นมาอย่างสงสัย
ทางด้านหลงเหยาเลียปากของเขา 2-3 ครั้ง ตอนนี้เขาไม่สามารถต้านทานความเย้ายวนของอาหารแสนอร่อยตรงหน้าได้อีก ไม่นานเขาก็หันไปสนใจชามข้าวของตัวเองทันที
เอาไว้กินอิ่มก่อนค่อยไปจัดการเจ้าเด็กใหม่นั่น!
ต่อมา คนตัวเล็กถือช้อนไว้ในมือ แล้วใช้มันตักข้าวเข้าปากคำแล้วคำเล่าจนแก้มของเขาพองขึ้น...
เมื่อพวกพี่ ๆ ที่อยู่ด้านข้างเห็นการกระทำของน้องชายคนสุดท้อง พวกเขาก็มองไปทางอื่นด้วยความเอือมระอา ก่อนจะหยิบตะเกียบขึ้นมากินเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไร
กล่าวได้ว่าเด็กมีความสามารถในการเรียนรู้สูง ปัจจุบันเด็กตระกูลหลงเรียนรู้การใช้ตะเกียบได้คล่องแล้ว ยกเว้นว่านิ้วของหลงเหยาป้อมสั้นเกินไป ทำให้เด็กน้อยไม่สามารถจับตะเกียบได้อย่างมั่นคง เขาจึงใช้ช้อนตักอาหารได้เท่านั้น
แน่นอนว่าสิ่งที่หูเจียวเจียวเตรียมให้หยินชางก็คือช้อนเช่นกัน
“หยินชาง กินได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ ยังมีให้กินอีกเยอะ”
เมื่อจิ้งจอกสาวเห็นเด็กหนุ่มนั่งนิ่งไม่ขยับมือ เธอก็คิดว่าอาจเป็นเพราะเขาใช้ช้อนไม่เป็น เธอจึงคีบเนื้อให้เขาชิ้นหนึ่ง
ทางด้านหยินชางมองดูเนื้อในชามที่อีกฝ่ายส่งมาให้ และอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ เขาไม่ได้กินเนื้อปรุงสุกมานานแล้ว ปกติในป่าไม่มีไฟ ดังนั้นเขากับพี่ชายจึงกินเนื้อดิบมาตลอด
แถมเนื้อในชามยังมีกลิ่นดีกว่าเนื้อสัตว์ที่ตนเคยกินมาก่อนอีกด้วย
ในขณะเดียวกัน หลงหลิงเอ๋อมองเด็กหนุ่มด้วยรอยยิ้มพลางช่วยพูดกระตุ้นเขา
“ลองชิมเร็วเข้า เนื้อที่แม่ข้าทำอร่อยนะ รับรองว่าเจ้าจะต้องติดใจจนอยากกินอีกแน่นอน”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 209
แสดงความคิดเห็น