ตอนที่ 239 สนามประลอง
ตอนที่ 239 สนามประลอง
แต่เมื่อเซี่ยเฟยได้ออกมาจากถ้ำที่คดเคี้ยวเขาก็ได้พบกับศิษย์ในสำนักเงาสังหารกลุ่มใหญ่ที่กำลังรวมตัวกัน
ศิษย์ที่พักอยู่บริเวณเชิงเขาเป็นศิษย์ที่ไม่สามารถเข้าสำนักอย่างเป็นทางการได้ พวกเขาจึงทำได้เพียงแต่อาศัยอยู่ในบ้านพักหลังเล็ก ๆ ภายในป่าบริเวณเชิงเขาเท่านั้น
แต่ถึงแม้ว่ามันจะเป็นบ้านพักหลังเล็ก ๆ แต่สภาพของบ้านพักเหล่านี้ก็ยังถือว่าดูดี ท้ายที่สุดสำนักเงาสังหารก็ไม่ใช่สำนักที่ขาดแคลนเงินทอง สิ่งเดียวที่ทำให้ศิษย์เหล่านี้ไม่มีความสุขคือพวกเขาขาดสถานะทางสังคมและต้องทำหน้าที่ไม่ต่างไปจากคนรับใช้
ในทุก ๆ วันพวกเขาจะต้องทำงานอย่างหนัก แต่มันก็ไม่มีความบันเทิงในรูปแบบอื่น ๆ ให้พวกเขาได้ปลดปล่อย ซึ่งด้วยวัยของพวกเขาที่เป็นวัยรุ่นมันจึงทำให้ฮอร์โมนภายในร่างกายของพวกเขากำลังพลุกพล่าน
ด้วยเหตุนี้เองความบันเทิงที่ดีที่สุดของศิษย์เหล่านี้จึงกลายเป็นการมีเพศสัมพันธ์ ทำให้ยาที่ใช้ประจำปีมากที่สุดของสำนักไม่ใช่ยาสำหรับการใช้รักษาอาการบาดเจ็บ แต่เป็นยาคุมกำเนิดที่ศิษย์นอกสำนักต้องกินอยู่เป็นประจำ
การปรากฏตัวของเซี่ยเฟยสามารถดึงดูดความสนใจของศิษย์นอกสำนักได้เป็นอย่างดี ท้ายที่สุดเรื่องซุบซิบก็เป็นหนึ่งในความบันเทิงของพวกเขาอยู่แล้ว ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงรู้เรื่องที่ชายหนุ่มเข้ามาในสำนัก
เพียงแต่ว่าเซี่ยเฟยในวันนี้ดูแตกต่างจากเซี่ยเฟยก่อนหน้านี้มาก เพราะเขาสวมใส่ชุดต่อสู้สีเทาดำที่น่าหวาดกลัวและเขาก็ยังเดินออกมาจากถ้ำที่ศิษย์ทุกคนรู้สึกคุ้นเคย
“ศิษย์พี่เซี่ยเฟย! ทำไมคุณถึงออกมาจากถ้ำนั้นได้?” พยูนรีบวิ่งมาถามเซี่ยเฟยด้วยความกระตือรือร้นหลังจากได้เห็นชายหนุ่มเดินออกมาจากถ้ำ
ศิษย์ทุกคนของสำนักเงาสังหารต่างก็รู้ดีว่าถ้ำที่ชายหนุ่มเพิ่งเดินออกมาเป็นหนึ่งในสถานที่อโคจรของสำนักเงาสังหาร และพยูนก็คิดว่าเซี่ยเฟยอาจจะเหมือนศิษย์พี่คนอื่น ๆ ของเขาที่เข้าไปในถ้ำเพื่อซื้อบริการทางเพศ
พยูนอดที่จะแอบมองไปยังด้านหลังของเซี่ยเฟยไม่ได้ เนื่องมาจากเขาสงสัยว่าศิษย์คนไหนแอบไปมีความสัมพันธ์กับเซี่ยเฟย แต่น่าเสียดายที่ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านพ้นไปแต่มันก็ไม่มีใครเดินออกมาจากถ้ำตามหลังเขาเลย
แน่นอนว่าเซี่ยเฟยย่อมไม่รู้ว่าถ้ำที่เขาเดินออกมามันคือถ้ำอะไร แต่หลังจากที่เขาได้ขึ้นกระสวยกู้ภัยที่วิ่งไปมาเหมือนกับรถไฟเหาะมันก็ทำให้เขารู้สึกวิงเวียนศีรษะอยู่เล็กน้อย เขาจึงไม่ได้สนใจความประหลาดใจบนใบหน้าของพยูนเลย
“ไม่มีเรื่องอะไรให้ใส่ใจหรอก ว่าแต่พวกนายกำลังจะไปไหนกัน?” เซี่ยเฟยถาม
“มันเกิดเรื่องใหญ่แล้วศิษย์พี่! อยู่ดี ๆ ก็มีคนมาท้าทายสำนักของพวกเราบนภูเขา เจ้าสำนักเลยสั่งให้ศิษย์ทุกคนไปรอดูการต่อสู้ในสนามประลอง” พยูนรีบกล่าวขึ้นมาอย่างกระวนกระวายเมื่อนึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
เซี่ยเฟยไม่ได้มีความผูกพันกับสำนักแห่งนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนอะไร แต่สำหรับอันธเป็นกรณีที่แตกต่างออกไป เพราะเมื่อเขาได้ยินว่ามีคนมาท้าทายสำนักมันก็ทำให้ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างน่าเกลียด
“รีบถามเขาเร็ว ๆ เข้าว่ามันเกิดอะไรขึ้น? ใครกันแน่ที่กล้ามาท้าทายสำนักเงาสังหาร” อันธกล่าวขึ้นมาอย่างร้อนรน
หลังจากนั้นเซี่ยเฟยก็พยายามถามพยูนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เนื่องมาจากเด็กหนุ่มคนนี้เป็นเพียงแค่ศิษย์นอกระดับต่ำของสำนัก เขาจึงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเพียงแค่น้อยนิดและถึงแม้ว่าพวกเขาจะพูดคุยกันเป็นเวลานาน แต่เซี่ยเฟยก็ไม่สามารถหาข้อสรุปได้ว่าความจริงแล้วมันเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา
“พยูนพวกเรากำลังจะออกเดินทางแล้ว” ชายฉกรรจ์ภายในกลุ่มตะโกนเรียกเสียงดัง
“ศิษย์พี่เซี่ยเฟยผมขอตัวก่อนนะ แต่ผมว่าคุณก็ควรจะไปที่ลานประลองด้วยเหมือนกัน” หลังจากพูดจบพยูนก็วิ่งกลับเข้าไปในกลุ่มก่อนที่จะเดินตามชายฉกรรจ์คนนั้นไปยังสนามประลอง
“รีบตามพวกเขาไปกันเถอะ” อันธกล่าว
“ฉันยังเหนื่อยอยู่เลยนะ ไม่คิดจะให้ฉันพักก่อนเลยเหรอ?” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
“มีเรื่องใหญ่แบบนี้นายยังมีกะจิตกะใจจะกลับไปพักอีกเหรอ? นี่คือคำสั่งของเจ้าสำนักในเมื่อนายกลายเป็นส่วนหนึ่งของสำนักแล้ว นายก็จะต้องไปที่สนามประลองตามคำสั่ง!” อันธกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เข้มงวด
ในที่สุดเซี่ยเฟยก็ตัดสินใจที่จะไม่ทะเลาะกับอันธในเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ เขาจึงแบกดาบอีวีสเซอเรทที่มีความยาวกว่า 2 เมตรเอาไว้บนบ่าก่อนที่จะเดินตามกลุ่มของพยูนไปอย่างช้า ๆ
ระยะทางจากที่พักของศิษย์นอกสำนักไปยังสนามประลองไม่ไกลมากนัก ทำให้ในเวลาเพียงแค่ไม่นานมันก็มีอาคารขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นภายในป่า
อาคารสนามประลองแห่งนี้มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสที่มีอัฒจันทร์ให้รับชมรอบทิศทางและนอกจากนี้มันก็ไม่มีลักษณะพิเศษใด ๆ
เนื่องจากเซี่ยเฟยได้รับการแต่งตั้งให้กลายเป็นตัวแทนของสำนักแล้ว เขาจึงสามารถเข้าไปในลานประลองได้อย่างไม่มีปัญหา
อัฒจันทร์ในลานประลองสามารถรองรับผู้ชมได้ประมาณ 3,000 คน ย้อนกลับไปในยุครุ่งเรืองสำนักเงาสังหารเคยมีศิษย์ในสำนักมากถึง 100,000 คน ทำให้ทุกคนที่เข้าไปในลานประลองจะต้องมีสถานะสูงระดับหนึ่ง แต่ตอนนี้ความเจริญของสำนักลดน้อยถอยลงทำให้ถึงแม้พวกเขาจะเชิญศิษย์นอกของสำนักมารับชมการประลองแล้ว แต่มันก็ยังเหลือที่ว่างบนอัฒจันทร์เป็นจำนวนมาก
ศิษย์ในสำนักถูกวางตำแหน่งให้นั่งที่อัฒจันทร์ทางทิศใต้ ขณะที่ศิษย์นอกสำนักถูกจัดให้นั่งในอัฒจันทร์ทางทิศเหนือ ส่วนอัฒจันทร์ทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตกเป็นเพียงอัฒจันทร์ที่ว่างเปล่าไม่มีใครขึ้นไปนั่งอยู่ในอัฒจันทร์ทั้งสองแห่งนั้น
บริเวณสนามประลองเป็นพื้นที่สี่เหลี่ยมที่มีความกว้างและความยาว 100 เมตร มีกำแพงพลังงานครอบคลุมสนามประลองเอาไว้ทั่วทิศทาง เพื่อป้องกันไม่ให้การจู่โจมของคู่ประลองลอยออกมาตกกระทบกับเหล่าผู้รับชม
เซี่ยเฟยเงยหน้าขึ้นไปมองข้อความบนหน้าจอที่อยู่เหนือสนามประลอง และเขาก็ได้พบว่าคู่แข่งของสำนักเงาสังหารในวันนี้คือสำนักที่มีชื่อว่าเหมันต์สวรรค์
“สำนักเหมันต์สวรรค์?” อันธส่งเสียงอุทานด้วยความประหลาดใจ
“พวกเขาคือใคร?” เซี่ยเฟยถามด้วยความสงสัย
“สำนักเหมันต์สวรรค์เป็นสำนักนักฆ่าในสมาพันธ์นักฆ่า ที่ครั้งหนึ่งสำนักเงาสังหารก็เคยอยู่ในสมาพันธ์นี้เช่นเดียวกัน” อันธกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
“สมาพันธ์นักฆ่า? มันมีองค์กรแบบนี้อยู่ในจักรวาลด้วยเหรอ?” เซี่ยเฟยถามด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินชื่อขององค์กรแห่งนี้
“ในพันธมิตรมนุษย์ไม่ได้มีเพียงแต่สมาพันธ์จัสทิสกับสมาพันธ์เฮอร์มิทหรอกนะ สมาพันธ์พวกนั้นเป็นเพียงแค่สมาพันธ์ที่อยู่ในแสงสว่าง แต่มันยังมีสมาพันธ์ที่อยู่ในความมืดอีกอย่างมากมาย ซึ่งสมาพันธ์นักฆ่าก็เป็นหนึ่งในสมาพันธ์ที่อยู่ท่ามกลางความมืด” อันธกล่าว
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เพราะท้ายที่สุดแม้กระทั่งบนดาวโลกก็มีองค์กรใต้ดินอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นองค์กรบนดินหรือองค์กรใต้ดินต่างก็ล้วนแล้วแต่มีหน้าที่รับผิดชอบที่แตกต่างกันไป หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ขาดหายไปมันก็จะก่อให้เกิดความไม่สมดุลย์ทางสังคม
ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สังคมระดับจักรวาลจะมีองค์กรที่อยู่ในความมืดเช่นเดียวกับสมาพันธ์นักฆ่า เพราะท้ายที่สุดสังคมในพันธมิตรก็มีความซับซ้อนมากกว่าสังคมในดาวโลก มันจึงจำเป็นจะต้องมีองค์กรพวกนี้เพื่อเอาไว้ปรับสมดุลย์ในสังคม
“ฉันเคยอ่านในเอกสารสำคัญว่าผู้ก่อตั้งสำนักเหมันต์สวรรค์กับผู้ก่อตั้งสำนักเงาสังหารเคยเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องในสำนักเดียวกันมาก่อน ฉันไม่เคยคิดเลยว่าคนพวกนี้จะกล้ามาท้าทายสำนักเงาสังหารจริง ๆ คนพวกนี้มันเป็นพวกเนรคุณ!” อันธกล่าวขึ้นมาด้วยความโกรธ
การเตรียมตัวก่อนการประลองยาวนานมาก ซึ่งในระหว่างนี้อันธก็ยังคงบ่นเรื่องความผิดของอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกเบื่อขึ้นมาเล็กน้อย
ยิ่งเวลาผ่านไปจำนวนคนบนอัฒจันทร์ก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอนว่าพวกนักฆ่าเดนตายไม่ได้เข้ามารับชมการประลองในครั้งนี้ด้วย เพราะคนพวกนี้เป็นเหมือนกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสำนัก พวกเขาจึงคอยดูแลสำนักจากเงามืดอยู่ตลอดเวลา
ขณะเดียวกันใบหน้าของเซี่ยเฟยที่ไม่คุ้นเคยก็ดึงดูดสายตาของผู้คนได้เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเมื่อเขาได้สวมใส่ชุดบลีดดิ้งก็อดและถือดาบอีวีสเซอเรท มันจึงยิ่งทำให้เขากลายเป็นจุดสนใจมากขึ้นกว่าเดิม
ในไม่ช้ามันก็เริ่มมีคนกระจายข่าวว่าเซี่ยเฟยคือตัวแทนคนใหม่ของสำนัก ทำให้ทุกคนมีท่าทางผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น เพราะถึงแม้ว่าตัวแทนจะไม่ใช่ศิษย์ของสำนักแต่ตัวแทนก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของสำนักอยู่ดี ด้วยเหตุนี้แววตาแห่งความสงสัยจึงได้เปลี่ยนไปกลายเป็นแววตาที่เต็มไปด้วยความดูถูก
ตัวแทนของสำนักไม่ถือว่ามีสถานะสำคัญภายในสำนักเลย และถึงแม้ว่าพวกเขาจะทำงานให้กับสำนักเงาสังหาร แต่ความจริงมันดูคล้ายกับพวกเขาเป็นทาสที่ต้องคอยหาเงินให้กับสำนักมากกว่า พวกศิษย์นอกสำนักจึงคิดว่าอย่างน้อยพวกเขาก็มีสถานะที่สูงกว่าเซี่ยเฟย
โชคดีที่เซี่ยเฟยไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้ เขาจึงสูบบุหรี่พ่นควันออกมาอย่างช้า ๆ คล้ายกับผู้ชมที่กำลังรอคอยการประลองที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
หลังจากเวลาได้ผ่านพ้นไปประมาณครึ่งชั่วโมง เงากระเรียนและตงเทียนก็เดินเข้ามาก่อนที่จะขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ชั้นบนสุดของอัฒจันทร์ทางทิศตะวันออก
ด้านหลังของชายชราทั้งสองคนนี้คือผู้อาวุโสทั้งสามของสำนักเงาสังหาร แล้วมันยังมีชายอ้วนอีกคนหนึ่งซึ่งดูไม่คุ้นหน้า ซึ่งเซี่ยเฟยได้ประมาณการว่าถ้าพื้นของอัฒจันทร์ไม่ได้ถูกปูด้วยวัตถุที่เข้มแข็งมากพอ น้ำหนักของชายคนนี้ก็อาจจะทิ้งรอยเท้าเอาไว้บนพื้นที่เขาเดินผ่าน
ชายร่างอ้วนเดินเชิดหน้าราวกับจงใจยั่วยุทุกคนที่เขาเดินผ่าน และในแววตาของเขาก็เต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยามมากกว่าแววตาที่ศิษย์นอกสำนักใช้ระหว่างมองมาทางเซี่ยเฟยเสียอีก
เหล่าบรรดาศิษย์ของสำนักเงาสังหารต่างก็มองไปทางชายอ้วนคนนี้ด้วยใบหน้าที่หงุดหงิด แต่น่าเสียดายที่ชายคนนี้ไม่ได้มีเพียงแค่รูปร่างที่ใหญ่โตเท่านั้น แต่ใบหน้าของเขายังหนาเป็นชั้น ๆ ทำให้เขาไม่ได้รู้สึกถึงความโกรธของผู้อื่น
เมื่อคนสำคัญได้เดินเข้ามาเซี่ยเฟยก็เริ่มกลับมามีท่าทางสนใจอีกครั้ง ท้ายที่สุดการได้เห็นการต่อสู้ระหว่างผู้เชี่ยวชาญก็เป็นเรื่องยาก การประลองที่กำลังจะเกิดขึ้นจึงสามารถดึงดูดความสนใจของชายหนุ่มได้อย่างแท้จริง
ต่อมามันก็มีศิษย์เดินมาส่งแท็บเล็ตรุ่นเก่าให้กับศิษย์นอกของสำนัก ซึ่งเมื่อศิษย์เหล่านี้ได้ดูข้อมูลบนหน้าจอแล้ว การแสดงออกของพวกเขาก็เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ก่อนที่เขาจะส่งแท็บเล็ตไปให้สหายที่นั่งอยู่ในลำดับถัดไป
หลังจากนั้นไม่นานแท็บเล็ตก็ถูกส่งมาให้พยูนซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ เซี่ยเฟย ซึ่งหลังจากที่เด็กหนุ่มอ่านข้อความบนหน้าจอ 2-3 ครั้งเขาก็อุทานออกมาพร้อมกับขมวดคิ้ว
“พระเจ้า! แบบนี้พวกเราจะต้องทำยังไงดี!!”
เซี่ยเฟยแอบมองไปยังหน้าจอแท็บเล็ตด้วยความอยากรู้อยากเห็น ก่อนที่เขาจะได้พบกับภาพของชายร่างอ้วนผิวสีดำและมีประวัติถูกระบุเอาไว้ทางด้านล่าง
“ที่แท้ชายอ้วนคนนั้นชื่อฟางหยวน ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นผู้เข้าแข่งขันที่น่าสนใจเลยทีเดียว” เซี่ยเฟยพึมพำกับตัวเองหลังจากที่เขาได้อ่านข้อมูลบนหน้าจอ
***************
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 127
แสดงความคิดเห็น