STARCIN ภาคที่ 6 OverThrow ตอนที่ 8 เปลี่ยวเปล่า
สถานที่ที่เต็มไปด้วยความสงบร่มรื่นเพียงแค่นั่งหรือนอนก็เสมือนได้ปลดปล่อยตัวตนจากโลกภายนอก สายลม กลิ่นดินและน้ำสะอาด หนุ่มสาวผู้เต็มไปด้วยแรงฮึดนอนเรียงรายบนพื้นหญ้าสีเขียวริมสายธาร
“ถ้าบ้านเรามีอย่างนี้บ้างก็ดีสิ” รอยยิ้มปลื้มปริ่มใจปรากฏบนใบหน้าของพวกเธอทั้งสองที่นอนจับมือกันอยู่
“แดดอ่อน ๆ กับสายลมเย็น ๆ พัดเอาไอจากแม่น้ำขึ้นมา มันช่างเป็นอะไรที่ลงตัวขนาดนี้”
ความเหน็ดเหนื่อยของการเดินทางหายไปเป็นปลิดทิ้งถึงแม้ในดันเจี้ยนอาจจะมีมอนสเตอร์แต่พวกเขาก็หาสนใจไม่ หรือเพราะเส้นทางที่ผ่านมามีแต่มอนสเตอร์ระดับล่างที่ทำอะไรพวกเขาไม่ได้จึงลดการป้องกันลงเช่นนี้
“เมื่อไหร่พวกเจ้าจะเริ่มบททดสอบ” หญิงสาวแปลกหน้าที่นอนอยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น
“ก็เธอบอกเองไม่ใช่หรือยังไงว่าให้พักให้เต็มที่” เซนตอบรับด้วยการยิ้มเยาะกวนประสาท
สายตาอันน่าฉงนของหญิงสาวแปลกหน้าค่อย ๆ เหลือบมองทั้งสองก่อนจะลุกขึ้นยืน เสาสีขาวที่ปรากฏขึ้นมายังคงตั้งอยู่และแผ่ขยายมานาออกไปทั่วจนทำให้จักรพรรดินีสัมผัสได้ถึงมัน
“ถ้าพวกเจ้าไม่ทดสอบข้าก็จะปิดดันเจี้ยนเดี๋ยวนี้แหละ” เสียงถอนหายใจดังเพราะจงใจให้พวกเขาได้ยิน
“โถ่...ก็ได้ ๆ พวกเราจะเข้ารับการทดสอบ”
“ถึงจะน่าสงสัยก็เถอะแต่มันก็น่าท้าทายดีออก” คานะยิ้มไม่หุบเดินตามหญิงสาวปริศนาไปยังเสาสีขาว
“ถ้าเป็นการทดสอบแสดงว่าต้องมีรางวัลหรืออะไรเทือกนั้นแน่เลย...เหมือนในนิยายที่ฉันเคยอ่าน”
บทสนทนาสนุกสนานเล่าไปยันนิยายที่ชอบโดยที่ไม่รู้เลยว่าพวกเขากำลังจะไปที่ไหน รอยยิ้มสนุกอันใสซื่อของพวกเขาที่ต้องการต่อสู้และแข็งแกร่งมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ไม่สนใจเรื่องจุกจิกเหมือนซึฮากิ
“ข้าจะบอกเรื่องที่ต้องรู้ให้ หนึ่งเลยก็คือเมื่อเข้ารับการทดสอบแล้วจะไม่สามารถถอนตัวกลางคันได้ สองเมื่อผ่านการทดสอบทั้งหมดเลเวลของพวกนายจะเพิ่มขึ้นหนึ่งทันที ขอให้โชคดีล่ะ”
“เดี๋ยว ๆ ขอถามอะไรหน่อยสิ” เซนพูดขัดเสียก่อนที่จะเดินเข้าไปในเสาสีขาว
“ถามมาได้เลยถ้าข้าสามารถตอบได้”
“มีคนเคยมาทดสอบไหม? แล้วมีคนเคยผ่านแล้วกี่คน”
เธอค่อย ๆ ฉีกยิ้มอ่อนก่อนจะตอบ “เคยมีคนมานับไม่ถ้วนและมีคนผ่านแค่หนึ่งในสิบเท่านั้น”
คานะชักสีหน้าสงสัยเริ่มรู้สึกถึงความอันตรายในเบื้องหน้าที่กำลังเผชิญ
“ฮ่า ๆ ๆ ถ้าอย่างนั้นก็สบายใจได้” แต่เซนกลับหัวเราะชอบใจโอบไหล่ของคานะช่วยให้เธอผ่อนคลาย
“ถ้าอย่างนั้นเราสามารถเข้ารับการทดสอบด้วยกันได้ไหม?”
“ถ้าต้องการเช่นนั้นข้าก็ทำให้ได้ โปรดวางใจและก้าวต่อไปเสียเถอะ”
เซนส่งสายตาหยอกล้อให้กับหญิงสาวแปลกหน้าก่อนจะเดินจูงมือกับคานะพากันเข้าไปในเสาสีขาว แม้พวกเขาจะเคยเห็นอะไรที่เหมือนกับแบบนี้มาก่อนแต่ก็ไม่เคยเข้ามาใกล้ ๆ เช่นนี้ วินาทีที่ก้าวเท้าผ่านเข้าไปความรู้สึกเวียนหัวเหมือนอยู่ในเรือโคลงเคลงแทบจะอาเจียนออกมา
“ที่นี่...สินะ” คานะกวาดสายตาไปยังทุ่งหญ้าสีเขียวสุดลูกหูลูกตาไร้ที่สิ้นสุดไม่มีแม้กระทั่งต้นไม้หรือก้อนหินเลยสักอย่าง
“บททดสอบอะไรก็ไม่รู้แต่ที่แน่ ๆ มันต้องสนุกสุด ๆ ไปเลย”
“นายดูไม่กลัวอะไรเลยนะ ถ้าเธอคนนั้นหลอกเรามาฆ่าทิ้งซะล่ะ?”
“ฮึ ๆ ๆ จากประสบการณ์การอ่านนิยายและดูอนิเมะมามากมาย ที่เธอพูดมาก็อาจจะเป็นเรื่องจริงแต่”
“แต่อะไร?”
เซนสูดหายใจเข้าเต็มปอดตั้งสติให้มั่น “ผ่านบดทดสอบแล้วจะได้เลื่อนเลเวลและไม่สามารถถอนตัวกลางคันได้ จากประสบการณ์การทดสอบนี้มีความเป็นไปได้ที่ถ้าแพ้ก็คือตายนั่นเอง”
“เอ้ ! จะบ้าเหรอถ้าแบบนั้นมันโคตรเสี่ยงเลยนะ แล้วเราก็ไม่รู้ด้วยว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน?” คานะตกใจอุทานออกมาเสียงดังพร้อมกับเขย่าตัวเซนเพราะโมโห
“ใจเย็น ๆ น่าพวกเราก็แค่ผ่านบททดสอบให้ได้ก็พอ แถมถ้ามันยากขนาดนั้นก็อาจจะมีตัวเป้ง ๆ ให้เราได้สู้ก็ได้”
มีเพียงเซนที่ยังยิ้มร่าเริงกลอกตามองไปรอบ ๆ ขณะที่ปลอบคานะไปด้วย เขาได้สังเกตเห็นข้อความปรากฏขึ้นตรงหน้าเหมือนกับการดูสเตตัสของตัวเอง
[บททดสอบที่หนึ่ง - กองทัพมอนสเตอร์]
จู่ ๆ ก็มีเสาสีขาวปรากฏรอบ ๆ ตัวพวกเขาห่างออกไปแค่หนึ่งร้อยเมตร หลังจากนั้นไม่นานมันก็มีกองทัพมอนสเตอร์หลากชนิดหลากสายพันธุ์เดินออกมา
“เหมือนจะเริ่มแล้วนะ...คานะ”
รอยยิ้มของเธอเต็มไปด้วยความขุ่นมัวแต่ขณะที่เป็นเช่นนั้นเธอก็ยังไม่มีอาการสั่นกลัวหรือความหวาดหวั่น “เหอะ ในเมื่อเข้ามาแล้วก็คงต้องสู้ต่อไป”
ฟ้าสีครามส่องสว่างท่ามกลางพื้นหิมะสีขาวค่อย ๆ เปลี่ยนกลายเป็นฟ้ามืดอย่างกับจะมีพายุฝนมา ขณะเดียวกันเหล่าทหารและคนเหมืองก็ต้องเร่งมือขนแร่ขึ้นรถให้หมดก่อนที่ลางร้ายจะคืบคลานเข้ามา
“นั่นยังไงล่ะ บททดสอบได้เริ่มขึ้นแล้วและมันจะไม่มีวันจบจนกว่าคนผู้นั้นผ่านไปได้...หรือไม่ก็ตาย”
มาธอนยืนนึกใบหน้าของคนในเมืองว่าใครที่หายไปแต่ก็ไม่มี “ผมก็กำลังสงสัยอยู่ว่าใครกันที่ขึ้นเขาไปในสภาพอากาศอย่างนี้ ไม่ใช่คนในเมืองแน่ ๆ เพราะผมจำหน้าได้หมด”
เดี๋ยวนะหรือจะเป็นพวกยูกิ ตอนนี้ก็ยังไม่เห็นพวกเขาเลยหวังว่าจะไม่ใช่นะ
“อะไร? ทำหน้าเหมือนรู้ว่าใครเป็นคนเข้าไป” แคทเทอรีนพูดหยอกล้อพร้อมกับแสยะยิ้มสนุกสะใจ เธอกินอาหารที่มีเต็มโต๊ะภายในครึ่งชั่วโมงจนแม้แต่ชายฉกรรจ์ยังต้องอายในความหิวกระหายของเธอ
พึ่งจะสังเกตนะเนี่ย...สเตตัสที่ไม่เพิ่มมานานมันกำลังเพิ่มขึ้น แม้จะเล็กน้อยแต่มันเป็นไปได้ยังไง?
“แน่ใจใช่ไหมว่าไม่ได้ใส่อะไรแปลก ๆ ลงไป”
มาธอนก้มหน้าลงเล็กน้อยตอบกลับ “เราไม่อาจทราบได้จริง ๆ ครับ เพราะเป็นสูตรลับของพ่อครัว เขาเป็นนักเดินทางที่ไม่หวังในทรัพย์สินหรือความมั่งคั่งจึงปกปิดตัวตนไว้”
“โฮะโฮ เป็นพวกน่ารำคาญเสียจริง”
หลังจากนั้นเธอก็หันไปกระซิบคุยกับสาวใช้ของเธอ “ฝากจัดการด้วยล่ะ”
พวกซึฮากิพากันแอบเข้าไปในเหมืองเพื่อฝึกและขโมยแร่บางส่วนไปด้วยแต่หลังจากเข้าไปก็ดันมีคนเหมืองมาตรวจพอดิบพอดี
พวกเขาต้องคอยหลบสายตาการเดินตรวจตราของคนเหมืองจะว่าโชคดีที่มีเวทมนตร์ของซึฮากิที่ทำให้อีกฝ่ายมองได้ลำบากขึ้น ในมุมมองทั่วไปก็อาจจะเห็นทางเดินด้วยคบเพลิงแต่เมื่อโดนเวทวิสัยทัศน์เข้าไปมันกลับมืดลงเหมือนแสงจากคบเพลิงกำลังจะดับ
“ไม่มีสัญญาณชีวิตของพวกเขาแล้วคงจะมาตรวจดูความเรียบร้อยเฉย ๆ” เมื่อซึฮากิเอ่ยเช่นนั้นพวกเขาก็ออกมาจากที่ซ่อนตามซอกตามหลืบ
“เฮ้อ...มอนสเตอร์ในนี้มีแต่พวกอ่อน ๆ ไม่ได้ออกแรงสักเท่าไหร่เลย” ยูกิถอนหายใจแรงดูจะเบื่อหน่ายยิ่งกว่าตอนเข้าไปสอดแนมกิลด์เสียอีก
“เอาเถอะน่าก็พวกเราไม่รู้จะไปฝึกซ้อมที่ไหนที่ไม่มีคนเห็น จะออกไปในป่าที่มีแต่หิมะก็ได้ไม่ได้ถ้าเกิดใช้เวทมนตร์มันก็เป็นจุดสังเกตอยู่ดี อย่างน้อยในนี้มันก็ห่างใกล้จากตัวเมืองพอสมควร”
“ไหน ๆ แล้วเราก็มาสู้โดยไม่ใช้เวทมนตร์กันดีกว่า” สเตล่าเข้าปะทะกับมอนสเตอร์อันเดดที่ดูอ่อนแออย่างสเกเลตันใช้มีดสั้นจ้วงเข้าที่ซี่โครงและสลัดมันออกไป
“ก็ได้ ๆ” การฝึกต่อสู้ด้วยพลังกายที่ไม่ได้ใช้มานานช่วยให้พวกเธอเพิ่มสเตตัสด้านนี้ได้เพียงเล็กน้อยแต่มันก็คุ้มค่า
“ป่านนี้พวกเซนทำอะไรกันอยู่นะ?” น้ำเสียงและสีหน้าของสเตล่าเต็มไปด้วยความสงสัยและเป็นห่วงอดคิดถึงไม่ได้ที่พวกเขาต้องไปเผชิญกับหิมะอันหนาวเหน็บบนภูเขา
แสงสาดส่องลงบนพื้นหญ้าถูกชโลมไปด้วยเลือดที่ค่อย ๆ แห้งไปตามกาลเวลา เศษซากมอนสเตอร์จำนวนมากกระจายไปทั่วบริเวณนั้นอย่างกับเป็นการสังหารหมู่
“นี่มันกี่ชั่วโมงแล้วเนี่ย” น้ำเสียงอันเชื่องช้าเต็มไปด้วยความเหนื่อยจนอยากนอนพัก
“ฉันเองก็...ไม่แน่ใจเหมือนกัน พวกมันออกเป็นมาเวฟและทุก ๆ เวฟจะมีเพิ่มอีกสิบตัว” คานะใช้มีดสั้นขีดที่พื้นเพื่อทำเป็นบันทึก
“เวฟแรกมันโผล่ออกมายี่สิบตัวและหลังจากจัดการได้หมดประมาณหนึ่งชั่วโมงก็จะมีเวฟถัดไปมา ดังนั้นก็จะได้สามสี่...ตอนนี้เราอยู่มาแปดถึงสิบชั่วโมง”
เสียงหัวเราะลั่นมาจากชายหนุ่มผมสีทองหน้าอาบไปด้วยเลือดของมอนสเตอร์แต่ก็ไม่อาจลดทอนความหล่อเหลาลงได้
“ประสบการณ์แบบนี้มันเหมือนกับตอนนั้นเลยเนอะ ถ้าไม่ได้กิเราก็คงไม่รู้ว่าเลือดมอนสเตอร์สามารถเพิ่มมานาได้ ถ้ามานาหมดเราก็คงต้องสู้ด้วยพลังกายเพียงอย่างเดียว”
ขณะที่กำลังนอนพักเก็บแรงแต่ไม่ทันได้พอใจก็มีเสาสีขาวปรากฏขึ้นอีกครั้งล้อมรอบพวกเขาและส่งมอนสเตอร์ออกมาหนึ่งร้อยสิบตัว
“จะใช้แรงไปสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ คานะเธอเตรียมโล่วารีคลุมพวกเราไว้ฉันจะระเบิดพวกมันทั้งหมดทีเดียว”
คานะพยักหน้าตอบรับใช้มีดสั้นแทนที่จะเป็นธนูก่อรูปเวทมนตร์วารีขึ้นมาและค้างมันไว้อย่างนั้นรอสัญญาณจากเซนอีกที
ต่อให้พวกมันถาโถมเข้ามาแต่สติปัญญาแค่นั้นก็เป็นแค่เป้าซ้อมเท่านั้นแหละ “ไปสบายซะนะ”
เซนกระโดดขึ้นเหนือพื้นกว่าสิบเมตรสอดสายตาไปรอบ ๆ เล็งจุดที่ต้องร่ายเวทและก่อนที่เขาจะร่วงลงพื้นเขาก็ได้เหวี่ยงคลื่นดาบที่มีสะเก็ดไฟเล็ก ๆ ออกไปด้วย สะเก็ดไฟพวกนั้นตกลงในตำแหน่งที่เซนเล็งไว้ เมื่อพวกมอนสเตอร์เดินเข้ามาเซนก็สั่งให้มันขยายตัวจนระเบิดสร้างแรงกระแทกและความเสียหายพอ ๆ กับระเบิดมือเอ็มหกเจ็ด
เป็นวิธีที่เสี่ยงแต่เรามีคานะที่ใช้เวทวารีป้องกันความร้อนและแรงกระแทกได้ ทำให้เราสามารถล่อพวกมันให้มารวมกลุ่มกันตรงกลางก่อนค่อยจัดการแต่เพราะต้องกระจายไปรอบ ๆ ทำให้ระยะหวังผลลดลงไปมาก
โล่วารีของคานะรับแรงกระแทก ความร้อนและสะเก็ดระเบิดไว้ทั้งหมดขณะที่เบื้องหน้าเต็มไปด้วยฝุ่นฟุ้งกระจายจะเห็นก็เพียงแค่ชิ้นเนื้อของพวกมันที่กระจัดกระจายไปทั่ว
“ตอนนี้แหละคานะ !”
พวกเขาใช้ช่วงเวลาที่มีฝุ่นบดบังสายตาของมอนสเตอร์เข้าจู่โจม คานะยิงศรเวทมนตร์ผ่านฝุ่นควันพุ่งเข้าหัวของมอนสเตอร์ตัวเล็กดูอ่อนแอดูจากรูปร่างแล้วน่าจะเป็นประเภทเคลื่อนไหวคล่องแคล่วแต่เพราะวิสัยทัศน์ย่ำแย่จึงทำได้แค่เดินไปเรื่อย ๆ
เราต้องเล็งจัดการพวกตัวไว ๆ ก่อนส่วนพวกอึดถึกทนก็ให้เซนจัดการไป
ด้วยการต่อสู้ร่วมกันมานานพวกเธอสองคนสามารถรู้การเคลื่อนไหวของกันและกันได้แม้จะไม่ได้มอง ด้วยเหตุนี้ทำให้การเคลื่อนไหวสลับไปมาภายในกลุ่มควันผลัดกันจัดการมอนสเตอร์ที่ตัวเองสู้ได้โดยไม่มีพลาดช่วยให้ลดแรงและมานาที่ต้องใช้ไปได้มากโข
“เสร็จไปอีกหนึ่งเวฟ” แม้สภาพร่างกายพร้อมสู้แต่เสื้อผ้าและกลิ่นตัวนั้นไม่ใช่ หากพวกเขาออกไปข้างนอกด้วยสภาพเช่นนี้มีหวังโดนไล่ออกมาจากเมืองเป็นแน่
“ยังดีที่พวกมันเป็นมอนสเตอร์ระดับต่ำ ใช้เวทมนตร์ไม่ได้ร่างกายก็ไม่ได้แข็งอะไรมาก” คานะใช้เวลาอันมีค่าตรวจเช็กสภาพโดยรอบ หลุม บ่อหรือเศษซากมอนสเตอร์ที่พอจะเอาไปใช้ประโยชน์ได้
“ก็ใช่แต่ในอนาคตฉันว่ามันแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอน หรือเราจะวางกับดักรอเลยเพราะยังไงมันก็โผล่ออกมาที่เดิมตลอด”
คานะหยุดชะงักทันทีที่ได้ยิน “นั่นน่ะสิทำไมเราไม่ทำแบบนั้นตั้งแต่แรก ว่าแต่เราจะทำกับดักยังไงดี?”
หนุ่มสาวทั้งสองคิดกันหัวหมุนลองใช้เวทมนตร์ของตนเองวางไว้กับพื้นแต่มันก็สลายไปไม่ก็ระเบิดเสียก่อน
“จำได้ว่าซึฮากิเคยสอนแท้ ๆ แต่ดันนึกไม่ออก” เซนเม้มปากคิดหนักจนหน้าเป็นรอยย่น
“เคลือบมานาไว้สองชั้นล่ะมั้ง”
“ต้องลองดูจะได้รู้” เซนเริ่มรวบรวมมานาอีกครั้งใช้ความรู้สึกและเทคนิคคล้าย ๆ กับเวทประทับก่อนจะสร้างชั้นมานาให้เหมือนกับเวทเสริมกำลังอีกชั้น
ดูเหมือนมันกำลังเป็นไปได้ด้วยดีแต่สักพักมันก็ระเบิดเหมือนเดิม
“สงสัยจะปิดไม่สนิท”
พวกเขายังคงทดลองไปเรื่อย ๆ และเติมมานาด้วยเลือดของมอนสเตอร์จากซากศพพวกนั้นแต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่สำเร็จ
“ให้ตายสินี่มันผ่านมากี่นาทีแล้วเนี่ย ถ้าช้ากว่านี้เดี๋ยวเวฟต่อไปก็มากันพอดี” เซนบ่นไปด้วยขณะที่ทดลองสร้างกับดักแต่มันยิ่งทำออกมาเละเทะกว่าเดิม
“เดี๋ยวก่อน เรามีเวทมานาบอมบ์อีกนี่นา [มานาบอมบ์] ” มานาก่อรวมกันที่ปลายมีดเป็นก้อนกลม ๆ ก่อนที่คานะจะวางลงบนพื้นไว้อย่างนั้น
เซนยกฝ่ามือหยาบกร้านตบเข้าที่หน้าผากของตัวเอง “ฮ่า ๆ ๆ จริงด้วยเวทเริ่มต้นง่าย ๆ ทำไมเรานึกไม่ออก”
“ก็นั่นสิ มัวแต่นึกถึงวิธีแบบกิแต่เราไม่ได้เก่งเหมือนเขานี่นา ถ้าใช้มานาอย่างอิสระไม่ได้ก็ต้องพึ่งเวทมนตร์ในตัวบ้าง” ท่าทางดีใจออกนอกหน้ายิ้มและหัวเราะไปด้วยขณะที่สร้างมานาบอมบ์ไว้ทั่วสนามรบ
และเมื่อมอนสเตอร์เวฟต่อไปเข้ามาเดินไปได้แค่สามก้าวก็เจอกับระเบิดจำนวนมากเหยียบมันเต็มเท้าทำให้เกิดการระเบิดขึ้นด้วยจำนวนหลายสิบลูกที่ทำไว้มากพอให้พวกมันเจ็บสาหัส
“จังหวะนี้แหละอย่าให้พวกมันตั้งตัวได้” พูดจบเซนก็ขว้างหอกเพลิงยาวสองเมตรทะลวงมอนสเตอร์ที่ล้มอยู่ใกล้ ๆ เช่นเดียวกับคานะที่ยิงศรวารีระเบิดหัวของมอนสเตอร์สายว่องไว
การทดสอบยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ราวกับไม่มีจุดสิ้นสุดจากหนึ่งร้อยตัวเพิ่มขึ้นมาจนจะเจ็ดร้อยตัวแล้ว
“นี่มันก็ผ่านมาสามวันแล้วนะครับการทดสอบยังไม่จบอีกหรือ?” มาธอนเอ่ยถามด้วยความสงสัยขณะที่แคทเทอรีนยังคงอาศัยอยู่ในเมืองยองยอง
“เหอะ เก่งเหมือนกันนะเนี่ยรอดมาได้ถึงสามวัน ไม่แน่พวกเขาอาจจะผ่านบดทดสอบก็ได้” รอยยิ้มเยาะนึกสภาพของผู้ที่กำลังทดสอบดิ้นรนเอาชีวิตรอดมันทำให้เธอรู้สึกสนุกและสะใจขนาดที่ต้องอยู่รอดูชะตากรรม
“ตอนที่ดิฉันมาทดสอบก็แค่สองวันเองนะคะ ทำไมพวกเขาถึงใช้เวลานานถึงเพียงนี้” สาวใช้ของแคทเทอรีนเอ่ยปากถามทั้ง ๆ ที่ปกติเธอเอาแต่เงียบและรอคำสั่งเท่านั้น
เมื่อได้ยินเช่นนั้นแคทเทอรีนก็หัวเราะลั่นออกมาทันทีหยิบเอาขาหมูตุ๋นเคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อย
“นี่แหละคือดันเจี้ยนบททดสอบ เราไม่รู้เลยว่าราชาดันเจี้ยนจะส่งบททดสอบอะไรให้และแน่นอนว่ารางวัลมันต้องคู่ควรกับความยากที่ได้ จริง ๆ ฉันก็อยากจะเข้าอีกครั้งแต่มันดันจำกัดให้คนที่เลเวลไม่เกินหกเท่านั้น”
“ผมเองก็อยากเข้าเหมือนกัน ตั้งแต่ได้มาเป็นหัวหน้ากิลด์ที่เมืองนี้ก็เคยได้ยินเสียงโหยหวนทุกปีแต่ชาวบ้านก็บอกว่ามันอันตรายอย่าเข้าไปใกล้”
“เอาเถอะ ฉันจะรอดูคนพวกนั้นที่ได้รับบททดสอบว่าจะรอดไหม ถ้ารอดขึ้นมาคงต้องไปดึงตัวเข้ากองทัพสักหน่อย”
สายลมที่เคยสดชื่นกลับเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและกลิ่นซากศพเน่า ๆ พื้นหญ้าที่เคยเขียวชอุ่มเหลือไว้เพียงหลุมบ่อและกองศพมอนสเตอร์ หนึ่งวันหรือหนึ่งชั่วโมงก็ไม่อาจรับรู้ได้อีกต่อไปต่อให้จ้องมองดวงอาทิตย์แต่มันก็ไม่ขยับไปไหนมีเพียงกลางวันและแสงสว่างไม่เคยเปลี่ยน
“คานะ...” เสียงอันโรยราเปล่งออกมาจากปากของเซนขณะที่เขากุมมือแฟนสาวไว้ เปลือกตาค่อย ๆ กดลงจนเกือบจะปิดแต่ก็ฝืนทนไว้ไม่อย่างนั้นพวกเขาอาจจะไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีก
“ระเรา...ต้องรอด” แววตาของคานะที่เต็มไปด้วยความคาดหวังกำลังเลื่อนลอยเหมือนคนไร้สติแต่ก็มีเซนคอยเขย่าตัวดึงเธอกลับมา
“เธอนอนพักเถอะ เวฟต่อไปฉันจะจัดการเอง”
ดวงตาอันเศร้าสร้อยมองใบหน้าของเซนที่กำลังยิ้มอย่างมั่นใจแต่แทนที่เธอจะรู้สึกยินดีกลับหลั่งน้ำตาออกมาเสียอย่างนั้น
“ฉัน...” ไม่ทันได้พูดจบก็มีเสาสีขาวปรากฏขึ้นอีกครั้งแต่รัศมีและจำนวนมากขึ้นกว่าวันแรกถึงสามเท่า เซนก้าวเดินเข้าหามอนสเตอร์เหล่านั้นเผยให้เห็นแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นและใหม่
กองทัพมอนสเตอร์กว่าสองพันตัวค่อย ๆ ออกมาจากเสาสีขาวอย่างกับฝูงแมลงแม้กับดักจะช่วยลดจำนวนพวกมันลงได้แต่ก็แค่ไม่กี่ร้อยตัวเท่านั้น จำนวนที่เหลือเซนต้องเป็นคนปลิดชีพด้วยมือของตัวเอง
ถ้าบททดสอบมันจะบ้าขนาดนี้เราก็ต้องบ้าไปกับมันด้วย
เซนไม่รอช้ากระโจนเข้าไปในฝูงมอนสเตอร์จนไม่ทันสังเกตเห็นมิโนทอร์ตัวโตตัวหนึ่งมันถือดาบยักษ์ยาวกว่าสองเมตรแค่เห็นก็ทำเอาขาสั่นได้
“ไปตายซะ !” มีดสั้นที่กำลังจะพังห่อหุ้มด้วยเวทเพลิงสีชาดทุกครั้งที่เซนแกว่งมันก็จะฟาดคลื่นเพลิงความร้อนสูงออกไปด้วยหากมองไกล ๆ คงไม่ต่างอะไรกับดอกไม้ไฟ
ท่ามกลางมอนสเตอร์หลายประเภททั้งขนาดเล็กใหญ่แต่ก็เหมือนโชคดีที่พวกมันไร้สติปัญญาทำให้พลาดท่าโจมตีโดนพวกเดียวกันเองเสียส่วนใหญ่หรือเพราะเซนคิดไว้แล้วจึงเข้าไปอยู่กลางวงล้อม
แต่ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นฝูงมอนสเตอร์อีกฟากก็เคลื่อนเข้ามาใกล้ ๆ กับคานะ เธอพยายามกัดฟันฝืนยกคันธนูขึ้นมาแม้ดวงตาของเธอจะดูหมดอาลัยตายอยากแต่ก็ไม่คิดยอมแพ้ง่าย ๆ เช่นกัน
“บททดสอบบ้า ๆ แบบนี้” มานาจำนวนมากค่อย ๆ ก่อรวมกันที่ศรเวทมนตร์สองชั้นราวกับเธอสามารถปั้นรูปทรงขึ้นมาได้เอง ศรเวทมนตร์ที่ยิงออกไปใช้มานาครึ่งหนึ่งของเธอมันค่อย ๆ ขยายและเปลี่ยนเป็นมังกรวารีขนาดยักษ์พอ ๆ กับปลาวาฬซัดกวาดเอามอนสเตอร์ตรงหน้าหายไปทันที
เซนได้แต่มองจากที่ไกล ๆ แม้จะอยากไปช่วยแค่ไหนแต่พวกมันก็รั้งเอาไว้ทุกซอกทุกมุม
ให้ตายสิ...สุดท้ายเราก็ยังอ่อนแออยู่ดี ลูกบอลเพลิงสีแสดลอยออกไปช้า ๆ อย่างกับไม่มีแรงโน้มถ่วงขณะที่เหล่ามอนสเตอร์หลายร้อยตัวไม่สนใจและถาโถมเข้าหาเซนไม่หยุด จู่ ๆ ลูกบอลเพลิงก็ระเบิดสร้างแรงกระแทกไปรอบ ๆ อย่างกับลูกระเบิดที่ทิ้งจากเครื่องบินแม้แต่เซนที่เป็นคนสร้างมันขึ้นก็โดนแรงกระแทกไปด้วย ทั้งระยะหวังผลและความเสียหายมากกว่ามานาบอมบ์หลายสิบเท่า
อยากจะให้คานะได้พักก็คงทำไม่ได้ ไม่ว่าเราจะหนีไปส่วนไหนเสาสีขาวก็จะปรากฏล้อมรอบตัวเราอยู่ดี
“ฉันมาแล้วคานะ !” เซนใช้จังหวะที่มอนสเตอร์กระจายตัวออกไปเพราะแรงระเบิดเข้ามาสมทบกับคานะหันหลังชนกันเพื่อต่อสู้กับศัตรูรอบทิศ
“ดูเหมือนรอบนี้จะมีบอสโผล่มาด้วย” เซนแหยะยิ้มสร้างแรงใจให้ฮึดสู้ขึ้นมาและชายตามองมิโนทอร์ตัวใหญ่ตัวนั้นยืนเด่นจากกองทัพมอนสเตอร์อย่างชัดเจน
“เหอะ ฝากด้วยแล้วกัน” คานะเอามือไขว้ไปหลังคอของเซนเพื่อดึงหัวลงต่ำและเธอก็เงยหน้าขึ้นจูบที่ริมฝีปากก่อนจะส่งยิ้มอ่อนให้
เซนหัวเราะลั่นยิ้มจนปากจะฉีก “เอาเว้ย ! พวกเราต้องรอด”
ขณะที่พวกเขากำลังต่อสู้โดยเอาชีวิตเป็นเดิมพันก็ยังคงยิ้มร่าเริงอยู่ตลอดราวกับเป็นการข่มจิตใจที่กลัวตายไว้หรือเป็นเพียงการมองโลกในแง่บวกเกินไปกันแน่
“ก่อนอื่นเราต้องฝ่าวงล้อมออกไปก่อน ถ้าเป็นตอนมีแรงมันก็พอสู้ได้อยู่หรอกแต่ตอนนี้มันไม่ใช่”
เวทเสริมกำลังเพ่งเล็งไปที่ช่วงล่างเพื่อเสริมเป็นพิเศษก่อนที่เซนและคานะจะวิ่งสุดแรงแล้วก็กระโดดข้ามกองทัพมอนสเตอร์ไปไกลกว่าหนึ่งร้อยเมตรแถมตอนลงพื้นเล่นเอายืนไม่อยู่ไปเลย
“เป็นอะไรไหมคานะ?”
เธอยันตัวเองขึ้นยืนเองได้ไม่มีปัญหาพลางมองไปยังกองทัพมอนสเตอร์นับพัน “เรามาต่อกันเถอะ”
“เอาสิ ทำเหมือนอย่างที่เคย”
คานะขึ้นคันธนูขณะเดียวกับเซนที่คอยจับมือคานะจากด้านหลังเหมือนกับการสอนยิงแต่ก็ไม่ใช่ เซนค่อย ๆ ส่งมานาของตนเองเข้าไปเฉกเช่นเดียวกับคานะโดยที่เซนเป็นคนแปรสภาพมานาและคานะเป็นคนปรับโครงสร้าง
“ขอให้อร่อยล่ะ เวทผสานของเราสองคน”
คานะเงยหน้าขึ้นพร้อมกับเล็งธนูไปบนท้องฟ้ายิงกระสุนระเบิดเพลิงทำให้มันตกลงมาอย่างกับอุกกาบาตขนาดย่อม ๆ สร้างความเสียหายในวงกว้างได้เป็นอย่างดี
“ดูเหมือนจะมีแค่เจ้านั่นที่ฉลาดกว่าตัวอื่น...คงจะเป็นบอสอย่างไม่ต้องสงสัย”
หลังจากใช้ลูกไม้ตื้น ๆ อย่างยิงและหนีแต่ก็มีเพียงแค่มิโนทอร์ยักษ์ตัวเดียวเท่านั้นที่สามารถใช้เวทมนตร์ป้องกันตัวเองได้ เซนเฝ้ามองดูท่าทางสบายใจของมันที่คอยดูเหยื่อดิ้นรนหนีตายและค่อย ๆ ตามล่า
“เจ้านั่นต้องเป็นระดับเดียวกับราชาดันเจี้ยนแน่ ๆ” เซนแหยะยิ้มออกมาไม่รู้ตัวเมื่อคานะเห็นก็ยิ้มตามทันทีเหมือนรู้ว่าคิดอะไรอยู่
ที่สำนักงานกิลด์เงียบสงัดเพราะแคทเทอรีนนั่งดื่มเหล้าทำให้นักผจญภัยคนอื่น ๆ ไม่กล้ามาสังสรรค์เหมือนอย่างเคย
“อะไรนะ? มอนสเตอร์ที่ตรึงมือที่สุดเหรอ” มาธอนเองก็นั่งดื่มเหล้ากับเธอด้วยท่าทางเป็นกันเองทำให้เธอถูกใจเป็นอย่างมาก
“ใช่ครับ ผมอยากฟังประสบการณ์การต่อสู้อันดุเดือดของผู้ที่ได้ชื่อจักรพรรดินี”
รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุขอมทุกข์ย้อนมองไปถึงอดีต “อืม...ถ้าให้นึกละก็คงเป็นราชันแห่งมิโนทอร์”
“ราชัน...มิโนทอร์” มาธอนดูท่าจะสนใจเป็นอย่างมากนั่งเอนตัวเข้าหาแคทเทอรีนทันที
“เมื่อตอนที่ฉันเลเวลเจ็ดกับพวกพ้องได้เข้าไปท้าทายดันเจี้ยนแห่งใหม่เป็นกลุ่มแรก ราชาดันเจี้ยนของที่นั่นคือราชันแห่งมิโนทอร์และแน่นอนว่าฉันเป็นคนตั้งชื่อให้ มิโนทอร์ตัวใหญ่ยักษ์สูงราว ๆ ยี่สิบเมตรไม่เพียงแค่นั้นมันยังสามารถใช้เวทมนตร์ได้อีกด้วย”
“แล้วตอนนั้นคุณจัดการมันได้ยังไงครับ?”
“เหอะ ครั้งแรกที่พวกเราเจอได้พ่ายแพ้ให้กับมัน” เมื่อมาธอนได้ยินเช่นนั้นเขาก็ตกใจตาโตทันที
“จำนวนทีมของเราห้าคนที่มีเลเวลเจ็ด หกและห้าไม่สามารถต่อกรกับมันได้ ฉันเสียสมาชิกทีมไปเกือบหมดเพื่อให้คนที่เหลือสามารถหนีออกไปได้ หลังจากนั้นเราก็ตั้งทีมใหม่โดยใช้คนมากถึงสามสิบคนในการจัดการกับมัน”
“โฮ...มันเก่งมากเลยสินะครับ”
“แน่นอน แต่นอกจากดันเจี้ยนนั้นก็ไม่มีที่ไหนที่ฉันเจออีกเลย...ถ้ามันหลุดออกมานอกดันเจี้ยนเมืองใกล้เคียงก็คงล่มสลายเป็นแน่”
เธอยิ้มอย่างมีเลศนัยจินตนาการการสู้รบของกองกำลังกับราชันมิโนทอร์ที่แม้จะใช้คนเลเวลห้า หกและเจ็ดยังตรึงมือ หากเป็นประชาชนทั่วไปหรือเมืองที่ไม่มีมาตรการป้องกันมันก็คงกวาดเมืองทั้งเมืองให้หายไปอย่างแน่นอน
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 241
แสดงความคิดเห็น