ภูพิง-อิงธารา บทที่ 13
ในที่สุดวันแต่งงานของอิงธารากับภูพิงก็มาถึง หญิงสาวตื่นแต่เช้ามืดเพื่อมาแต่งตัว โดยฝ่ายเจ้าบ่าวเป็นแม่งานภายใต้การดูแลของคีรีและแคทริยาที่เนรมิตสถานที่ เชิญแขกสำคัญๆ และจัดหาช่างแต่งหน้าแต่งตัวไว้พร้อมสับ ส่วนว่าที่เจ้าบ่าวน่ะเหรอ เขาไม่เคยโผล่หน้ามาให้เห็นตั้งแต่วันที่เธอหนีเขาจนตัวเองล้มป่วยนั่นแล้ว แม้กระทั่งวันที่ลุงอรรถมาปรึกษาหารือเพื่อหาทางออกของเรื่องวุ่นๆ ระหว่างเธอกับเขา ภูพิงก็ยังไม่มา อิงธาราไม่รู้ว่าเป็นแผนการที่เขาจะจับเธอไปทรมานอีกครั้งหรือไม่ เธอได้แต่ภาวณาให้เขาปฏิเสธ แต่ท้ายที่สุดแล้วทุกอย่างก็ยังคงดำเนินมาจนถึงวันนี้
พิธีมงคลจัดขึ้นที่บ้านเจ้าบ่าว แขกที่มาร่วมงานส่วนใหญ่เป็นแขกคนสนิทของครอบครัวพชรวกรแทบทั้งหมด ส่วนฝั่งญาติผู้ใหญ่ของอิงธารานั้น ถ้าไม่นับป้ามะลิและมุกราตรีที่แอบบินลัดฟ้ามาร่วมงานด้วยแล้ว ก็มีแต่ปองพลที่เป็นตัวแทนของวจีลิขิตและเป็นญาติคนสำคัญของเจ้าสาวเท่านั้น
หลังจากสิ้นสุดพิธีทางศาสนา รับน้ำสังข์จากญาติผู้ใหญ่ และกินข้าวร่วมกันแล้ว ก็เป็นอันเสร็จพิธี แขกเหรื่อต่างทยอยกลับบ้าน หน้าที่ของอิงธาราคือต้อนรับแขกและส่งแขกพร้อมกับเจ้าบ่าว หญิงสาวไม่มีกะจิตกะใจที่จะพิจารณาอารมณ์ของคนข้างตัว แค่แสร้งว่าตัวเองมีความสุขเสียเต็มประดาก็ยากเต็มที โชคดีที่วีร์นัชชาและกฤตดนัยไม่มาร่วมงาน ไม่งั้นหญิงสาวคงลำบากกว่านี้ พอส่งแขกคนสุดท้ายเรียบร้อย หญิงสาวก็แทบจะเป็นลม เธอถอนหายใจออกมาดังๆ แต่ไม่คิดว่าคนข้างตัวเองก็มีอาการไม่ต่างกัน อิงธาราไม่อยากเสวนากับเขา จึงตั้งใจจะเดินไปทางอื่น แต่มือแข็งแรงก็จับต้นแขนของเธอไว้แน่น
"จะไปไหน เรือนหอเราอยู่ทางโน้น"
ทางโน้นของเขาคือเรือนสีขาวที่อยู่ไม่ไกลจากตัวบ้านใหญ่ ซึ่งเป็นความตั้งใจและภาคภูมิใจของลุงอรรถที่ได้เป็นผู้ออกแบบเรือนหอให้กับหลานหัวแก้วหัวแหวนของตน อีกอย่างการที่ปลูกเรือนหอไว้ใกล้ๆ อาจจะทำให้ภูพิงไม่กล้ารังแกอิงธาราได้ตามอำเภอใจอย่างที่ผ่านมาอีก แต่เรื่องราวทั้งหมดทั้งมวลอยู่ภายในความคิดของลุงอรรถเท่านั้น คนทั้งคู่หาได้รู้ด้วยไม่
"อย่าพูดเหมือนคุณไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรหน่อยเลย ฉันว่าเรามาตกลงกันดีกว่า ตลอดหนึ่งปีต่อจากนี้เราจะไม่ก้าวก่ายชีวิตของกันและกัน ถ้าอยู่บ้านคุณก็ทำตัวตามสบายไม่ต้องเสแสร้งแกล้งเล่นละครตบตาคนอื่น นอกจากจะไปร่วมงานสังคม ซึ่งฉันมั่นใจว่าตัวเองไม่มีโอกาสได้ไปแน่นอน"
"แล้วยังไง เธอคิดว่าลุงฉันเสียเงินไปตั้งสิบล้าน เพื่อจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดและเฝ้าสวนอย่างนั้นเหรออิงธารา มันดูออกจะแพงไปหน่อยมั้ย" มือใหญ่คลายจากต้นแขนยกขึ้นมากอดอก มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มหยัน เจ้าของดวงตาสีสนิมจ้องหน้าเธอนิ่งนาน
"แล้วคุณต้องการอะไรอีก ทุกอย่างมันล้วนเกิดขึ้นจากการกระทำสกปรกของคุณทั้งนั้น" เธอตวาดอย่างเหลืออด
"ไม่ใช่เราสมประสงค์ทั้งคู่หรอกเหรอ เธอเองก็ไม่ได้ขาดทุนนี่ แถมยังได้จากลุงฉันไปตั้งมาก"
"ฉันไม่ได้..."
"พอเถอะ เอาเป็นว่าคืนนี้ฉันจะมาบอกว่าเธอต้องทำอะไรบ้าง อย่าลืมว่าฉันเป็นคนตัดสินใจ...ไม่ใช่เธอ...อิง...ธา...รา" เขาเน้นชื่อเธอทีละคำก่อนที่จะหมุนตัวจากไป อิงธาราได้แต่ยืนตัวสั่นด้วยความโกรธ โกรธที่ตัวเองไม่มีอำนาจต่อรองกับเขาได้เลย
หลังจากที่ปะทะคารมกับเจ้าบ่าวหมาดๆ ไปในช่วงเช้า หญิงสาวก็ไม่เห็นเขาอีกเลย เธอเองก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะถามหาเขามากนัก ดีเสียอีกที่ไม่ต้องเจอกัน ตลอดช่วงบ่ายที่เหลือจนล่วงไปเวลาอาหารเย็นเธอจึงทำตัวสบายๆ ไม่ต้องหวาดระแวงยามที่มีภูพิงร่วมชายคา อิงธาราพบว่าตัวเองเข้ากับคนที่บ้านนี้ได้ดีทีเดียว อีกอย่างทุกคนปฏิบัติกับเธอไม่ต่างจากคนในครอบครัว นั่นทำให้หญิงสาวคลายความกังวล ดังนั้นเธอจึงเก็บแรงไว้ปะทะกับเจ้าบ่าวของเธอเพียงคนเดียว
ตกค่ำเมื่อเสร็จภาระกิจที่บ้านใหญ่อิงธาราก็มานั่งวิตกว่าจะรับมือกับภูพิงอย่างไร จะหาวิธีไหนที่จะรอดพ้นคืนนี้ไปได้ เธอรู้ว่าคนอย่างภูพิงไม่ปล่อยให้เธอใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขภายใต้เงื่อนไขที่เขาเป็นผู้เสียเปรียบอย่างนี้แน่ แต่เธอก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงไม่คัดค้านการแต่งงานในครั้งนี้ จากที่สังเกตอิงธารามั่นใจว่าเขาเองก็ไม่ได้เต็มใจสักเท่าไหร่ จะด้วยเหตุผลอะไรหญิงสาวก็คร้านที่จะหา เอาเป็นว่าเธอจะต้องอดทนพูดกับเขาดีๆ เพื่อให้เขาเข้าใจและคล้อยตามเธอให้ได้ เพื่อความสงบสุขตลอดหนึ่งปีนี้
สุดท้ายสิ่งที่เธอกังวลนั้นก็ไม่เกิดขึ้น รวมทั้งความหวังที่จะทำข้อตกลงกับภูพิงก็ยังไม่คืบหน้า เพราะเขาไม่เคยย่างก้าวเข้ามายังเรือนหอเลยแม้แต่ครั้งเดียว ชายหนุ่มยังใช้ชีวิตที่บ้านใหญ่ ขนาดลุงอรรถเองเป็นผู้ออกปากตำหนิตรงๆ เขาก็แค่เพียงส่งยิ้มให้ผู้เป็นลุงกลับไป จนอีกฝ่ายถึงกับโมโห ส่วนเธอนั้นภูพิงไม่แม้แต่จะชายตามองเลยด้วยซ้ำ อิงธาราเองก็โล่งใจที่ไม่ต้องอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน เพราะเธอคงต้องหวาดระแวงเขาทุกย่างเก้า
ณ มุมหนึ่งของผับหรูซึ่งเป็นสถานที่ปลดปล่อยของนักเที่ยวกลางคืน ชายหนุ่มหน้าตาดีนั่งทอดตามองขาแดนซ์ที่โยกย้ายส่ายสะโพก สายตาไม่ได้จับจ้องที่ใดที่หนึ่ง แต่เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรในใจ นานครั้งถึงจะยกน้ำสีอำพันในแก้วขึ้นจิบ เขามานั่งรอเป้าหมายที่นี่หลายคืนแล้ว ถึงกับยอมทิ้งเจ้าสาวหมาดๆ ให้ใช้ชีวิตอย่างสุขสงบเกือบเป็นเดือนเพื่อมาดักรอ นักสืบที่ทำงานให้เขารายงานว่า คืนนี้เป้าหมายที่เขาให้ติดตามจะมาที่นี่ ดังนั้นชายหนุ่มจึงเลือกโต๊ะในมุมที่สามารถมองเห็นคนเข้าออกได้ชัดเจน และยังเป็นมุมที่สะดุดตาอีกด้วย
ด้วยรูปลักษณ์ และเสน่ห์ของบุรุษเพศที่ดึงดูดเพศตรงข้ามทำให้วีร์นัชชาที่ก้าวเข้ามายังที่แห่งนี้สบเข้ากับดวงตาสีสนิมที่กำลังสำรวจเรือนร่างของเธอ ประกายเจิดจ้าจากเจ้าของดวงตาที่ประสานตอบดั่งจะจ้องมองให้ถึงส่วนที่ลึกที่สุดในจิตใจ วีร์นัชชากระพริบตาก่อนจะฉีกยิ้มกว้างเมื่อนึกออกว่าบุรุษทรงเสน่ห์ที่กำลังมองตรงมายังเธอนั้นเป็นใคร เธอไม่รอช้ารีบผละจากกลุ่มเพื่อนแล้วตรงเข้ามาหาชายหนุ่มทันที
"คุณพูพิงใช่ไหมคะ""
"ครับ" อีกฝ่ายยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม
"ดีใจจังเลยค่ะที่พบคุณ วีร์ต้องขอโทษจริงๆ นะคะที่ไม่ได้ไปร่วมงานมงคลของคุณกับน้องสาว พอดีที่โรงแรมมีปัญหา คุณพ่อเลยให้วีร์ดูแลน่ะค่ะ วีร์ขออนุญาตยินดีย้อนหลังนะคะ" หญิงสาวถือวิสาสะนั่งลงฝั่งตรงข้ามของเขาเสียเลย ชายหนุ่มเองก็ไม่ได้มีทีท่าต่อต้านแต่อย่างไร เธอกวักมือเรียกบริกร ไม่นานแก้วเครื่องดื่มก็มาอยู่ในมือ
"ไม่เป็นไรครับ"
"งั้นมื้อนี้วีร์ขอเป็นฝ่ายเลี้ยงนะคะ ถือว่าเป็นการเลี้ยงต้อนรับสมาชิกใหม่ของวจีลิขิต"
"ยินดีครับ" รอยยิ้มทรงเสน่ห์จากเจ้าของดวงตาสีสนิมทำเอาคนมองถึงกับเผลอไผล
บุรุษตรงหน้าไม่ได้ชวนคุย แต่บรรยากาศรอบตัวไม่ได้ทำให้วีร์นัชชารู้สึกอึดอัดแต่อย่างไร เพียงแค่ได้นั่งมองเขาอย่างนี้เธอก็รู้สึกดี นึกอยากให้คนที่แต่งงานกับเขาเป็นตัวเธอเองแทนที่จะเป็นอิงธารานางน้องสาวที่ไม่ได้เรื่องคนนั้น โชคดีที่วันนี้เธอสวมชุดแบบเดรตเกาะอก เนื้อผ้าค่อนข้างบาง ยามหญิงสาวขยับตัวเขาก็จะเผลอมอง นั่นทำให้วีร์นัชชามั่นใจในเสน่ห์ของตน เมื่อดื่มกันไปหลายแก้วแล้ว วีร์นัชชาเองก็ลดอาการเกร็งจึงเป็นฝ่ายชวนชายตรงหน้าคุย
"เกิดอะไรขึ้นคะ ทำไมสามีป้ายแดงอย่างคุณถึงมาเที่ยวในสถานที่อย่างนี้หลังแต่งงานใหม่ๆ ล่ะ" คำถามของวีร์นัชชาดูจะไม่ถูกกาลเทศะสักเท่าไร แต่ภูพิงก็ไม่ได้ถือสา เพราะที่เขามาที่นี่เป้าหมายก็คือผู้หญิงตรงหน้า และดูเหมือนว่าเธอเองก็สนใจเขาเสียด้วย
"คุณเองก็แอบสามีมาเที่ยวเหมือนกันไม่ใช่เหรอ" คำเย้าของเขาทำเอาวีร์นัชชาแสร้งแสดงอาการตกใจ
"คุณภูก็...เอาเป็นว่าเรื่องนี้เป็นความลับระหว่างเรานะคะ วีร์เองก็จะไม่บอกน้องสาวเหมือนกัน" นิ้วเล็กๆ ยื่นมาตรงหน้า ภูพิงรับมุกโดยการยื่นนิ้วเข้าไปเกี่ยวกับนิ้วของเธอ
ดวงตาสองคู่ประสานกัน หญิงสาวมองเห็นแววชื่นชมจากตาสีสนิม ยามเขาเปิดเปลือยความปรารถนา เธอแทบจะมอบกายถวายชีวิตไว้ในกำมือของเขา วีร์นัชชาโน้มร่างไปตามแรงดึงจากนิ้วของเขา ดวงหน้าของเธออยู่ห่างจากเขาเพียงลมหายใจกั้น เธอเผลอเผยอริมฝีปากหวังใจว่าจะได้รับจูบจากคนตรงหน้า ในขณะที่เธอพริ้มตาลงเพื่อเปิดโอกาสให้เขา แรงจากปลายนิ้วก็คลายออก
"ผมคงต้องกลับแล้ว" เขายกนาฬิกาขึ้นพร้อมกับลุกจากที่นั่ง
"จะกลับแล้วเหรอคะ" วีร์นัชชาตกใจจึงลุกขึ้นยืนตามเขาบ้าง แต่อาการมึนจากแอลกอร์ฮอลทำให้หญิงสาวเสียหลัก ร่างบางตกอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่มทันท่วงที
"ระวังครับ" เขาพยุงให้เธอนั่งลง ความอบอุ่นจากร่างหนาหายไปเมื่อเขาผละออก
"จำได้ว่าคุณมากับเพื่อน ผมเองก็ไม่สะดวกไปส่งคุณที่บ้าน ไว้ครั้งหน้าเราค่อยไปสนุกกันต่อนะครับ" ท้ายประโยคเขาก้มลงกระซิบข้างหูจนวีร์นัชชารู้สึกขนลุกซู่
"เราจะเจอกันอีกใช่ไหมคะ" เธอถามอย่างเผลอไผล
"ครับ" เขารับคำก่อนที่เพื่อนที่มาด้วยกันกับเธอจะปรากฏตัว
วีร์นัชชามองเงาหลังของบุรุษที่กลืนหายไปกับบรรยากาศภายนอกหลังประตูหน้าร้านเลื่อนปิดอย่างเสียดาย ทำไมเธอไม่เจอเขาก่อนที่จะตกลงแต่งงานกับกฤตดนัย แล้วทำไมคนที่ได้ตัวเขาต้องกลายเป็นอิงธารา...ยายตัวดีที่มักจะเจอแต่สิ่งดีๆในชีวิต
นี่ถ้าเธอไม่ใช้มารยาแย่งกฤตดนัยจนได้แต่งงานกัน เขาก็คงไม่ชายตาแลเธอสักนิด ยังไรเสียก็ไม่มีผู้ชายคนไหนทนความจืดชืดของอิงธาราได้นานหรอก แม้กระทั่งภูพิงเองก็ตาม อีกอย่างชายหนุ่มเองก็ดูจะสนใจเธอไม่น้อย ครั้งนั้นเธอแย่งกฤตดนัยจากอิงธาราได้ ครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกัน อะไรที่วีร์นัชชาอยากได้...เธอก็ต้องได้
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 219
แสดงความคิดเห็น