ตอนที่ 1 ราธียะ 1
ผ่านไป 3 วันหลังจากที่เด็กหนุ่มนามว่า กรรณะ ราธียะ นักเรียนชั้น ม.5 จากโรงเรียนนานาชาติแห่งหนึ่งในจังหวัดอุดรธานีได้ทะลุมิติมายังโลกแห่งนี้
เหตุการณ์ล่าสุดที่เขาจำได้คือเขาและเพื่อนได้กลับจากการแข่งขันฟุตบอลประจำจังหวัดและทีมโรงเรียนที่นำทัพโดยตัวเขาเองก็พึ่งจะคว้าแชมป์มาได้แต่ระหว่างทางรถบัสของพวกเขาดันประสบอุบัติเหตุรถชนกับรถไฟ และหลังจากนั้นพอเขารู้สึกตัวขึ้นมาก็พบว่าเขานั้นโผล่มาที่ไหนก็ไม่รู้
กลางทุ่งหญ้าที่ที่มีควายจำนวนหลายตัวกำลังกินหญ้าอยู่ ภูมิประเทศที่นี่ก็ดูแปลกตาเพราะมันไม่มีบ้านคน ตึกใหญ่ หรือถนนคอนกรีต มีทุ่งหญ้ากึ่งทะเลทราย ที่นี่สถาพอากาศเขาก็สัมผัสได้ว่ามีส่วนคล้ายกับไทยเป็นอย่างมาก พอเขารู้สึกตัวได้สักพักก็ได้มีนายฮ้อย ผู้ดูแลควาย 3 คนมาพบเขาที่กำลังนอนอยู่พวกเขาน่าจะเป็นคนวัยกลางคนรูปร่างหน้าตาเหมือนกับคนอีสานทั่วไปและพวกเขานั้นก็พูดภาษาที่ตัวราธียะเองก็ไม่เเน่ใจว่าเขาพูดอะไรแต่เหมือนกับว่าในหัวของเขาดันแปลให้อัตโนมัติ ซึ่งพวกเขาก็แปลกใจกับเสื้อผ้ากางเกงฟุตบอลของเขาเป็นอย่างมาก
พวกเขาจึงได้มอบ เสื้อผ้าครามแกซึ่งเสื้อผ้านี้ก็ช่วยให้ราธียะ คลายร้อนไปได้เป็นอย่างดี พวกเขาถามราธียะว่าเขาเป็นใครมาจากไหน ซึ่งตัวราธียะเองก็บอกเขามาจากเมืองชื่อนั้น ชื่อนี้แต่เหมือนพวกเขาจะไม่รู้จัก พอพวกเขาถามว่า ราธียะนั้นมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรตัวเขาเองก็ว่า เขานั้นจำไม่ได้ จนกระทั่งนายฮ้อยคนหนึ่งพูดขึ้นมา เขารู้จักผู้ใช้อาคมอาวุโสท่านหนึ่งในเมือง ศรีนะวาไล เมืองที่พวกเขากำลังจะมุ่่งหน้าไปขายควายที่นั่น ราธียะเลยตัดสินใจที่จะไปกับพวกนายฮ้อยพร้อมด้วยควายอีก 30 ตัว
เพราะ ราธียะเองก็มีประสบการณ์การดูหนัง อนิเมะ และเล่นเกมมาอย่างโชกโชนทำให้เขาเชื่อได้ว่าเขาน่าจะทะลุมิติมาที่ไหนสักที่ เหมือนเมืองไทยในสมัยก่อน แต่พอเวลาผ่านไปความคิดของราธียะก็เริ่มเปลี่ยนที่ว่าที่นี่คือเมืองไทยในสมัยก่อน เพราะระหว่างทางเขาได้ขอให้เหล่านายฮ้อยทั้งสามเล่าประวัติศาสตร์ให้ฟังหน่อยซึ่งมันก็ต่างจากประวัติศาสตร์เขาได้เรียนรู้มา
คือเมื่อ 1000 ปีก่อนได้มีราชาจากทวีปแอตแลนติสนามว่า โนวาห์ แอตแลนติส เข้ามาบุกยึดแคว้นนี้ให้กลายเป็นเมืองขึ้น และไม่ใช่แค่เมืองนี้แต่เขาสามารถยึดได้ทั้งโลก โดยที่โลกนี้นั้นสิ่งที่เป็นตัวขับเคลื่อนสงครามนี้นอกจากกองทัพแล้วก็คือ แหวน และอาคมหรือก็คือเวทย์มนต์
แหวนนั้นจะหน้าที่เป็นพลัง เมื่อสวมแหวนที่มีพลังแล้วก็จะสามารถใช้พลังตามความสามารถของแหวนนั้นๆ ได้ แต่พอเวลาผ่านไป 1000 ปีอาณาจักรเริ่มอ่อนแอลงและตอนนี้ทั่วโลกก็กำลังแย่งกันเพื่อที่จะเป็นขั้วอำนาจโลกใหม่ พอ ราธียะ ฟังมาถึงตรงนี้เขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงโลกของเขาว่ามันช่างเหมือนกันเสียเหลือเกิน แต่ที่เขาสนใจที่สุดก็คือเรื่องแหวนและเวทย์มนต์ ซึ่งเขาก็ใฝ่ฝันมาตั้งแต่ว่าเขานั้นอยากจะมีเวทย์มนต์
เขาจึงเหล่านายฮ้อย เขาจะฝึกเวทย์มนต์ ซึ่งเหล่านายฮ้อยก็บอกว่าคนจะสามารถฝึกเวทย์มนต์ได้นั้นจะต้องมีร่างกายที่เหมาะสำหรับการฝึกเท่านั้น ซึ่งอัตราส่วนจะอยู่ 2 ใน 10 คนที่จะสามารถฝึกได้ ซึ่งเหล่านายฮ้อยทั้ง 3 คนนี้ไม่มีใช้เวทย์มนต์ได้เลย ส่วนแหวนนั้นพวกเขาบอกว่า ถ้าเป็นแหวนของเเท้นั้นจะต้องเป็นผู้ที่แหวนเลือกเท่านั้นจึงจะสามารถใช้ได้แต่ว่าก็ได้มีการสร้าง แหวนเทียม ขึ้นมาซึ่งเเหวนคือการดึงพลังบางส่วนมาจากแหวนของเเท้ โดยพลังของมันนั่นจะอยู่ที่ 1 ใน 10 ของแหวนของจริงซึ่งการสร้างแหวนเทียมไม่ช่วยทำให้แหวนของแท้นั้นพลังลดลงแต่อย่างใดเพราะมันนั้นจะสามารถเติมพลังได้เรื่อยๆ ผิดกับแหวนเทียมที่ใช้หมดคือหมด และแหวนเทียมนั้นมีกระบวณการการผลิตที่ซับซ้อนและยาวนานจึงทำให้มันนั้นมีราคาแพง
ซึ่งในบรรดานายฮ้อยทั้งสามที่ร่วมเดินทางไปกับเขาก็มีคนหนึ่งที่มีแหวนเทียมพลังไฟ คือ อิน และเขาเหมือนจะเป็นหัวหน้าของอีก สองคนที่เหลือซึ่งอีกสองคน ชื่อ ทอง และ ก้อง เขาไม่ได้มีแค่วงเหวนแต่มีถึง 3 วง ซึ่งราคา 1 วงนั้นเท่ากับ 1000 ชั่งหรือก็คือ นายควายทั่วไป 1000 ตัว ซึ่งก็บงบอกได้เลยว่าฐานะของ อินนั้นค่อนข้างดี
ซึ่งอินนั้นมีรูปร่างค่อนข้างคล่ำ อ้วนนิดหน่อยแต่หน้าไม่ป้อง แต่ชวนให้เขาแปลกใจคือเขาอายุพึ่ง 26 ปีมีเมียและลูกแล้วแต่หน้าของเขายังกลับคนอายุ 40 แต่ทว่าอีกสองคนทั้ง ก้อง และ ทอง ต่างก็มีอายุย่าง 40 จริงๆ
หลังจากเดินทางมาร่วม 3 วัน ผ่านถนนที่เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าที่แทบจะไม่มีต้นไม้ใหญ่เลย และพอเข้าวันที่ 3 นี้ปรากฏว่าเขาก็บ้านเรือนแม้จะไม่มากนักแต่ก็มีมาเรื่อยซึ่งรูปร่างของบ้านคนเหล่านี้นั้นก็หมือนกับบ้านไม้ในสมัยก่อนทั่วๆ ไปที่เขาเห็นในหนังและหลังจากเดินทางมา 3 วันพอตกเย็นวันที่ 3 พวกเขาก็ได้พบกับโรงเตี๊ยมแห่งแรก ที่พอรอบนอกแล้วเขาก็เห็นทั้งม้า ทั้งฝูงวัว ควาย หลายฝูงจึงคาดว่าในโรงเตี๊ยมน่าจะคึกคักพอสมควร
“คืนนี้เราจะพักที่นี่” อินพูดขึ้น
“ได้ครับหัวหน้าแล้วใครจะเฝ้าควายละครับ” ก้องถามขึ้นมา
“ผมเฝ้าให้เองครับถือว่าเป็นการตอบแทนที่ให้ผมร่วมทางมาด้วย” ราธียะเสนอขึ้นด้วยความยินดี
“ได้งั้นเธอเฝ้าละกัน แต่ก่อนอื่นเธอเเวะไปกินอาหารข้างก่อนไหมแล้วพอตกดึกค่อยมา”
“ได้ครับ”
พอเขาไปในโรงเตี๊ยมที่นั่นดูคึกคักจริงๆ ราธียะแทบดูไม่ออกเลยว่ามีใครบ้างเพราะมันเยอะจริงๆ แทบจะหาที่นั่งไม่ได้แต่สวรรค์ก็ทรงโปรดพวกเราเจอที่นั่งว่าง 1 โต๊ะพอดีซึ่งมัยอยู่ใกล้กับเคาน์เตอร์ของร้านนี้พอดี ตลอดทางราธียะและคนอื่นๆ ได้กินแต่ข้าวกล้องแต่เฉบียงหลักเช่น เนื้อสัตว์ ไข่ เริ่มหมดไปตั้งนานแล้ว เพราะสำหรับราธียะเองนี่พึ่งเข้ามันที่ 3 แต่พวกของ อิน นั้นปาเข้าไป 2 อาทิตย์แล้ว พอพวกเรานั่งโต๊ะ บริกรหญิงวัยกลางคนก็เข้ามารับออเดอร์
“พวกท่านคงจะเดินมาไกลสินะรับอะไรดีคะ”
“มีห้องว่างเหลือไหม” อินพูดขึ้น
“เรามีแต่เหลือแค่ห้องเดียวแล้วและมันมีแค่ 2 เตียงถ้าพวกท่านจะพักต้องให้อีก 2 คนนอนพื้น”
“ไม่มีปัญหา” อินตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
หลังจากนั้นบริกรหญิงก็สั่งให้เด็ก้อยคนหนึ่งขึ้นไปทำความสะอาด แล้วก็หันมารับออเดอร์อีกที
“จะรับประทานอะไรดีคะ”
“ของเมนูขึ้นชื่อที่สุดของที่นี่ แล้วก็ยาดอง 2 ไห” อินพูดจบพร้อมโยนเหรียญเงินหนึ่งเหรียญให้แกนาง นางทำการถอนสายบัวแล้วจากไป
หลังจากนั้นเอง อิน ที่สังเกตเห็นก้องมองไปมาแปลกเลยถามขึ้น
“มีอะไรหรอ ก้อง”
“ผมรู้สึกว่าคนเยอะแปลกๆ”
“แปลกยังไง” อินถามต่อ
“ก็แบบทุกทีเดือนนี้เมืองนี้คนไม่ค่อยเยอะ โดยเฉพาะคนที่มาจากต่างเมือง” เห็นได้ชัดว่าก้องน่าจะเคยผ่านเมืองนี้มาแล้วอย่างน้อยก็หลายครั้ง ส่วนอินน่าจะยังไม่เคยมา ราธียะคิดในใจ
“มันอาจจะมีงานเทศกาลพิเศษอะไรก็เป็นได้” อินพูดขึ้น
“คำถามนั้นเดียวข้าจะตอบให้” จู่ๆ ใครบางคนที่โต๊ะข้างๆ ก็พูดขึ้น ซึ่งโต๊ะข้างๆ นั้นเป็นชาย 2 คนสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มดูแล้วน่าจะเป็นพวกมีฐานะและน่าจะเป็นขุนนางและมีพิวพรรณที่ขาวผิดกับพวกของอิน คนแรกน่าจะเป็นคนวัยกลางคนไว้หนวดเคราที่เริ่มมีสีขาว อีกคนเป็นเด็กผิวพรรณขาวดูหล่อเหลาอายุน่าจะพอๆ กับ ราธียะเขานั้นดูเป็นคนไม่ชอบพูดคุยซึ่งจะต่างจากอีกคนที่คาดว่าจะเป็นพ่อของเขาหรือไม่ก็คนติดตาม
“เจ้าเป็นใคร” อินถามขึ้นด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจ
“ขออภัยข้าคือ พระยาศรีล่า แห่งเมืองอโยธยา”
ไม่ใช่แค่พวกของอินที่แสดงสีหน้าตกใจ แต่ทุกคนในโรงเตี๊ยมก็ได้ยินประโยคนี้กันถ้วนจะโรงเตี๊ยมที่มีเสียงดังคึกคักกลับกลายเป็นเงียบสงบแล้งถูกแทนที่ด้วยเสียงซุบซิบ
“เมืองอโยธยาหรอนั่นมันเมืองหลวงชัดๆ” "
“ดูจากการแต่งตัวแล้วฐานะคนละระดับกับพวกเราเลย”
“ข้าเคยเห็นเสื้อคลุมนั้นนั่นมันเป็นของนำเข้าจากตะวันตกแปลว่าคนๆ นี้มีฐานะน่าจะใหญ่กว่าเจ้าเมืองศรีนะวาไลเป็นแน่”
แต่ก็มีคนหนึ่งที่ทำลายเสียงซุบซิบนี้นั่นก็คือ อิน
“เมื่อกี้ท่านบอกว่าจะตอบคำถามของเรา สรุปแล้วนี้มันเรื่องอะไรกัน”
“อ่อ ช่วงนี้น่ะเจ้าเมืองศรีนะวาไลกำลังประกาศหาคู่ครองให้แกลูกสาวของเขาที่ก็ถึงวัยออกเรือนแล้วเขาเลยประกาศอยากจะหาคู่ให้กับนางน่ะ และข้ามั่นใจได้เลยว่าพวกเจ้าทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็น่าจะมาด้วยจุดประสงค์เดียวกัน"เขาพูดพร้อมกับกวาดสายตาไปรอบๆ โรงเตี๊ยม
“แต่พวกเจ้าจงจำไว้คนที่จะเหมาะกับนางก็เห็นจะมีเพียงแต่นางน้อยของข้า ขุนรามา กระมัง” เขาพูดจบพร้อมกับหัวเราะออกมา
“พอเถอะท่านลุง” เด็กที่ถูกเรียกว่า ขุนรามา เอ๋ยปากพร้อมกับทำหน้านิ่งเหมือนเดิม แต่ว่าทุกคนในโรงเต๊๊ยมต่างลุกขึ้นพร้อมกันแล้วก็ทยอยเดินออกจากโรงเตี๊ยมยกเว้นพวกของราธียะ แต่ถึงจะไม่บอกเหตุผลราธียะก็เข้าใจว่าสาเหตุที่พวกเขาจากไปเพราะพวกเขาคิดว่าพวกเขาคงไม่มีทางสู้เหล่าขุนนางในการแย่งลูกสาวเจ้าเมืองได้แน่ จากโรงเตี๊ยมที่คึกคักกลับเงียบเหงาลงตอนที่เหลือนั่งเพียงแค่ 4-5 โต๊ะเท่านั้น
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 274
- 👍 ถูกใจ
ความคิดเห็น
ผมว่าช่วงบทบรรยาย ถ้าพยายามย่อหน้าให้มากกว่านี้ จะทำให้อ่านได้มากขึ้นครับ
เพราะช่วงที่ไม่มีบทสนทนานี่ แทบไม่ย่อหน้าเลยครับ
แสดงความคิดเห็น