STARCIN ภาคที่ 5 Elforia ตอนที่ 18 เหมาะเหม็ง
“ชิมม่อน” เสียงที่ไพเราะฟังแล้วรื่นหูแม้เพียงจะเอ่ยออกมาไม่กี่คำ ดาร์คเอลฟ์หนุ่มผู้นั้นเอื้อมมือมาดึงแขนของชิมม่อนเดินผ่านฝูงชนไปยังราชวังขององค์ราชาดาร์คเอลฟ์
“ท่านพ่อ! ข้าพาสหายมาทักทาย”
“โฮก ๆ ๆ ข้าก็นึกว่าเรื่องอะไร เจ้าจะมีสหายกี่คนหรือเป็นใครก็ไม่เห็นต้องมาบอกข้าเลยนี่” องค์ราชาดาร์คเอลฟ์ผู้เต็มไปด้วยปรีชาสามารถในด้านการรบทั้งความรู้ทางภูมิศาสตร์ อาวุธและเวทมนตร์แทบจะแข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรดาร์คเอลฟ์
“เขาเป็นสหายที่ข้าไว้ใจที่สุด”
เมื่อครั้นที่ข้าได้ยินเช่นนั้นข้าก็ไม่อาจละสายตาไปจากเอลฟ์หนุ่มตรงหน้าได้ เขายังคงจับแขนของข้าและป่าวประกาศไปทั่วราชวัง เพราะอะไรทำไมเขาถึงต้องทำเช่นนั้น
“ชิมม่อนเจ้าต้องมากับข้าและขึ้นไปจุดสูงสุดของเอลฟ์ อีกหนึ่งเดือนจะมีการประชุมหารือของเอลฟ์ทั้งสองเผ่า”
คำพูดเหล่านั้นมันหมายถึงอะไร? จุดสูงสุดที่เจ้าว่ามันคืออะไรกันแน่ การฆ่าฟันหาผู้อยู่รอดหรือการปกครองผู้ที่อยู่ต่ำกว่าไม่ว่าจะอย่างไหนก็ต้องทำร้ายและเหยียบคนอื่นขึ้นไป...ไฉนเจ้าถึงต้องการเช่นนั้น
“อาณาจักรของเรามันเล็กเสียจริงเมื่อได้ไปพบเจอที่แห่งอื่น ไม่น่าเชื่อเลยว่ามนุษย์จะปกครองสตาร์คินได้หมดหากพ่อหนุ่มวาเลี่ยมไม่เป็นคนใจดีเช่นนี้พวกเราคงโดนกวาดล้างไปแล้ว”
สถานที่ที่เต็มไปด้วยทหารองครักษ์มากฝีมือทั้งฝั่งดาร์คเอลฟ์และเอลฟ์ พวกเขากำลังประชุมหารือที่จะรวมสองอาณาจักรเข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองกับเผ่าอื่น ๆ
“แม้จะมีการสืบเชื้อสายต่างกันแต่ก็ยังคงเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน อำนาจของเอลฟ์ลดลงเรื่อย ๆ หลังจากถูกเจ้าแอสต้าปฏิวัติ เหมืองเพชรพลอยก็ต้องเสียไปเป็นเครื่องต่อรองไม่อย่างงั้นพวกเราก็คงโดนพวกมันกำจัดไปแล้ว” ราชาดาร์คเอลฟ์เอ่ยออกมาเป็นคนแรก
“ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะออกมาจากปากของราชาดาร์คเอลฟ์ผู้แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาเอลฟ์” คากิขมวดคิ้วไม่พอใจไม่แม้แต่จะมองหน้าด้วยซ้ำ
“ระวังคำพูดด้วยคากิ พ่อให้ลูกมาด้วยก็เพราะในอนาคตลูกจะต้องเป็นผู้สืบทอดมงกุฎต่อจากพ่อ” ท่าทางของเอลฟ์สูงวัยที่สุขุมเยือกเย็นนั่งเรียบร้อยไม่เหมือนกับคากิที่ย้ำเท้าอยู่ตลอด
“ถ้าหากพวกเรารวมอาณาเขตกันแล้วจะดีขึ้นจริงหรือ? ยังไงตอนนี้ฝ่ายมนุษย์ก็ปกครองพื้นที่มากที่สุดไม่มีทางแย่งอำนาจกลับมาได้แน่”
“ข้าไม่ได้อยากจะทวงคืนอำนาจหรอก เพียงแต่เราจะสามารถต่อรองสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะการค้าขายที่เผ่าเอลฟ์อย่างเรามีจุดเด่นก็คือวัตถุดิบจากธรรมชาติ พันธุ์ไม้หายากหรือวัตถุดิบสำหรับสร้างอาวุธเวทมนตร์”
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็กล้าบอกได้เลยว่าเราเป็นอันดับหนึ่ง แต่ตอนนี้มันไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว”
ราชาเอลฟ์ทั้งสองลุกจากเก้าอี้อย่างกับนัดกันมาส่งออร่ามานาประชันกันไม่สนใจคนอื่น ๆ ที่อยู่รอบข้างจนเกือบจะเป็นลมกันหมด
“ฮ่า ๆ ๆ ยังแข็งแรงปึงปังไม่เปลี่ยนนะเจ้าโอเกีย”
“แกก็เหมือนกันตาเฒ่าเอ๊ย!” ภายใต้ความกดดันที่สั่งสมจู่ ๆ พวกเขาก็โผเข้ากอดคอกันอย่างกับเพื่อนเล่น คากิได้แต่เฝ้ามองด้วยความประหลาดใจที่พ่อของเขาราชาเอลฟ์ที่สุขุมเลือดเย็นอย่างโอเกียกลับยิ้มหัวเราะออกมา
แม้ตัวข้าจะเป็นเพียงสหายของพระโอรสแต่กลับได้เข้าไปในที่ประชุมด้วย และกระทั่งตัวข้าที่มีเลเวลมากถึงแปดแต่ก็ยังรู้สึกขนลุกไม่หายเมื่อนึกถึงมันอีกครั้งไม่อยากจะคิดว่าพวกเขาตอนยังหนุ่มจะเป็นเช่นไร
“คิดว่ายังไงชิมม่อน พวกเราจะเจรจาสำเร็จหรือไหม?”
หลังจากที่คุยกันอยู่สักพักถึงซึ่งส่วนใหญ่จะถามสารทุกข์สุกดิบกันอย่างกับวันรวมญาติเสียมากกว่า
หลายวันผ่านไปพวกเขายังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาไม่ได้ตอบตกลงทันที ในช่วงนั้นจู่ ๆ ก็มีของขวัญจากอาณาจักรเอลฟ์ส่งมาทุกวันซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นอาหารการกิน สมุนไพรหายากช่วยในการรักษาโรคลดความเหี่ยวย่นของผิวหนัง
“เจ้าลูกชายคนนี้เริ่มโตเป็นผู้ใหญ่แล้วสินะ” โอเกียเอ่ยชมเมื่อได้เห็นคากิส่งของขวัญไปแต่ก็ยังไม่ยิ้มให้ยิ่งทำให้ตัวลูกชายรู้สึกน้อยใจจนเก็บไปคิดตลอดทั้งคืน
ทุกอย่างเหมือนจะปกติดีแต่นับวันราชาดาร์คเอลฟ์ก็ทรุดโทรมลงจนล้มป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ ตอนแรกพวกเขาก็ใช้สมุนไพรที่คากิส่งมาเพราะมันเป็นสมุนไพรหายากแต่อาการกลับแย่ลงเรื่อย ๆ
“ลูกข้า...” เสียงที่เคยดังก้องไร้ซึ่งผู้ขัดขืนบัดนี้มันกลับอ่อนระทวยจนหาความเกรงขามไม่ได้
“ครับท่านพ่อ” ขณะที่พ่อลูกคุยกันชิมม่อนก็ยืนอยู่ใกล้ ๆ ได้เห็นสภาพร่างกายขององค์ราชาที่ทรุดโทรมจนลุกนั่งเองก็ไม่ได้
ในคืนวันหนึ่งขณะที่ทุกคนกำลังหลับใหลก็มีเสียงดังระเบิดขึ้นที่ห้องบรรทม ร่างที่ทรุดโทรมกำลังยืนกรานสู้สุดชีวิตกับกลุ่มนักฆ่าที่มีอาวุธครบถึงจะสามารถฆ่าไปได้ครึ่งหนึ่งแต่ก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหวบวกกับสภาพร่างกายที่เหมือนตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง
“ท่านพ่อ!” เสียงเรียกแห่งความโกรธเกรี้ยวดังกังวานน้ำตาไหลดั่งสายโลหิตก่อนจะเหลือบไปเห็นตราสัญลักษณ์ของอาณาจักรเอลฟ์
หลังจากตรวจสอบทุกอย่างที่ส่งมาก็ได้พบสารพิษปนเปื้อนกับของทุกอย่างแม้จะเล็กน้อยก็ตามแต่ด้วยความเชื่อใจจึงไม่ได้ตรวจสอบตั้งแต่แรก
“ฆ่าพวกมันให้หมด!”
เจ้าชายที่มักจะยิ้มแย้มทักทายผู้คนด้วยความเป็นกันเองกลับตะคอกออกมาเสียงดังเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวไม่สนคำพูดใครทั้งสิ้นแม้จะเป็นชิมม่อนสหายของเขา
สงครามระหว่างเอลฟ์ทั้งสองเผ่าสร้างความเสียหายจนไม่อาจฟื้นคืนสภาพได้ เปลวเพลิงที่ลุกไหม้บ้านทุกหลังเผาจนกลายเป็นตอตะโก
“ข้าขอโทษ!” ขณะที่สงครามยังปะทุดุเดือดจู่ ๆ คากิก็เดินฝ่าวงล้อมเข้าไปหาเจ้าชายดาร์คเอลฟ์พร้อมกับหัวของราชาโอเกีย
“นี่มันหมายความว่ายังไง?”
“ข้าขอโทษ ข้าเห็นมันมาตลอดแต่ไม่กล้าพอที่จะหยุดยั้ง...เรื่องที่ท่านพ่อและน้องเล็กร่วมมือกันก่อกบฏหวังยึดเขตแดนทั้งหมดไว้”
“เขตแดนหรือ...” เจ้าชายได้แต่กำหมัดจนเล็บนิ้วจิกเลือดออกกัดฟันกรอดจ้องตาเขม็ง เพียงเพราะเขตแดนจึงต้องฆ่าเลยหรือทำไมถึงโหดร้ายเช่นนี้
“ข้าได้จัดการกับท่านพ่อแล้ว...ส่วนน้องของข้ายูกิหนีไปได้” คากิวางหัวของราชาโอเกียทั้งน้ำตาพร้อมกับก้มหมอบยอมจำนน
“เวรเอ๊ย!” หลังจากที่เจ้าชายประกาศชัยชนะทหารทุกนายต่างก็โหร้องออกมาด้วยความดีใจเพราะตัวเองนั้นได้รอดจากความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น
ทุกคนต่างก็เคลื่อนพลกลับบ้านเตรียมฉลองชัยชนะมีเพียงเจ้าชายเท่านั้นที่ยังโศกเศร้าราวกับโลกทั้งใบได้พังทลายไปแล้ว
“กลับบ้านกันเถอะองค์ชาย” ชิมม่อนเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าที่เศร้าสร้อยคล้อยตามก่อนจะขึ้นขี่ม้าตีคู่กันกลับบ้าน สิ่งที่ได้พบก็คือบ้านที่พังทลายถูกเผาวอดวายไม่เหลือชิ้นดีตลอดเวลาที่ทหารทั้งหลายออกไปรบที่เมืองกลับถูกโจมตีผู้คนล้มตายกันเป็นเบือ
“ดาร์คเอลฟ์เผ่าพันธุ์ที่เป็นเหมือนสิ่งปนเปื้อนจงหายไปซะให้หมด” ใบหน้าที่เรียบเนียนริมฝีปากบางเบาและร่างกายที่เล็กอย่างกับเด็กวัยรุ่นกำลังชูชันดาบสีขาวบริสุทธิ์
“แก!” เจ้าชายคว้าอาวุธอันทรงพลังที่เต็มไปด้วยมานามหาศาลก่อรวมกันเป็นคมดาบนับพันเล่ม
“ข้า ยูกิ เอลโฟเรีย จักต้องชำระสิ่งปนเปื้อนไปให้หมด เอลฟ์ที่แท้จริงมีเพียงพวกเราเท่านั้น” ไม่ทันที่เจ้าชายจะได้ออกอาวุธยูกิก็หนีหายไปเสียแล้วทิ้งเพียงความเสียหายมหาศาลไว้เบื้องหลัง
หลังจากสงครามจบลงความเสียหายมากมายที่เกิดขึ้นทำให้ต้องย้ายที่อยู่แทน ซึ่งสถานที่อีกแห่งที่สภาพดีและอยู่ในการปกครองของเอลฟ์ก็คือเมืองวิทาที่คากิได้รับมาจากราชาโอเกีย หลังจากการเจรจาปกครองกันสำเร็จโดยมีรัชทายาทของราชาโอเกียก็คือคากิเป็นผู้ปกครอง
“น้อมรับบัญชา” เจ้าชายที่เคยเพียบพร้อมไปด้วยยศทาบรรดาศักดิ์กลับกลายเป็นแม่ทัพทหารของอาณาจักรเอลฟ์แห่งใหม่ เพื่อให้เผ่าดาร์คเอลฟ์ได้มีที่อยู่ที่ทำมาหากินจึงจำเป็นต้องยอมทำตามเงื่อนไข
“เจ้าเข้าใจที่ข้าบอกใช่หรือไม่...เฮอเมส” ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้ายืนกรานต่อหน้าคมดาบที่เล็งมาหาเขา ดาร์คเอลฟ์ตนนั้นที่กำลังเล็งดาบใส่เขาก็ค่อย ๆ ลดอาวุธลงสวมกอดร่างที่ผอมบางแต่ก็มีน้ำมีนวล
“ข้าดีใจเหลือเกินที่เจอเจ้า ชิมม่อนสหายรักของข้า” น้ำตาของลูกผู้ชายที่ยากจะได้เห็นกำลังไหลหยดย้อยลงบนแผ่นหลังของทั้งสองคนท่ามกลางความสับสนมึนงงของพรรคพวกทั้งสองฝ่าย
หลังจากที่ทุกคนใจเย็นลงจากสงครามที่หวังเอาชีวิตแต่เมื่อแม่ทัพเฮอเมสหมดสิ้นความตั้งใจที่จะสู้ทุกคนก็พร้อมน้อมทำตาม
“เอ่อ...เราต้องจับพวกเขาไหม? ซึฮากิบอกไว้ให้จับเป็นพวกระดับสูง” โทลที่เห็นอีกด้านของชิมม่อนได้แต่ยิ้มอ่อนออกมาเห็นอกเห็นใจก่อนจะเอ่ยออกมาเช่นนั้น
“งั้น...ทุกคนหมอบลงไปเอามือไขว้หลัง”
“ครับท่าน!” ทันทีที่เฮอเมสกล่าวทุกคนก็น้อมรับทำตามทันที
“โถ่ น่าเบื่อจริง ๆ ไม่ทันได้ออกแรงอะไรเลย” เซนถอนหายใจลากยาวยืนกอดอกมองอยู่ไกล ๆ
“เถอะน่าเซน อย่างน้อยก็ไม่มีใครเป็นอะไรแต่...” คานะชำเลืองมองภาพอันน่าสังเวชของผู้คนที่ล้มตายกันเต็มสนามรบซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกเลเวลต่ำเมื่อถูกพิษอัมพาตก็ไร้ซึ่งทางสู้
“ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วไม่ใช่ยูกิแต่กลับเป็นซึฮากิ” เฮอเมสเดินเข้าประชันหน้ากับพรรคพวกของชิมม่อน สายตาอันแกร่งกล้ากวาดมองทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้น
“ซึฮากิ...เจ้านั่นเป็นใคร?”
“ฉันเอง” ซึฮากิเอ่ยทักขึ้นมาทันทีก้าวเท้าเดินเข้าหาโดยไม่มีท่าทางตกใจหรือเกรงกลัวออร่ามานาของเขาเลยสักนิด
“เจ้ามันคนที่ฆ่าทหารของข้าไม่ใช่หรือ ใครจะคิดว่านักวางแผนจะเข้ามาในสนามรบเองด้วย”
“เหรอ? ก็ฉันไม่ใช่นักวางแผนนี่นาเป็นแค่ตัวแทน” ขณะที่กำลังยืนคุยกันโฟลก็แทรกเข้ามาพร้อมกับหินสื่อสาร
“ได้ข่าวว่าทางนั้นเรียบร้อยแล้วสินะ เรื่องที่ชิมม่อนรู้จักกับแม่ทัพฝั่งศัตรูถือเป็นเรื่องที่ไม่มีอยู่ในแผนแต่ก็ดี ทุกคนที่ยอมจำนนให้ตั้งแคมป์รอในป่าก่อนอย่าพึ่งให้ไปที่บ้านเพราะฉันจะเป็นคนตรวจทุกคนเอง”
“ตามนั้นเลยซึฮากิ ทางนั้นล่ะไปถึงไหนแล้ว?”
ซึฮากิเหรอ? แล้วเจ้าหินประหลาดนี่มันอะไรกันทำไมถึงมีเสียงออกมา
เฮอเมสเบิกตากว้างเมื่อได้เห็นสิ่งแปลกตาแม้จะพยายามตรวจสอบตรวจจับแต่ก็ไม่อาจจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้
“ดูเหมือนจะมีเรื่องยุ่งยากกว่าที่คิด ตอนนี้เผ่าอื่น ๆ กำลังเคลื่อนพลเข้ามาที่เมืองวิทาหวังจะยึดเป็นอาณาเขตของตนเองแน่ ๆ แค่นี้ก่อนไว้จะติดต่อไปอีกที”
เสียงซึฮากิที่ปลายสายหายไป พวกเขาต่างก็มองหน้ากันครู่หนึ่งเหมือนกำลังคิดอะไรในใจ
“แม้ว่าข้าจะยอมจำนนแล้วก็ตามแต่ความสูญเสียของพวกเราก็มากเกินจะรับไหว อย่างน้อยพวกข้าขอเวลาสงบจิตสงบใจกันเสียก่อน” เฮอเมสกล่าวออกมาด้วยถ้อยคำอันเศร้าสลดกวาดสายมองกองศพของพวกพ้องของตนเอง
“ให้พวกข้าช่วยฝังศพไหม?” ชิมม่อนเอ่ยถามแต่เขาก็ส่ายหน้าเป็นการตอบกลับแทน
บรรยากาศอันเงียบขรึมมิหนำซ้ำอุณหภูมิก็เริ่มตกลงจนต่ำกว่าสิบองศาอย่างกับพระเจ้าซ้ำเติม นายทหารและประชาชนที่เข้าร่วมกว่าเก้าหมื่นรายเสียชีวิตและมีผู้บาดเจ็บสาหัสอีกจำนวนมาก
อีกด้านหนึ่งที่เมืองวิทาถูกล้อมไปด้วยทหารจากหลายเผ่าพันธุ์ แม้อาณาจักรอาฟจะเป็นศูนย์รวมความหลากหลายแต่เมื่อใดที่เผ่าพันธุ์หนึ่งอ่อนกำลังลงก็มีโอกาสสูงที่จะถูกบุกตีหรือบังคับทำสัญญาอันไม่เป็นธรรม ซึ่งแต่เดิมมันควรจะเป็นเช่นนั้นการแข่งขันแก่งแย่งดินแดนพื้นที่หากินแต่เมื่อมนุษย์เข้ามามีส่วนร่วมทำให้เผ่าพันธุ์คนอื่น ๆ ต้องคอยระแวงไปด้วย
“ท่านวาเลี่ยมครับ กองทัพของอาณาจักรเอลฟ์เคลื่อนผ่านภูเขาลูกใหญ่ไปแล้วครับถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมพอดี”
“เตรียมความพร้อมให้ดีเพราะคนอื่น ๆ ก็คงไม่อยู่เฉยแน่” ชายสูงวัยที่สวมชุดเกราะพร้อมรบแม้ร่างกายจะไม่ไหวแต่เขาก็ทำไปเพื่อเรียกขวัญกำลังใจแก่ลูกน้อง
หลังจากนำกองทัพบุกเข้าเมืองวิทาแทนที่ผู้คนจะกลัวแต่กลับนิ่งเฉยราวกับเตรียมใจรับชะตากรรมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“อ้าว ๆ คุณวาเลี่ยมก็มาสินะ” ถ้อยคำที่เต็มไปด้วยเลศนัยของมนุษย์หมาป่าที่ก้าวกระโดดเข้ามาขวางทาง
“คิคิ? นายมาถึงก่อนแล้วสินะแต่ดูเหมือนจะว่างมากเสียด้วยที่มาขวางทางเราได้” ขณะที่เอ่ยชื่อของมนุษย์หมาป่าตนนั้นวาเลี่ยมก็หลุดขำออกมาด้วย
“ชื่อฉันมันน่าตลกนักหรือไง! เฮอะจะยังไงก็เถอะดูเหมือนเราจะหาคนดูแลเมืองไม่ได้เลย จะต่อรองเจรจาก็ทำไม่ได้เป็นนายจะบุกยึดเลยไหม?” ท่าทางที่เป็นกันเองจนนึกว่ามิตรสหายไม่หวั่นแม้จะอยู่ท่ามกลางทหารของฝั่งมนุษย์
“นายไม่เจอนากิเหรอ? หวังว่าเธอจะปลอดภัยนะ”
ภายในราชวังที่ไร้ซึ่งองค์ราชาปกครองมีเพียงทหารอันน้อยนิดและแม่บ้านคอยทำความสะอาดแต่จู่ ๆ ก็มีกลุ่มชายหญิงบุกเข้ามา
“ทหาร ! มีผู้บุกรุก” เสียงตะโกนเรียกของแม่บ้านคนหนึ่งแต่ดูเหมือนบริเวณนั้นจะไม่มีทหารประจำอยู่พอดีอย่างกับผู้บุกรุกรู้เรื่องอยู่แล้ว
กระท่อมเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ชานเมืองวิทาเป็นที่อยู่อาศัยของเอลฟ์สาวคนหนึ่ง เธอเดินออกมาพร้อมกับชายตามองไปยังราชวังที่กำลังวุ่นวายเต็มไปด้วยทหารจากอาณาจักรอื่น
“เหนื่อยใจจริง ๆ” เธอถอนหายใจลากยาวอย่างกับสิ้นวิธีเดินต่อ
“ว่าแต่พวกเธอรู้ที่อยู่ของฉันได้ยังไง?” ภายในกระท่อมเล็ก ๆ นั้นมีหนุ่มสาวนั่งล้อมวงเหมือนกำลังประชุมอะไรสักอย่างอยู่ก่อนที่จะก้าวเท้าออกมาข้างนอก
“ก็ไม่เห็นยากเลย คนในเมืองต่างก็รู้จักคุณดีก็แค่ถามสักหน่อยก็ได้ที่อยู่มาแล้ว” ซึฮากิตอบคำถามที่เอลฟ์สาวสงสัย เธอส่ายหัวรู้สึกได้ถึงความเบื่อหน่ายจากใบหน้าที่บอกบุญไม่รับ
“เหอะ จะเอายังไงก็ว่ามาดูจากลักษณะแล้วนายมาจากเผ่ามนุษย์สินะ ถ้าเป็นวาเลี่ยมฉันก็ไม่ปฏิเสธข้อเสนอหรอก”
“อ้อไม่ใช่ ๆ พวกเราไม่ได้มาจากเผ่ามนุษย์แต่เป็นตัวแทนจากเมืองเอลโฟเรีย” ทันทีที่ซึฮากิเอ่ยคำว่าเอลโฟเรียออกมาเอลฟ์สาวคนนั้นก็พุ่งกระชากคอเสื้อกดกับกำแพงแววตาที่เต็มไปด้วยความสับสนและโกรธกำลังจ้องมองเขาอยู่
“เอลโฟเรียเหรอ พวกแกเป็นใครกันแน่ !”
“ใจเย็น ๆ ก่อนครับ คุณก็รู้นี่ว่าถ้าพวกเราจะมาฆ่าคุณคงตายไปนานแล้ว”
หลังจากที่เธอพยายามสงบสติอารมณ์ปล่อยคอเสื้อของซึฮากิและนั่งลงที่เก้าอี้พวกเขาก็เริ่มพูดคุยกัน
“ถ้าอย่างงั้นผมก็ขอแนะนำตัวเป็นทางการสักหน่อย ผมซึฮากิเป็นตัวแทนจากเมืองเอลโฟเรียในการมาเจรจา”
“โอะ ๆ ฉันเซนพ่อหนุ่มรูปหล่อเพื่อนกิแล้วก็ชอบกินเนื้อ” เขารีบพูดต่อทันทีเก็บอาการไม่อยู่เมื่ออยู่ต่อหน้าเอลฟ์สาวสวยที่ดูเป็นผู้ใหญ่พึ่งพาได้
“ให้มันน้อย ๆ หน่อยเซน ส่วนฉันคานะเป็นแฟนของเจ้านี่...แล้ว ๆ พี่สาวมีแฟนหรือยัง?” คานะจ้องมองเรือนร่างที่สมบูรณ์แบบที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะมีได้ราวกับเป็นร่างกายที่ฟ้าประทานมาให้ เธอแทบจะยื่นหน้าเข้าไปแนบชิดเสียแล้วหากเซนไม่ดึงไว้ก่อน
จริง ๆ เลยเจ้าสองคนนี้ นิสัยเหมือนกันยิ่งกว่าแกะอีก
“ฉัน นากิ เอลโฟเรีย เป็นพระราชธิดาขององค์ราชาโอเกีย แต่พวกนายก็คงรู้อยู่แล้วสินะไม่เห็นต้องแนะนำตัวเลย”
“งั้นขอเข้าเรื่องสำคัญเลยละกัน คุณคงรู้เรื่องที่ทหารมากมายบุกไปเมืองเอลโฟเรียเพราะการลอบปลงพระชนม์ราชาคากิ จริง ๆ แล้วคนที่ทำก็คือพวกสำนักมนตร์ดำซึ่งคุณจะเชื่อหรือเปล่าผมก็บังคับไม่ได้”
“ไม่หรอก ฉันก็แอบคิดมานานแล้วตั้งแต่เมื่อตอนนั้น” เธอเบือนสายตาหนีไปคิดอะไรครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาสบตาพวกเขาอีกครั้ง
“ว่าแต่เจ้านั่นเป็นสัตว์พันธสัญญาของใคร?” ใบหน้าที่ประหลาดใจแสดงออกมากะทันหันเมื่อเธอได้เห็นกระต่ายขนสีขาว
“หือ สัตว์ไหน?” พวกซึฮากิเองก็สงสัยไม่ต่างกัน
“เจ้าปุย! ไม่ได้เจอกันนานคิดถึงสุด ๆ เลย” ทั้งคานะและเซนพุ่งกอดกระต่ายขนสีขาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ อย่างกับอยู่ดี ๆ ก็โผล่มาจากไหนไม่รู้
“มันไม่ใช่สัตว์พันธสัญญาหรอกแต่เป็นเหมือนสัตว์เลี้ยงมากกว่าส่วน...” ซึฮากิใช้นิ้วมือช่วยเป่าปากเป็นเสียงดังแหลม ๆ ก่อนที่แฟรงค์จะโผบินลงมาเกาะที่แขน
“เจ้านี้ต่างหากที่เป็นสัตว์พันธสัญญา” ดูเหมือนพวกเขาจะชื่นชอบเจ้าปุยมากเสียจนลืมเรื่องสำคัญที่มาที่แห่งนี้ไม่เว้นแม้แต่นากิที่เอาแต่จ้องตาไม่กะพริบ
“ขอเข้าเรื่องจริง ๆ ละเดี๋ยวจะ-”
“เอาน้ำชาสักหน่อยไหม? พอดีพึ่งไปรับใบชามาจากอาณาจักรภูตน่ะ ชาพวกนี้เป็นชาคุณภาพสูงที่ปลูกอยู่ในธรรมชาติแต่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี”
ขณะที่นากิกำลังชงชาพวกเซนก็นั่งเล่นกับปุยและแฟรงค์ไปพลาง ๆ อย่างกับมาปิกนิกครอบครัว แต่ภายในเมืองยังมีทหารจากหลายอาณาจักรมาป้วนเปี้ยนตามหาใครบางคน
“ว่าแต่เมื่อไหร่เราจะ-”
“ฉันมีขนมอบแห้งจากอาณาจักรคนแคระมาด้วยล่ะมันออกเผ็ด ๆ หวาน ๆ เหมาะเป็นกับแกล้มดื่มเหล้ามากเลย” ก่อนที่ซึฮากิจะได้เอ่ยปากพูดจบก็ถูกนากิพูดแทรกเสียก่อนและดูท่าทางพวกเซนจะติดใจเธอเป็นอย่างมาก
“เหล้าเหรอ! ฉันไม่เคยดื่มหรอกแต่ตอนนี้ก็คงจะไม่เป็นอะไร” นากิยกเหล้ารินให้กับทุกคนแต่ซึฮากิก็ไม่ได้สนใจ
หลายชั่วโมงผ่านไปพวกเขายังคงนั่งดื่มและคุยกันสนุกไม่ได้ดูเวลาจนดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า
“ฮ่า ๆ ๆ มีเรื่องอะไรจะเล่าอีกไหมครับพี่” เซนหัวเราะลั่นดังไปยันบ้านหลังอื่นที่อยู่ห่างออกไป
“เก็บไว้วันหลังแล้วกัน พวกนายจะนอนที่นี่ก็ได้นะถึงมันจะแคบไปหน่อยแต่ก็วางใจได้กว่าคนอื่นในเมือง” นากิหาผ้าห่มหมอนมาให้เสร็จสรรพอย่างกับมีเตรียมรับแขกอยู่แล้ว
“พวกเขาหลับง่ายดีเนอะ” ใบหน้าที่ยิ้มอ้าปากกว้างนอนโดยมีเจ้าแฟรงค์และปุยนอนอยู่ด้วยเป็นภาพที่น่ารักอะไรเช่นนี้
“ก็โดนมอมเหล้าไปขนาดนั้น ทีนี้ดูเหมือนจะพร้อมคุยแล้วสินะ” ซึฮากิยังคงนั่งที่เก้าอี้เหลือบตามองอย่างเขม้นขะมัก
“อืม..ว่ามาเลย”
ซึฮากิถอนหายใจสั้น ๆ จ้องมองไปในดวงตาของนากิ “คุณเป็นคนดูแลอาณาจักรเอลฟ์ใช่ไหม? ทั้งจัดการบริหาร งบประมาณและทุก ๆ อย่าง”
“ใช่ ฉันเป็นคนจัดการทุกอย่างเอง ไอ้พี่ชายตัวดีมีแต่นอนกินไปวัน ๆ ทำอะไรเป็นที่ไหนล่ะ” เธอกระแทกเสียงประชดประชันพร้อมกับยกเหล้าขึ้นดื่ม
“ในเมื่อคากิตายแล้วคุณก็ถือว่าเป็นราชินีผู้ปกครองเพียงคนเดียว ส่วนทหารมากมายก็ตายไปในระหว่างเดินทาง”
“เดี๋ยวนะทหารของเราตายเหรอ? นายรู้ได้ยังไง” ดวงตาเบิกกว้างจ้องมองซึฮากิต้องการคำตอบที่ชัดเจน
“ก็พรรคพวกของผมเป็นคนจัดการยังไงล่ะ ตอนนี้แม่ทัพอดีตเจ้าชายดาร์คเอลฟ์ก็ยอมจำนนเช่นกัน”
“แม้แต่เฮอเมสที่แข็งแกร่งขนาดนั้นยังยอมแพ้เลยเหรอ ดูท่าพรรคพวกของนายจะเก่งไม่ใช่น้อย ๆ เลย” นากิแสยะยิ้มออกมาราวกับกำลังดีใจที่กองทัพของคากิพ่ายแพ้
“เรื่องนั้นทางอาณาจักรอื่นก็คงยังไม่รู้เรื่องแต่พรุ่งนี้ก็ไม่แน่ เอาเป็นว่าตอนนี้คุณเป็นผู้ปกครองอาณาจักรเอลฟ์และมีผู้นำจากเผ่าอื่นมาเพื่อทำสัญญา ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่าต้องมัดมือชกหากปฏิเสธก็คงไม่พ้นบุกยึดทันที ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้พวกคุณไม่มีทางเลือกมากนักหรอก”
“นายคงจะมาชิงทำสัญญาก่อน...ฉันเข้าใจถูกสินะ?” นากิเลิกคิ้วจ้องตาซึฮากิ
“ถ้ารู้แล้วงั้นมาทำสัญญากันเลยแล้วกัน” ซึฮากิเตรียมหนังสือสัญญามาอย่างดิบดีเขียนรายละเอียดไว้พร้อมแต่นากิจับปากกาเซ็นโดยไม่อ่านมันเลยสักคำ
“ฉันยอมเซ็นก็เพราะนายนะแต่หลังจากนี้นายจะรับมือกับอาณาจักรอื่นได้ยังไง? พวกเขามีกองทัพหลายแสนคนที่สามารถบุกยึดเมืองเอลโฟเรียของนายได้สบาย ๆ”
“ไม่ต้องห่วง ผมได้ข้อมูลของอาณาจักรที่อาจจะเป็นภัยไว้แล้วแต่ก็ยังไม่ละเอียดนัก”
“และแผนสำหรับรับมือก็คิดไว้แล้วเช่นกัน ซึ่งมันจะง่ายมากขึ้นเมื่อคุณร่วมมือกับผม”
“ดู ๆ แล้วนายคงจะไม่ยอมบอกแผนสินะ งั้นคืนนี้ก็นอนพักให้สบายก่อนพรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่”
4 มกราคม พ.ศ.2576
ค่ำคืนที่วุ่นวายภายในราชวังได้ผ่านพ้นไป หลังจากเวลาไม่กี่ชั่วโมงก็ถูกทหารจากหลายอาณาจักรยึดเป็นที่เรียบร้อยต่างฝ่ายต่างอดทนตามตัวนากิเพื่อผลประโยชน์ของตน
“ท่านครับ คุณนากิมาแล้วครับ”
ไม่นานนักที่นายทหารคนนั้นเอ่ย ประตูบ้านใหญ่ก็เปิดออกเผยให้นากิผู้เป็นสายเลือดผู้ปกครองเอลฟ์คนสุดท้ายในสายตาของพวกเขา
“มาเริ่มกันเลย” นากิแสยะยิ้มราวกับปีศาจร้ายที่เฝ้ารอวันปลดปล่อยมานานผิดกับรูปลักษณ์ที่ดุจนางฟ้านางสวรรค์กวาดตามองเหล่าผู้นำที่มาเพื่อทำสัญญา
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 250
แสดงความคิดเห็น