ตอนที่ 3 เย่หนิงเสวี่ย
ตอนที่ 3 เย่หนิงเสวี่ย
สาวน้อยถอยไปก้าวหนึ่ง หากแต่ไม่คล้ายว่าจะหลบหนี นางมองใบหน้าและดวงตาเขาใต้แสงมัว นางอดคิดไม่ได้ว่าเขาเป็นชายหนุ่มรูปงาม ดวงตาเปี่ยมความเศร้าและพร่าไหวของเขาช่างดูไม่สมกับวัย หากแต่ไม่ได้นำพาความรู้สึกเกลียดชัง ตรงกันข้าม กลับกลายเป็นดั่งเสน่ห์มนต์มารที่กระชากลมหายใจ ทำให้ผู้คนหลงใหลยามจับจ้องเข้าไปยังนัยน์ตา
พวกเขามองกันและกันอยู่เนิ่นนานราวกับสูญเสียจิตวิญญาณ นางถอนสายตามองมายังผลไม้ในมือ กลืนน้ำลายอึกหนึ่ง จากนั้นชูผลไม้ยื่นไปทางเย่หวูเฉินช้าๆ นางกล่าวเอียงอาย “พี่ชาย ท่านอยากจะกินนี่มั้ย?”
เย่หวูเฉินหัวเราะพรวดออกมา จากนั้นเขาย่อกายลงและส่ายศีรษะ เขายื่นมือออกไปช้าๆไปยังใบหน้าเด็กสาว สัมผัสแผ่วเบาลงที่รอยแผลเป็น ที่ปลายนิ้วมีแสงเรืองจางๆ สาวน้อยตกใจมาก นางยืนนิ่งปากอ้าตาค้างไม่ขยับเขยื้อนใดๆ ลืมแม้กระทั่งจะหลบหลีก
ผ่านไปไม่กี่อึดใจ เย่หวูเฉินถอนมือกลับและขมวดคิ้ว เขาถาม “เจ้าชื่ออะไร น้องหญิง?”
สาวน้อยยังไม่หายตกใจจนผ่านไปครู่ใหญ่ นางกล่าวเสียงแผ่ว “ข้า... ข้าไม่มีชื่อ”
“ไม่มีชื่อ? แล้วครอบครัวของเจ้าล่ะ? ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
“ข้าไม่มีครอบครัว... พอตื่นขึ้นมาข้าก็อยู่ที่นี่แล้ว ข้าไม่รู้จริงๆว่าเกิดอะไรขึ้นกับข้า” สาวน้อยส่ายศีรษะ น้ำเสียงอ่อนโยนของเขาปลอบหัวใจนางให้สงบลง
“เจ้าจำเรื่องราวก่อนหน้านี้ของตัวเองไม่ได้ ใช่มั้ย?”
สาวน้อยสะท้านอีกครั้ง และพยักหน้าด้วยแววตาอับจน นางไม่มีครอบครัว ไม่มีความทรงจำ ลืมกระทั่งชื่อของตนเอง แทบทุกคนที่นี่ล้วนรังเกียจนาง ทุบตีนางด้วยท่อนไม้หรือก้อนหินยามพบเจอ นางทำได้เพียงดิ้นรนหลบหนี ซ่อนตัวและร้องไห้อยู่ในมุมลับตา นางเพียงพยายามมีชีวิตอยู่โดยสัญชาติญาณ แม้จะไร้พวกพ้องใดๆ หรือไร้จุดหมายก็ตาม
“ข้าเข้าใจ” เย่หวูเฉินยิ้มให้นางอีกครั้ง พวกเขาประสบชะตากรรมเดียวกัน ต่างก็โผล่ออกมาอย่างลึกลับ ต่างก็สูญเสียความทรงจำ อาจเรียกได้ว่าเป็นชะตาสาหัส ความรู้สึกอ่อนโยนผุดขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ เขาเอ่ยถาม “เจ้าอยากจะมีพี่ชาย ผู้ที่จะไม่ปล่อยให้เจ้าหิวโหยหรือโดนรังแกมั้ย?”
สาวน้อยมองเขาด้วยความแปลกใจ ใบหน้าของนางว่างเปล่า นางไม่รู้ว่าควรตอบคำถามนี้อย่างไรในเวลานี้
“ให้ข้าเป็นพี่ชายเจ้าตกลงมั้ย? ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าต้องอดอยากหรือถูกรังแก”
สาวน้อยเบิกตากว้าง ผลไม้ที่ถือไว้ยังโตกว่ามือน้อยๆของนาง ความรู้สึกร้าวรานในจิตใจปรากฎในแววตา ภายในใจมีบางสิ่งพลุ่งพล่านอยู่ นางกล่าวอย่างขลาดกลัว “ขะ...ข้า...เป็นได้หรือ? พวกเขาทุกคนรังเกียจข้า ทุบตีข้า เพราะว่าข้า...”
เย่หวูเฉินลุกขึ้นยืนแล้วจับมือน้อยๆของนาง “ตามข้ามา จากนี้ไปเจ้าคือน้องสาวข้า จะไม่มีใครรังแกเจ้าได้หากไม่ผ่านข้าไปเสียก่อน”
เด็กสาวมองเขาและรู้สึกถึงความอบอุ่นแปลกๆบนฝ่ามือที่กุมมือซ้ายของนางอยู่ ไม่รู้เป็นเพราะอะไร นางพบว่าดวงตาทั้งสองของนาง ตอนนี้เต็มไปด้วยหยาดน้ำตา
เขาจับมือนางไว้และสัญญาว่าจะปกป้องในเวลาที่นางรู้สึกว่างเปล่า จากเคยถูกผู้คนชิงชังรังเกียจ จากที่ถูกโลกใบนี้ทอดทิ้ง ทว่านับตั้งแต่วินาทีนี้ไป ภาพของเขาได้ประทับฝังติดลงในดวงวิญญาณ ไม่อาจหยุดยั้งอารมณ์หลากหลั่งที่มีต่อเขา คล้ายผู้คนที่เสพติดฝิ่นพิษจนไม่อาจไถ่ถอนตนเองกลับคืน
ณ เวลานี้ หนทางชีวิตสองสายที่ไม่น่าจะพบกันได้ ในที่สุดก็มาบรรจบกัน
เย่หวูเฉินไม่ได้กล่าวคำอธิบายใดๆแก่ชายชราและฉู่จิงเทียน ว่าทำไมเขาถึงพานางกลับมาด้วย และพวกเขาก็ไม่ไต่ถามหรือคัดค้านใดๆ ในคืนนั้น เตียงที่เย่หวูเฉินนอนมาตลอดสิบปีได้กลายเป็นเตียงหลังแรกของเด็กสาว เย่หวูเฉินยืนอยู่นอกห้องเงียบงัน มองไปยังท้องฟ้าเวิ้งว้างคล้ายกำลังครุ่นคิดบางสิ่งอยู่
ในความเงียบสงบ เขาเลิกแขนเสื้อเปิดแขนซ้ายของตนออกมา แล้วใช้นิ้วมือขวากรีดผ่านเบาๆ มีหลายรอยแผลเกิดขึ้นและมีเลือดไหลออกมา จากนั้นเขาใช้นิ้วมือขวาลูบสัมผัสบาดแผล จากนั้นแผลทั้งหมดก็หายสนิททันทีโดยไม่เหลือร่องรอย
เขาวางมือลงและขมวดคิ้วสับสน จากในความทรงจำ เขารู้ว่าตนมีทักษะประเภทนี้อยู่ แต่ทำไมเขาถึงใช้มันรักษาแผลเป็นของนางไม่ได้?
นั่นเป็นแค่แผลเป็นจริงๆหรือ?
“พี่ชาย”
พอได้ยินเสียงอ่อนหวาน เย่หวูเฉินหันร่างกลับ และมองกลับไปที่สาวน้อยที่โผล่ใบหน้าออกมาครึ่งใบ จากนั้นจึงเอ่ย “ดึกดื่นแล้ว ทำไมเจ้ายังตื่นอยู่อีก?”
หลังลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สาวน้อยก็เอ่ยด้วยสีหน้าคาดหวัง
“ขอข้านอนเตียงเดียวกับท่านได้มั้ย พี่ชาย?”
“ได้สิ” เย่หวูเฉินยิ้มรับคำ เขาไม่อยากเห็นความผิดหวังใดๆบนใบหน้าของนาง หรือเห็นนางต้องรู้สึกต่ำต้อยเพียงเพราะสีผมและแผลเป็น อย่างน้อยๆ เขาจะทำให้นางได้รู้ว่า เขาจะไม่มีวันรังเกียจหรือปฏิเสธนาง
“จริงนะ?” สาวน้อยพูดเสียงดังอย่างตื่นเต้น เย่หวูเฉินยกนางขึ้นและวางลงบนเตียงไม้ที่เก่าโทรม
“เอาละ แม่สาวน้อย ตอนนี้ก็พร้อมที่จะหลับแล้ว” เย่หวู่เฉินกอดนางไว้ในอ้อมอกและกล่าวอย่างอ่อนโยน ราวกำลังดูแลทารกน้อย
“อื้ม!” นางตอบอย่างมีความสุขและขยับกายเข้าใกล้ไออุ่นจากอกเขา เมื่อเจอตำแหน่งที่สบายจึงหลับตาลงอย่างเกียจคร้าน แต่กระนั้น น้ำตายังคงไหลรินบนใบหน้าเปื้อนยิ้ม นางแค่เพียงมีความสุข และไม่อาจห้ามน้ำตาแห่งความสุขนี้ไว้ได้
“ข้าจะเรียกชื่อเจ้าเช่นไรดี?” เย่หวูเฉินพึมพำกับตัวเองขณะลูบผมยาวสีขาวของนาง สาวน้อยชำเลืองมองด้วยสายตาซับซ้อน ผิวของนางขาวเกินธรรมดา จนมองเห็นได้แม้กระทั่งภายใต้คืนมืด เย่หวูเฉินเลิกหัวคิ้วขึ้นแล้วกระซิบ “ทั้งสีผิวและเส้นผมของเจ้าล้วนเป็นสีขาวดุจหิมะ ถ้างั้นข้าจะเรียกเจ้าว่า เย่หนิงเสวี่ย เจ้าชอบรึเปล่า?”
“เย่ หนิงเสวี่ย...” นางพูดตามด้วยเสียงเบาจากนั้นพยักหน้าจริงจัง “ข้าชอบชื่อนี้มาก เพราะว่าพี่ชายเป็นคนตั้งชื่อนี้ให้กับข้า”
นางไม่เคยได้นอนหลับอย่างสงบสุขเช่นคืนนี้มาก่อน ไร้ความยากลำบาก ไร้ซึ่งความเหน็บหนาว ไม่ต้องผวาหวาดกลัว เนื่องจากมีใครคนหนึ่งที่สามารถปกป้องนางได้ – พี่ชายของนาง
เย่หวูเฉินไม่กล้าขยับร่างจนกระทั่งนางหลับไป ในที่สุดเขาถอนหายใจและมองไปยังท้องฟ้าด้วยดวงตาน่าหลงใหล มองจนกระทั่งจมจ่อมลงสู่ห้วงแห่งนิทรา
ข้าคือใคร...
เช้าวันถัดมา เมื่อเย่หวูเฉินลืมตาตื่นขึ้น ก็เห็นเย่หนิงเสวี่ยขดตัวเป็นลูกแมวอยู่ในอ้อมอกเขาและกำลังนอนหลับอุตุ เย่หวูเฉินได้แต่ยิ้มและนอนต่ออยู่บนเตียง เขายังคงไม่ขยับตัวเพื่อจะได้ไม่ปลุกนางตื่นและคอยฟังเสียงต่างๆจากข้างนอก กลางวันช่างมีเสียงจอแจกว่ายามกลางคืน คงถึงเวลาอาหารเช้าแล้วเสียงเลยดังไม่หยุด จากที่คุยกับฉู่จิงเทียนเมื่อวาน เย่หวูเฉินถึงรู้ว่า ที่นี่มีอยู่หลายร้อยคนจากตลอดหลายปีที่มีคนเข้ามาติดอยู่ พวกเขากระจายกันอาศัยอยู่ตามพื้นที่ต่างๆและแทบไม่ติดต่อกัน มีอยู่ราว 30 คนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ในพื้นที่ที่ฉู่จิงเทียนอาศัย ตามปกติทั้ง 30 คนมักจะนั่งลงและรับประทานอาหารร่วมกัน
ตื่นเนื่องจากเสียงจอแจ หนิงเสวี่ยค่อยๆลืมตาขึ้น นางต้องตระหนกเมื่อสบเข้ากับสายตาขี้เล่นของเย่หวูเฉิน นางยิ้มและขดตัวเข้าหาอกเขา จากนั้นหลับตาลงอีกครั้งอย่างผ่อนคลาย
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 283
แสดงความคิดเห็น