STARCIN ภาคที่ 9 Black Purge ตอนที่ 15 ปิ่นโต
ทั้งสนามรบกำลังตกอยู่ในความวุ่นวายเพราะการลอบจู่โจมของสำนักมนตร์ดำ เครื่องยิงหินก็ได้รับความเสียหายจึงต้องซ่อมแซม แนวหน้าก็ยังต้องรับมือกับกองกำลังศิษย์สำนักมนตร์ดำ ต่อให้เห็นเพื่อนพ้องล้มตายตรงหน้าแต่ก็ไม่มีเวลาให้เสียใจเพราะสงครามยังไม่จบ
“เอลโฟเรียอีกแล้ว เพราะพวกมันนั่นแหละเราถึงต้องมาลำบากตรากตรำแบบนี้”
“นั่นสิ ! ทำไมพวกผู้นำต้องทำตามที่มันสั่งด้วยวะ มันก็แค่คนอพยพที่พึ่งมาอยู่ได้ไม่ถึงสองปีด้วยซ้ำ”
ท่ามกลางแรงกดดันจากคมมีดของศัตรูมันยิ่งทำให้ทหารอมนุษย์จิตตก เสียงอาวุธกระทบกันเมื่อปะทะทำให้หัวปวดทุกครั้งราวกับกำลังถูกค้อนทุบ เสียงหัวหน้าตะโกนให้สัญญาณยิงเวทมนตร์ดังยิ่งกว่าเสียงไหน ๆ ที่เคยได้ยิน สายตาที่เคยเงยมองเมฆฝนว่าจะตกเมื่อไรกลับกลายเป็นระเบิดและห่าเวทมนตร์แทน
“มันมาอีกแล้ว !” เสียงจากหัวหน้าหน่วยตะโกนสั่งทำให้ทั้งหน่วยรบเงยมองจ้องไปที่ระเบิดและห่าฝนเวทมนตร์เหล่านั้น
“เวรเอ๊ย ! ทำตามที่ฝึกกันไว้”
หนึ่งกลุ่มจะทำการสอยระเบิดไม่ให้มันตกลงมาที่แนวรบ ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งจะรอจังหวะป้องกันเวทมนตร์นานาชนิดที่พุ่งมา เนื่องจากการใช้โล่ป้องกันขนาดใหญ่จะทำให้เสียมานาจำนวนมาก
แต่สุดท้ายก็มีระเบิดควันลงมาถึงแนวรบทำให้วิสัยทัศน์หายไปจุดหนึ่งและมันก็กลายเป็นปัญหาลูกโซ่ที่ทำให้ทหารอมนุษย์ตอบโต้กลับไม่ได้ พอระเบิดระลอกใหม่ขว้างเข้ามาก็เลยมีระเบิดหลุดลอดเข้ามาอีกจนต้องละทิ้งแนวรบเพื่อกลับไปตั้งหลักข้างหลังแทน
“ถอยกลับไปแนวรบที่ห้าแล้ว”
“หัวหน้า ! ฝั่งซ้ายกับฝั่งขวากำลังวุ่นวาย”
“ช่างมันสิวะถ้ามัวแต่โอ้เอ้เดี๋ยวพวกมันก็ทะลวงเข้ามาได้หรอก...” พูดไม่ทันขาดคำหัวของหัวหน้ากลุ่มก็โดนสะบั้นขาดเสียแล้ว
“ถอยไม่ทันแล้วจัดการพวกมันซะ !” พวกเขาต้องเปลี่ยนจากกลยุทธ์ตั้งรับเป็นการปะทะตรง ๆ ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายกับทั้งสองฝั่งเป็นอย่างมาก
ขณะเดียวกันอุอะก็ยังไล่ล่าหมายเลขหกต่อไปปล่อยให้พรรคพวกของตนรับมือกับศิษย์สำนักมนตร์ดำเอง
“ไม่ใช่สัตว์อสูรธรรมดาสินะ” อุอะลุกจากพื้นทันทีเพื่อหลบกรงเล็บของหมียักษ์สูงห้าเมตร แต่พอหลบไปได้ก็เจอกับกอริลลาที่แค่มือก็ใหญ่พอที่จะจับตัวอุอะได้แล้ว
“ลองสู้กับเด็ก ๆ ของฉันดูสิ ถ้ารอดมาได้ฉันอาจจะสารภาพรักก็ได้นะ” หมายเลขหกเว้นระยะห่างอยู่ด้านหลังพวกสัตว์อสูร น้ำเสียงยียวนยังคงดังกรอกหูอยู่เรื่อย ๆ เหมือนตั้งใจให้อุอะเสียสมาธิ
“พวกเราเชื่อในพลังของร่างกายมิใช่คำพูดสวยหรูที่เหมือนกำลังหยอกล้อแบบนั้น ถ้าหากบนโลกนี้มีเพียงแค่เธอที่จะสืบพันธุ์ได้ฉันก็จะปล่อยให้เผ่าพันธุ์มันล่มสลายไปเสียเลย”
หมายเลขหกหัวเราะจนน้ำตาไหล “พวกอมนุษย์ก็พูดมากเหมือนกันนี่ แต่ถ้าฉันเป็นนายฉันจะเก็บแรงไว้ดีกว่า...” พูดไม่ทันขาดคำหมียักษ์ก็โดนหมัดของอุอะซัดกระเด็นข้ามหัวหมายเลขหกไปแล้ว
“ยังไม่พอ ถ้าอยากล้มฉันจริง ๆ ก็ต้องใช้ตัวที่แข็งแกร่งกว่านี้ แค่ตัวใหญ่แต่ใช้ร่างกายของตนเองไม่เป็นมันก็เป็นแค่หุ่นซ้อมเท่านั้นแหละ”
เขาใช้สองมือต้านแรงจากกอริลลาไว้ทั้ง ๆ ที่ขนาดตัวต่างกันเป็นเท่าตัว แต่ขณะที่อุอะโดนดันถอยไปเรื่อย ๆ เขาก็ได้ใช้เท้ายันต้นไม้เพื่อกระโดดข้ามหัวกอริลลา จากนั้นก็หมุนตัวบิดมือให้พันกันจนแรงบีบหายไป
“ฉันไม่รู้หรอกว่าพวกแกทำอะไรกับสัตว์อสูรแต่พวกมันเคลื่อนไหวได้ช้ากว่าแบบปกติที่เคยเจออีก” เขากระโดดถีบขาคู่ใส่หน้าของกอริลลาในขณะที่มือยังจับแขนของมันไว้
“มือใหญ่เทอะทะทำให้กะระยะการจับได้ไม่แม่นยำและส่วนสำคัญก็คือแรงบีบที่ไม่ต่างอะไรกับแบบปกติเลยด้วยซ้ำ” อุอะหมุนตัวหักแขนของกอริลลาตัวนั้น จากนั้นเขาก็กระหน่ำชกจนตายคามือ
“ไปตายสักทีเถอะ” หมายเลขหกสั่งให้สัตว์อสูรตัวอื่นถาโถมใส่อุอะ
แม้อุอะจะแข็งแกร่งกว่าในทุก ๆ ด้านแต่จำนวนของสัตว์มีมากกว่า ความเสียเปรียบที่ทำให้แรงค่อย ๆ หดหายบวกกับพื้นที่การเคลื่อนไหวที่แคบลงเพราะโดนล้อมทำให้เขาต้องฝืนทำอะไรเสี่ยง ๆ อย่างการปีนขึ้นต้นไม้แล้วกระโดดลงมาเพื่อเพิ่มแรงปะทะและออกจากวงล้อมในเวลาเดียวกัน
ผ่านไปสิบนาทีในที่สุดอุอะก็กำจัดสัตว์อสูรจนหมดและจ้องมองไปที่หมายเลขหกต่อ
“เก่งจริง ๆ เล่นเอาฉันตัวสั่นไปหมดเลยล่ะ” พอพูดจบเธอจึงเริ่มวิ่งหนีต่อทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้มีเวลาหนีตั้งมากมาย
ไม่อยากเชื่อเลยว่าเราต้องใช้มันจริง ๆ ไม่ทันไรอุอะก็ตามมาทันสร้างความหวาดกลัวให้กับหมายเลขหกไม่น้อย
“ไม่คิดจะเหนื่อยบ้างเลยเหรอ !”
“เอาไว้เหนื่อยทีเดียวหลังจากจัดการแกได้ก็แล้วกัน” อุอะวิ่งตามมาติด ๆ และเตรียมง้างหมัดชกแต่หมายเลขหกกลับหายวับไปกับตา
“ตอนแรกก็ไม่อยากใช้หรอกแต่คิดซะว่าเป็นการทดสอบก็แล้วกัน” มีสัตว์อสูรแมงมุมใช้ใยดึงตัวหมายเลขหกไว้และขณะเดียวกันก็มีสัตว์อสูรอีกตัวโผล่มาไม่ให้สุ่มไม่ให้เสียงแล้วหมุนตัวเตะอุอะกระเด็นไปเลย
“ทักทายเด็ก ๆ ของฉันหน่อยสิ เจ้าแมงมุมชื่อปีเตอร์ส่วนเจ้านั่นชื่อปีแอร์ เป็นเด็ก ๆ ที่ฉันชุบเลี้ยงมาอย่างดีเลยนะ”
“ทักทายกับผีน่ะสิ” อุอะลุกขึ้นมาอีกครั้งด้วยสภาพร่างกายที่พร้อมล้มลงได้ทุกเมื่อ บาดแผลและความเหนื่อยล้าจากศึกยืดเยื้ออาจทำให้เขาพ่ายแพ้และจบชีวิตลงตรงนี้เลยก็ได้
“ตามใจ จัดการมันเลยปีเตอร์ปีแอร์”
สัตว์อสูรรูปลักษณ์คล้ายคลึงกับมนุษย์กระโจนเข้าใส่ก่อน อุอะจึงยกแขนขึ้นมากันกรงเล็บของมันและอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายทุ่มแรงมาด้านหน้าเตะสกัดขาให้เสียสมดุล
ต้องซัดให้โดนเต็ม ๆ จะได้ไปจัดการไอ้ขี้ขลาดสักที
ก่อนที่หมัดของเขาจะได้เข้าที่หน้าของสัตว์อสูร มันก็ดันมีใยแมงมุมดึงแขนอุอะไว้ก่อนจะลากขึ้นไปบนต้นไม้ที่มีใยโยงไปทั่วเหมือนรัง
“อย่ามาดูถูกกันนะเว้ย !” อุอะฉีกใยด้วยสองมือแต่ปัญหาจริง ๆ ก็คือความเร็วในการยิงใยของสัตว์อสูรต่างหาก พอฉีกไปหนึ่งเส้นก็จะมาเพิ่มเรื่อย ๆ หากเขายังไม่สลัดให้พ้นสายตาของพวกมัน
เขาค่อย ๆ ถูกแมงมุมลากขึ้นไปที่รังโดยที่มันกำลังอ้าปากเตรียมกัดกิน แต่อุอะกลับแสยะยิ้มและเมื่อใกล้จะถึงปากของมันเขาก็ได้ออกแรงฉีกเส้นใยทั้งหมดในคราเดียว
แกก่อนเลยไอ้แมงมุม หมัดของเขาชกเข้าที่หัวแมงมุมทำให้มันถอยห่างและใช้ใยเป็นโล่ป้องกัน
“จะไปไหน !” อุอะใช้ใยของแมงมุมโหนไปมาบางครั้งก็เกาะกิ่งไม้เพื่อไล่ล่าแมงมุมตัวนั้นแต่สัตว์อสูรอีกตัวกลับตามมาทัน
ด้วยสรีระร่างกายที่ก้ำกึ่งระหว่างคนและมนุษย์หมาป่าทำให้มันรวดเร็วราวกับเป็นคิคิอีกคนเลยก็ว่าได้ แต่ถึงกระนั้นอุอะก็ยังใช้ใยแมงมุมทำเป็นอาวุธห่อหุ้มมือเพื่อลดแรงปะทะได้
“แกมันไม่ใช่สัตว์อสูรสินะ” อุอะชกสวนกับกรงเล็บและเอาชนะมาได้ด้วยพละกำลังที่เหนือกว่า หลังจากทำลายกรงเล็บที่เปรียบเสมือนอาวุธของมันได้สำเร็จเขาก็เลยรัวหมัดไม่ต้องยั้งมืออีกต่อไป
“รู้แล้วเหรอ?” หมายเลขหกที่เฝ้ามองอยู่ไม่ไกลใช้เวทมนตร์รักษารวมถึงเสริมกำลังและเวทมนตร์สนับสนุนทุกอย่างให้กับสัตว์เลี้ยงทั้งสองตัว
“ให้ตายสิวะ” บาดแผลที่อุอะได้สร้างไว้กลับหายดีเหลือไว้แค่รอยแผลเท่านั้นแถมยังเพิ่มพละกำลังขึ้นไปอีกขึ้นซึ่งมากพอที่จะต้านแรงหมัดของเขาได้
ก่อนหน้านี้ที่โดมสีขาวที่เฮร่าสร้างขึ้นมา ผู้ตรวจการทั้งสองไล่ต้อนเธอจนถึงขีดสุดทำเอาเกือบตายเลยด้วยซ้ำแต่ก็ยังถอยไปตั้งหลักได้ทัน
ไม่คิดว่าจะได้ใช้มันอีกครั้งเลย
“ข้ามีนามว่าเฮร่า ข้าคือผู้ที่จะชี้นำเหล่าลูกแกะตัวน้อยให้เดินในทางที่ถูก ข้าจักเป็นสักขีพยานให้แก่ผู้ทำบาปและเป็นผู้ยินดีแก่คนที่กลับตัว ข้าขอเปิดพิธีสารภาพบาปนับแต่นี้เป็นต้นไป” ผู้ตรวจการที่อยู่ด้านล่างถูกมานาห่อหุ้มเป็นห้องเล็ก ๆ แล้วก็มีเสาสีขาวดันพวกเขาขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกับเฮร่า
“นี่มันเวทมนตร์อะไรเนี่ย? ทำไมขัดขืนไม่ได้” ผู้ตรวจการใช้ดาบฟาดฟันไปทั่วแต่ก็ไม่อาจทำลายโล่มานาเหล่านั้นได้เลย
“ดูเหมือนเราจะซวยกันจริง ๆ แล้วนะ” หญิงสูงวัยนั่งผ่อนคลายหลังจากเห็นผู้ตรวจการพยายามเต็มที่แล้วแต่ก็ยังไม่ได้ผล
“จงสดับรับฟังเหล่าลูกแกะตัวน้อย แม้อายุขัยใกล้จะหมดลงแต่ก็ยังกระทำบาปกรรมไว้ไม่หยุดหย่อน แต่หากตอนนี้พวกเจ้าสารภาพและสำนึกผิดต่อสิ่งที่ทำ ข้าจะยอมให้อภัยและลงโทษตามประสงค์ขององค์เทพ”
“พูดอะไรไร้สาระ !” ทันใดนั้นผู้ตรวจการก็ต้องร้องอวดครวญเหมือนกำลังถูกบางสิ่งบดขยี้จากภายในแต่ไม่นานนักมันก็กลับมาเป็นปกติ
“เหล่าลูกแกะตัวน้อยจะไม่สามารถออกไปจากที่นี้ได้จนกว่าจะสารภาพบาปของตนเอง หากทำตามและสำนึกผิดจริง ๆ จะไม่มีใครต้องตายในที่แห่งนี้”
“เอาจริงดิ?” ผู้ตรวจการหันมองหญิงสูงวัยเหมือนบอกเป็นนัยว่าให้พูดอะไรสักอย่างสิ
“ก็แค่สารภาพบาป ฉันเคยฆ่าคนมาเยอะมาก ๆ อาจจะเป็นพันคนเลยก็ได้...” พูดไม่ทันขาดคำเธอก็ต้องลงไปนอนดิ้นเพราะโดนบีบอัดจากภายใน
“แบบนั้นมิใช่คำสารภาพ หากการพูดรวมว่าตนเองเคยพรากชีวิตผู้อื่นคือคำสารภาพ การพูดว่าตนเองเคยโกหกแต่ไม่รู้ว่าโกหกเรื่องอะไรบ้างนั้นก็คงไม่ต่างกัน พวกเจ้ายังจำคนแรกที่ตนเองพรากชีวิตได้หรือไม่? พวกเจ้าจำคนสุดท้ายที่พรากชีวิตไปหรือไม่? และพวกเจ้ารู้สึกอย่างไรเวลาที่ได้พรากชีวิตผู้อื่น”
ผู้ตรวจการถอนหายใจก่อนจะนั่งเงียบ ๆ เพื่อนึกหวนคืนสู่ความขมขื่นในจิตใจ “ฉันชื่อเซรอน คนแรกที่ฉันฆ่าก็คือรุ่นน้องที่ฝึกซ้อมด้วยกัน ตอนนั้นพวกเราลองใช้อาวุธจริงในการฝึกแต่ก็ดันพลาดจึงเป็นจุดจบของชีวิตของรุ่นน้องคนนั้น จนตอนนี้ฉันก็ลืมชื่อของเขาไปแล้วเหมือนกัน” ทันใดนั้นโล่มานาก็คลายออกหนึ่งชั้นทำให้ผู้ตรวจการทั้งสองรู้ว่ามันได้ผล
“ฉันชื่อบาย่า คนแรกที่ฉันได้ลงมือสังหารก็คือพ่อของตนเอง เขาเป็นคนชั่วช้าที่ทำร้ายคุณแม่ทุกวันจนตอนนี้ก็ยังจำภาพเหล่านั้นได้ขึ้นใจ แต่แทนที่เราจะได้ใช้ชีวิตอิสระกลับกลายเป็นหายนะลูกใหม่แทน พวกเพื่อน ๆ ของพ่อพากันมาแก้แค้นโดยการซ้อมคุณแม่จนถึงตาย ฉันก็เลยคว้ามีดทำครัวไล่แทงพวกมันแต่เพียงแค่หมัดเดียวมันก็ทำให้ฉันขยับไม่ไหวแล้ว และตอนนั้นท่านเจ้าสำนักก็มาเจอฉันแล้วช่วยให้รอดพ้นจากความตายมาได้” โล่มานาคลายออกอีกหนึ่งชั้น
“การกระทำผิดครั้งแรกมักเกิดจากโทสะหรือความไม่รู้ พระองค์เข้าใจถึงเจตนาที่ต้องการช่วยผู้เป็นแม่ให้รอดพ้นจากปีศาจร้าย พระองค์เข้าใจถึงความไร้เจตนาที่ได้สังหารรุ่นน้องไป แต่หากมีแค่นั้นพวกเจ้าก็คงไม่ได้มาถึงจุดนี้ เพราะฉะนั้นจงบอกคนล่าสุดที่พวกเจ้าได้พรากชีวิตมาเสีย”
ทั้งสองคนเงียบกริบได้แต่ก้มหน้ามองพื้นไปพลางระหว่างที่คิดจนหัวแทบระเบิด
“ฉันจำไม่ได้” เซรอนกล่าว
“ฉัน...ก็เหมือนกัน” บาย่ากล่าวต่อ
“จงรีดความทรงจำของตนเองออกมาเสีย จงเข้าใจถึงสิ่งที่ตนเองกระทำและสำนึกกับมัน แต่หากไม่ข้าจักขอให้องค์เทพมอบบทลงโทษสำหรับสิ่งที่พวกเจ้าลืมไป”
“รู้แล้วน่า !” บาย่าตอบกลับเสียงดังเพราะหงุดหงิดที่นึกเท่าไรก็นึกหน้าคนล่าสุดที่ลงมือสังหารไม่ออก
ทุกหนึ่งนาทีที่นิ่งเงียบจะถูกการลงทัณฑ์ด้วยการบีบอัดจากภายในทำให้รู้สึกทรมานเหมือนท้องจะแตกแต่สักพักก็จะกลับมาเป็นปกติ
“พวกเจ้าจักยอมรับหรือไม่ว่าตนเองเองมิอาจจดจำคนล่าสุดที่ได้พรากชีวิตไปได้”
ผู้ตรวจการทั้งสองก้มหน้ายอมรับชะตากรรม พอได้นึกถึงผู้คนที่เคยสังหารไปมากเท่าไรพวกเขาก็ยิ่งรู้สึกสับสนในใจมากเท่านั้น ตลอดเวลาการทำงานหลายสิบปีพวกเขาได้ชินชากับการสังหารผู้อื่นจนลืมนึกไปว่าความรู้สึกแรกที่ได้สังหารคนมันเป็นอย่างไร
“แม้จะไม่สามารถจดจำคนล่าสุดที่ตนเองได้พรากชีวิตไปได้แต่พวกเจ้าสามารถสารภาพบาปส่วนอื่นต่อได้ เคยทำร้ายใครด้วยวาจาหรือไม่? เคยลักขโมยของของคนอื่นหรือไม่? เคยทำร้ายร่างกายคนอื่นหรือไม่? หรือเคยผิดลูกผิดเมียผู้อื่นหรือไม่?”
“ฉัน...” เซรอนทำท่าเหมือนจะพูดแต่ก็เงียบไปเสียก่อน
“ฉันเคยขโมยอาหารของเพื่อนร่วมรุ่น ตอนนั้นฉันพึ่งโดนทำโทษโดยการให้อดอาหารและพอได้เห็นอาหารของเพื่อน ๆ ก็เลยควบคุมตัวเองไม่ได้” บาย่าเริ่มสารภาพทุกสิ่งเท่าที่จำได้
“ฉันเคยเป็นครูฝึกและเคยรับน้องพวกรุ่นน้องจนมีคนแขนหัก” เซรอนกล่าวต่อ
ทั้งสองนั่งสารภาพบาปที่เคยทำมาทั้งหมด พอจำเรื่องไหนได้ก็จะสารภาพมันออกมาทันทีซึ่งกินเวลานานเป็นชั่วโมง
“ข้าพึงพอใจความพยายามของพวกเจ้ามาก แต่ถึงจะสำนึกแล้วแต่พวกเจ้าก็ยังต้องได้รับบทลงโทษอยู่ดี โดยบทลงโทษที่พวกเจ้าจะได้รับมีดังนี้ หนึ่งพวกเจ้าต้องช่วยชีวิตผู้คนให้มากกว่าจำนวนที่พวกเจ้าเคยพรากชีวิตไป สองพวกเจ้าจักต้องหยุดการพรากชีวิตผู้คนเสียตั้งแต่ตอนนี้”
โล่มานาที่กักขังผู้ตรวจการไว้สลายหายไปและเสาสีขาวก็พาพวกเขากลับลงไปที่พื้นเหมือนเดิมเช่นเดียวกับเฮร่าที่กลับมาอยู่บนพื้นพร้อมกับร่างกายที่รักษาจนหายดีแล้ว
“ได้สารภาพออกมาแล้วรู้สึกอย่างไรบ้างเล่า?” ขณะที่โดมสีขาวค่อย ๆ สลายไป เฮร่าก็ได้เดินเข้าหาสองผู้ตรวจการเพื่อดูท่าทีว่ายังสำนึกผิดอยู่หรือไม่
“เหอะ เป็นเวทมนตร์ที่ขี้โกงเหมือนกันนะแต่เงื่อนไขก็คือไม่ฆ่าใครอีกเพราะฉะนั้นฉันยังจับเธอเป็น ๆ ได้อยู่” เซรอนชักดาบออกมาพร้อมสู้อีกครั้ง
“ไม่เป็นไปเพราะโดอูมูข้าใช้เพื่อถ่วงเวลาเฉย ๆ [ความสงสัยขององค์เทพ - นักรบศักดิ์สิทธิ์วอลคี]” เธอกลับมาใช้ร่างนักรบได้อีกครั้ง
“ต้องขอบคุณขนมแท่งของยูกิที่เตรียมไว้ให้เลย ทั้งมานาและพละกำลังเพิ่มขึ้นเยอะเหมือนพึ่งตื่นนอนด้วยซ้ำ” เฮร่ากลับมาแข็งแรงอีกครั้งเหมือนไม่เคยได้รับบาดแผลใด ๆ ทั้งสิ้นทำให้เซรอนตกใจระแวงไม่กล้าเปิดก่อน
คนบ้าอะไรฟื้นฟูมานาได้ขนาดนั้น ขนาดเรายังฟื้นฟูมานาได้ไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำแต่เธอกลับฟื้นฟูเกือบเต็มเลย
“ต้องสู้แบบห้ามฆ่าเนี่ยนะ ไม่ค่อยสมกับเป็นเราเท่าไรแต่ก็ทำอะไรไม่ได้” บาย่าสูดหายใจเตรียมหยิบมีดอีกครั้งเพื่อเผชิญหน้ากับเฮร่าที่มานาพร้อมกว่า
ขณะเดียวกันคิคิที่ไล่ล่าหมายเลขเก้าจนมานาจะหมดทั้งคู่จึงเว้นระยะห่างเพื่อฟื้นฟูมานาแทน
“ถึงจะไม่ชอบขนมแต่ก็เลือกไม่ได้” คิคิกินขนมแท่งของยูกิทำให้ร่างกายกลับมากระปรี้กระเปร่าพร้อมกับมานาอันท่วมท้นอีกครั้ง
คิคิเริ่มไล่ล่าต่อโดยไม่ให้โอกาสหมายเลขเก้าฟื้นฟูมานาเลยสักนาทีเดียว ต่อให้ใช้ลูกไม้กับระเบิดเหมือนเดิมแต่ก็อาจจะเสี่ยงหมดสติเพราะมานาหมดจึงทำได้แค่หนีเท่านั้น แต่ความรวดเร็วของคิคิก็เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัดจึงไล่ตามทัน
“ทำไมจู่ ๆ แกก็กลับมามีแรงอีกครั้งวะ” หมายเลขเก้าสวนกลับด้วยเคียวโซ่กลายเป็นการประชันฝีมือแทนที่จะหนีเหมือนทุกที
“ขอโทษแล้วกันที่อบรมก่อนมาเจอกับพวกแก” ด้วยมานามากมายทำให้คิคิใช้กรงเล็บฟาดฟันเคียวโซ่แตกหักได้ในไม่กี่ที จากนั้นก็ลงมือสังหารด้วยการกัดคอและกระชากออกมา
อีกด้านหนึ่งอุอะที่โดนไล่ต้อนจากการเสริมพลังของหมายเลขหกทำให้ต้องหนีหัวซุกหัวซุนแทน
“โชคดีนะที่อบรมมาก่อน ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจแต่ถ้ากินเจ้านี่ตอนที่อีกฝ่ายมานาน้อยเราจะชนะได้” ระหว่างที่วิ่งหนีอุอะได้กินขนมแท่งของยูกิเช่นกันทำให้พละกำลังและมานากลับมาอีกครั้ง
มานาและพละกำลังที่เขาต้องใช้ฝ่าฟันกองทัพสัตว์อสูรได้ฟื้นฟูกลับมาพร้อมกับความคึกคะนอง เขาพุ่งเข้าใส่แทนที่จะหนีและออกหมัดวัดพลังกับกรงเล็บมนุษย์หมาป่า เป็นจังหวะเดียวกับที่หมายเลขหกใช้มานาไปจำนวนมากจึงทำได้แค่รอให้ฟื้นฟูกลับมาอีกครั้งก่อน
“ไม่มีเวลาให้หนีหรอกไอ้ขี้ขลาด” อุอะฝ่าสัตว์อสูรทั้งสองมาได้และออกหมัดชกเข้าที่หน้าของหมายเลขหกกระเด็นไปกองกับพื้นทันที
หลังจากเห็นหมายเลขหกนอนนิ่งไปแล้วเขาจึงหันไปเล่นงานสัตว์อสูรอีกสองตัวเพื่อปิดฉากการไล่ล่าในครั้งนี้เสียที
เมื่อกำจัดหน่วยลอบสังหารสำเร็จก็เหลือเพียงแค่กำลังหลักที่กำลังตะลุมบอนกันวุ่นวายทำทุกอย่างเพื่อคร่าชีวิตอีกฝ่ายให้มากที่สุด แต่พอฝั่งพันธมิตรกลับมาตั้งหลักได้ทำให้สำนักมนตร์ดำค่อย ๆ โดนกวาดล้างไปทีละจุด สมาชิกหลายพันคนกลับเหลือแค่หนึ่งร้อยคนสุดท้ายซึ่งก็มีบางคนหลบหนี บางคนก็สู้จนตัวตาย บางคนก็ยอมจำนน
“พวกเรา...ชนะแล้ว !” เสียงประกาศชัยชนะดังก้องกังวานไปทั่วสนามรบเฉกเช่นเดียวกับเสียงโห่ร้องจากทหารฝั่งพันธมิตรที่มีทั้งสุขใจและโศกเศร้า เมื่อสถานการณ์คลี่คลายพวกเขาจึงสังเกตเห็นกองเลือดและศพจำนวนมากได้ละเลงป้ายไปทั่วสนามรบ
แม้จะอยากพักผ่อนเพียงใดแต่การได้พาเพื่อนร่วมรบกลับคืนสู่อ้อมอกของครอบครัวต้องมาก่อน พวกเขาช่วยกันเก็บศพฝั่งพันธมิตรแยกไปตามเผ่าพันธุ์ของตนเองเพื่อความง่ายในการระบุตัวตน
ส่วนที่เต็นท์ประชุมได้มีการรวมตัวผู้นำของแต่ละเผ่า
“ทุกคนทำได้ดีมาก พวกเราสามารถต่อกรกับสำนักมนตร์ดำได้ด้วยกำลังของเราเอง นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเราไม่ได้น้อยหน้าอาณาจักรอื่นเลยแม้แต่น้อย” วาเลี่ยมกล่าว
“เหอะ ถ้าไม่ได้ขนมแท่งฉันคงโดนเล่นงานไปแล้ว” คิคิเดาะลิ้นหงุดหงิดที่พลังของตนเองไม่สามารถชนะศัตรูได้จนต้องพึ่งพาคนอื่นอยู่ดี
“ฉันก็ด้วย” อุอะกล่าวต่อทันที
“อืม แล้วเรา...” จู่ ๆ เฮร่าก็ลากตัวผู้ตรวจการทั้งสองเข้ามาที่เต็นท์เล่นเอาตกใจกันถ้วนหน้า
“ข้าดีใจจริง ๆ ที่เราชนะได้” เฮร่าวางผู้ตรวจที่โดนมัดและล็อกด้วยโซ่ต้านเวทมนตร์ไว้ข้าง ๆ โดยที่สภาพของพวกเขาเต็มไปด้วยบาดแผลเล็กใหญ่รวมถึงโดนหักแขนหักขาเพื่อความแน่ใจอีกด้วย
“สองคนนี้อย่าบอกนะว่าเป็นผู้บริหาร” วาเลี่ยมเอ่ยถามต่อหลังจากพยายามตรวจสอบร่างกาย
“ไม่น่าใช่ เหมือนจะเรียกกันว่าผู้ตรวจการ”
“แล้วเราจะเก็บมันไว้ทำไม ฆ่าทิ้งซะเลยสิ” คิคิยิ้มกว้างตั้งใจจะใช้พวกเขาเป็นที่ระบายอารมณ์แต่เฮร่ากลับเอาตัวเข้ามาขวางไว้ก่อน
“ทั้งสองมีข้อมูลที่จำเป็นอยู่เพราะพวกเขามีลำดับชั้นสูงที่สุดที่เราเคยจับตัวได้แล้ว เพราะฉะนั้นเราจะเริ่มการสอบสวนทันที”
ผู้ตรวจการถูกปลุกให้ตื่นโดยมีเหล่าผู้นำนั่งรายล้อมรอดูการสอบสวนอย่างใกล้ชิด
“คำถามแรกก็คือเป้าหมายของภารกิจนี้คืออะไร?” เฮร่าทำหน้าที่เป็นผู้สอบสวนซึ่งคำถามทั้งหลายก็ได้รับคำสั่งมาจากซึฮากิอีกที
“ภารกิจของเราก็คือให้ไปรวมตัวกันที่เอลโฟเรียเพื่อกวาดล้างซึฮากิและพันธมิตรให้สิ้นซาก”
“เฮ้ย ! ตาแก่ เล่นพูดออกไปไม่คิดหน้าคิดหลังเลยเหรอวะ?” บาย่าตะคอกใส่เสียงดังแต่เซรอนกลับก้มมองพื้นไม่กล้าสู้หน้า
“พอเถอะบาย่า ยุคของเรามันจบไปแล้ว เรื่องบทลงโทษที่บอกว่าให้ช่วยชีวิตมากกว่าที่เคยฆ่าไปจะมีผลกับการบอกแผนการและช่วยเหลืออ้อม ๆ หรือเปล่า?”
“ถ้าหากคำให้การเหล่านั้นมีผลต่อชีวิตจริง ๆ ข้าจักถือว่าเป็นการช่วยชีวิตผู้อื่นเช่นกัน”
“งั้นก็ดีแล้ว...อยากรู้อะไรอีกล่ะ?”
เฮร่าเปิดเอกสารที่ไว้จดคำถามทั้งหมดแล้วค่อย ๆ ไล่ทีละคำถาม
“ผู้ตรวจการทั้งหมดมีกี่คน? ทำหน้าที่อะไรบ้าง?”
“มีสี่คนประจำการอยู่ที่อาณาจักรเซีย อาณาจักรโรป อาณาจักรนอดและอาณาจักรไอร์ หน้าที่หลัก ๆ ก็คือตรวจสอบลำดับขั้นของศิษย์และแจกจ่ายภารกิจ”
“แล้วผู้บริหารมีกี่คน? มีใครบ้าง? แล้วมีความสามารถอะไร?”
“คำตอบนี้อาจจะยาวหน่อยนะ” เซรอนถอนหายใจดูสบายอกสบายใจเหมือนมานั่งคุยกันเล่น ๆ สุดท้ายการสอบสวนของเฮร่ายังคงดำเนินต่อไปยาวนานเป็นชั่วโมง
แม้ที่ชายแดนอาณาจักรอาฟจะได้รับชัยชนะแต่ที่เอลโฟเรียกลับไม่เป็นเช่นนั้น ด้วยการบุกแบบสายฟ้าแลบของเหล่าผู้บริหารทำให้กองกำลังฝ่ายเอลโฟเรียเสียเปรียบในทันที
“ทุกหน่วยเน้นไปที่การตั้งรับจนกว่ากำลังเสริมจะมา” เมื่อซึฮากิไม่อยู่โคก็จะเป็นผู้สั่งการหลักแม้จะมีเหล่าร่างโคลนของซึฮากิอยู่ก็ตาม
“แย่แล้วครับ ! พวกมันมีมาเพิ่มอีกเยอะเลยครับ”
เรือเหาะที่เป็นตัวการหลักได้หนีหายไปทันทีที่ส่งพวกสำนักมนตร์ดำลงมา แค่ผู้บริหารก็แย่แล้วแต่ยังมีเหล่ามือขวาและศิษย์ระดับสองหลักมาเพิ่มอีกหลายสิบคน ทำให้พวกโคกลายเป็นเป้านิ่งให้พวกสำนักมนตร์ดำเจาะทะลวงเข้ามาเรื่อย ๆ
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 31
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น