STARCIN ภาคที่ 9 Black Purge ตอนที่ 9 เมิงนี้
พายุหิมะโหมกระหน่ำใส่ทั้งเมืองและหมู่บ้านจนไม่สามารถออกไปไหนได้ แต่ในเส้นทางที่เต็มไปความยากลำบากกลับมีกลุ่มคนวิ่งฝ่าพายุตรงไปยังอาณาจักรคา
“นี่เราต้องแบกยายนี่ไปตลอดทางเลยเหรอ?” หมายเลขเจ็ดเอ่ยถามขณะที่ต้องแบกวีด้าที่โดนจับมัดไปด้วย
“อยากปล่อยให้วิ่งเองก็ตามใจ แต่ถ้าเธอหนีขึ้นมานายก็จะมีความผิดโทษฐานปล่อยให้ผู้กระทำความผิดหลบหนี”
“โธ่...ฉันวิ่งไม่ถนัดน่ะสิ นี่ ! ยายเลขสามหลักวิ่งเองได้ไหม?” หมายเลขเจ็ดเขย่าตัววีด้าไม่หยุด
“เห็นขาไหม? คิดว่าพิการหรือไงถึงวิ่งเองไม่ได้” แม้จะอยู่ในสภาพถูกมัดนิ่งอย่างกับศพแต่ก็ยังปากดีใส่ไม่เลิก
“ปากอย่างนี้กลับไปต้องโดนลงโทษหนัก ๆ สักหน่อยแล้ว วิ่งตามมาเองนะเว้ยอย่าคิดหนี” สุดท้ายหมายเลขเจ็ดก็แก้มัดให้วีด้าเพราะแค่ขี้เกียจแบกไปด้วย
“รู้แล้วน่า ฉันไม่ได้อยากหนีตั้งแต่แรกแล้ว” ถ้าเกิดพวกนั้นปะทะกันเราอาจจะมีจังหวะพาน้อง ๆ หนีก็ได้ ก่อนอื่นก็ต้องเข้าไปอยู่ใกล้ ๆ จะได้วางแผนง่าย ๆ
ต่อให้จะมีอุปสรรคอย่างสัตว์อสูรไม่ก็พายุหิมะแต่พวกเขาเหล่าศิษย์สำนักมนตร์ดำก็ต้องกลับไปที่สาขาหลักให้ได้ ในขณะเดียวกันที่ฝั่งอาณาจักรเซียยังมีการส่งคนข้ามชายแดนมาเรื่อย ๆ ซึ่งมีโดนจับบ้างรอดไปบ้างแต่ก็ยังพยายามส่งคนไปสมทบกับสมาชิกที่เหลืออยู่ในอาณาจักรอาฟ
“เป็นสถานการณ์ที่วุ่นวายจริง ๆ เลย” เจ้าสำนักโยฮันนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้อย่างกับกำลังพักร้อน
“จะไม่ให้วุ่นวายได้ยังไงล่ะครับ ก็ตอนนี้เราอยู่ในภาวะสงครามกับเอลโฟเรีย ถ้าให้พูดตามตรงผมก็พึ่งเคยได้สัมผัสภาวะสงครามของสำนักมนตร์ดำเนี่ยแหละ คงเพราะปกติพวกเราทำงานแค่เบื้องหลังไม่ค่อยมีศัตรูที่กล้ายุ่งด้วยนัก” ราห์ยืนอยู่ข้าง ๆ เป็นเพื่อนคุยกับเจ้าสำนัก แม้โยฮันจะทำตัวสบาย ๆ เหมือนคุยกับเพื่อนแต่ราห์ก็ยังแสดงความเคารพนับถือเหมือนอาจารย์
“แล้วนายคิดว่าฝั่งไหนจะชนะล่ะ?” โยฮันยิ้มยียวนยิงคำถามใส่หวังได้คำตอบดี ๆ
“ก็ต้องฝั่งเราอยู่แล้วครับ ต่อให้ซึฮากิจะถูกประเมินความอันตรายไว้สูงแต่ฝั่งเราก็มีบุคลากรมากความสามารถไม่ต่างกัน แถมเรายังมีผู้ตรวจการกับผู้บริหารที่มีเลเวลแปดและเก้าทุกคน ซึฮากิที่อยู่เลเวลเจ็ดไม่มีทางต่อกรกับเราได้แน่นอนครับ”
“นายลืมอะไรไปหรือเปล่าราห์?”
“ครับ?” ราห์ตอบรับพร้อมกับขมวดคิ้วสงสัย
“กองกำลังที่ว่าน้อยของนายพึ่งจะเอาชนะกองทัพของจ้าวทะเลได้เชียวนะ แต่ตอนนี้กองกำลังพวกนั้นคงจะบาดเจ็บไม่ก็ล้มตายกันไปหลายคน...แต่โอกาสชนะก็ยังไม่แน่นอนอยู่ดี” โยฮันหูผึ่งพยายามฟังเสียงแปลก ๆ ที่อยู่ห่างออกไปถึงห้าร้อยเมตร
“กล้าใช่เล่นเลยนี่หวา” โยฮันยันตัวลุกขึ้นยืนและบิดตัวยืดเส้นยืดสาย
“มีอะไรเหรอครับ?” ราห์เอียงคอสงสัยมองไปข้างหน้าเหมือนกับโยฮันเผื่อจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ชายแก่หัวเราะในลำคอนึกสนุกเสียจนเหมือนคนเสียสติ “สงครามมันได้เริ่มไปแล้วยังไงล่ะ”
“หา? อย่าบอกนะว่าฝั่งมันเป็นฝ่ายบุกมาเอง”
“เข้าใจได้ไวดีนะราห์ เพราะฉะนั้นที่ประตูทิศตะวันตก…หมายเลขสามหลักหนึ่งร้อยคนกับหมายเลขสองหลักห้าสิบคน ส่งไปหามันซะ”
“เยอะขนาดนั้นเลยเหรอครับ? แสดงว่าพวกมันพากองกำลังอะไรนั่นมาด้วยสินะครับ”
“เปล่าหรอกก็แค่ไปรุมเจ้าซึฮากิคนเดียว” เขายิ้มเลศนัยและยิ่งนึกภาพของการฆ่าล้างกันก็ยิ่งรู้สึกสนุกจนทนหุบยิ้มไม่ได้
“ต้องใช้คนหนึ่งร้อยห้าสิบคนเลยเหรอครับ? นั่นมันศิษย์เกือบทั้งหมดที่สู้ได้ในสำนักเลยนะครับ ถ้าหากพวกมันตั้งใจล่อพวกเราออกไปเพื่อตลบหลังล่ะครับ?”
“ก็เป็นไปได้ ดังนั้นนายก็ไปจัดการเรื่องนั้นซะ” พอพูดจบเขาก็เดินกลับห้องพักของตนเองไป
ก่อนหน้านี้หนึ่งชั่วโมง ซึฮากิใช้เวลาหนึ่งวันเพื่อสำรวจเส้นทางและจำนวนกำลังพลของสำนักมนตร์ดำ เขาตระเวนไปทั่วท่ามกลางพวกที่ขึ้นชื่อว่าเป็นนักฆ่าที่เก่งด้านการลอบสังหารแต่ก็ยังไม่มีใครรู้ตัวว่าซึฮากิป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้เลย
อาณาเขตกว้างขวางก็จริงแต่ก็แยกการบริหารโดยมีสำนักมนตร์ดำเป็นเมืองหลัก ถ้าหากไม่ได้มีคำสั่งอะไรสำคัญพวกเขาก็เหมือนเมืองทั่ว ๆ ไป
“ได้ยินหรือยังว่าเจ้าสำนักโยฮันจะเรียกรวมกำลังพล” ชายหนุ่มที่ดูเหมือนชาวบ้านกล่าว
“ก็พอได้ยินมาบ้างถึงจะยังไม่ใช่คำสั่งก็เถอะ คราวนี้มันคงเกี่ยวข้องกับบุคคลเฝ้าระวังพิเศษนั่นแหละ ได้ข่าวว่าเจ้านั่นเอาชนะจ้าวทะเลและยึดครองน่านน้ำไปแล้วด้วย”
“ใช่ ๆ คงเพราะอย่างนั้นแหละถึงต้องรีบกำจัดซะ”
ถ้าหากไม่มีคำสั่งเรียกรวมพวกมันก็จะไม่ไปที่สำนักมนตร์ดำ ถ้าจะจัดการก็ต้องรวดเร็วก่อนที่พวกมันจะเรียกคนมาเพิ่ม
หลังจากสำรวจรวบรวมข้อมูลได้มากพอซึฮากิก็ตรงไปยังสำนักมนตร์ดำ ที่รอบนอกมียามเฝ้าระวังอยู่ทั่วทุกแห่งแต่ก็เป็นแค่พวกหางแถวที่จัดการได้ไม่ยาก
สามคนจากสองนาฬิการะยะห้าสิบเมตร สองคนจากสิบเอ็ดนาฬิกาหนึ่งร้อยเมตร ห้าคนจากสิบสองนาฬิการะยะสองร้อยเมตร
พวกเขาไม่รู้ตัวเลยว่ามีภัยคุกคามกำลังคืบคลานเข้ามา แม้แต่เหล่าผู้ชำนาญในการลอบสังหารและซ่อนตัวก็ยังไม่รู้ว่าซึฮากิมาอยู่ใกล้ ๆ แล้ว เขาไล่เชือดยามเฝ้าเมืองทีละกลุ่มด้วยความเงียบสงัดมีเพียงเสียงต้นไม้และใบไม้ปลิวไสวเท่านั้น
ใช้แค่เลเวลสี่เฝ้าเมืองแสดงว่าเมืองค่อนข้างปลอดภัยจนไม่กลัวอะไรเลย ก็คงไม่แปลกเพราะสำนักมนตร์ดำได้สร้างอิทธิพลและแผ่ขยายอำนาจออกไปมากจนสำนักอื่นทำอะไรไม่ได้
ซึฮากิใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงก็สามารถจัดการหน่วยเฝ้ายามไปได้ยี่สิบคนโดยที่อีกฝ่ายยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่ากำลังโดนเล่นงานอยู่ แต่เจ้าสำนักโยฮันกลับรับรู้ถึงการมาของซึฮากิได้และเริ่มออกคำสั่งทันที
“ทำไมท่านเจ้าสำนักถึงให้พวกเรามากันเยอะขนาดนี้ ไหนจะไอ้คำแนะนำแปลก ๆ อย่าง...ระวังพื้นกับบนฟ้าไว้ด้วย”
“โอ้โห่ ! พึ่งเคยรวมตัวกันใหญ่ขนาดนี้เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ย”
เหล่าศิษย์สำนักมนตร์ดำได้มารวมตัวกันที่หน้าประตูทิศตะวันตกและรอคำสั่งต่อไป
“จงฟัง ! บัดนี้พวกนายไม่ใช่แค่เงาที่ไร้ตัวตนอีกต่อไป ภารกิจในครั้งนี้ท่านเจ้าสำนักอนุญาตให้ทำได้ทุกอย่างเพื่อกำจัดเป้าหมาย”
เสียงร้องเฮดังลั่นดูสนุกสนานเกินกว่าจะเป็นภารกิจที่ต้องไปสังหารคน หลังจากที่ให้ดูรูปร่างหน้าตาของเป้าหมายเรียบร้อยทุกคนก็แยกย้ายกันไป บางคนก็รีบร้อนวิ่งหายไปคนแรก บางคนก็พยายามศึกษาข้อมูลที่มีอยู่น้อยนิด แต่ละคนมีวิธีการที่ถนัดแตกต่างกันซึ่งทำให้มีคนพุ่งเข้าสู่สนามรบหนึ่งร้อยสามสิบคนและส่วนที่เหลือกำลังรอจังหวะเข้าไปเสริมทัพ
“ไม่นึกเลยว่าเลขสามหลักจะฉลาดกว่าที่คิด ในขณะที่พวกสมองกลวงอยากได้ผลงานเลยมุทะลุบุกไปหาทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ตำแหน่ง...แต่คนที่ยังอยู่ก็คือรอดูจังหวะให้แน่ใจสินะ” ชายวัยรุ่นคนหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงกระแนะกระแหนใส่ชายร่างหนาอีกคน
“ขอบคุณที่ชมครับรุ่นพี่ ถึงภารกิจนี้จะได้รับรางวัลมากก็จริงแต่อีกไม่นานผมก็จะเลื่อนขั้นไปเป็นเลขสองหลักอยู่แล้ว ถ้าหมายเลขเก้าสิบเก้ากลับมาเมื่อไรผมจะท้าดวลมันซะ”
“แหม ๆ ทำเป็นเสียงเข้มไปได้ จะมาดวลจัดอันดับกันในภาวะสงครามให้มันเปลืองแรงทำไม? นายก็รู้นี่ว่าแค่ทำผลงานได้ดีก็มีสิทธิ์เลื่อนลำดับเหมือนกัน” ชายร่างเล็กคนนั้นเดินวนไปมาดูเหล่ารุ่นน้องที่น่ารักทุกคน
เขาไปหยุดอยู่ตรงหน้าหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังเปิดหนังสืออ่านในขณะที่มืออีกข้างก็เขียนไปด้วย “ฉันจำเธอได้ เธอเป็นคนที่ท่านเจ้าสำนักเอ็นดูตั้งแต่อยู่ลานฝึก แม้ฝีมือการต่อสู้จะไม่ได้แข็งแกร่งนักแต่การวิเคราะห์ข้อมูลของเธอมันโดดเด่นกว่าใคร”
“ค่ะ ช่วยอย่ามารบกวนคนกำลังใช้สมาธิได้ไหมคะ” หญิงสาวคนนั้นมองด้วยหางตาไร้เยื่อใยเหมือนพยายามทำเป็นไม่รู้จัก
“จริงด้วย ๆ ฉันไม่น่าเข้ามาขัดเลย แต่จะดีมากถ้าเธอแบ่งปันการวิเคราะห์ข้อมูลของซึฮากิให้พวกเราด้วย ยังไงการร่วมมือกันก็ดีกว่าอยู่แล้ว” เขากล่าวด้วยสีหน้ารื่นรมย์เหมือนรู้อยู่แล้วว่าเธอจะไม่ปฏิเสธ
เธอถอนหายใจดังอย่างกับกำลังด่าอ้อม ๆ “ซึฮากิ ฮลาฟกาด เป็นคนที่ถูกอัญเชิญมาพร้อมกับผู้กล้าฟราน แต่เดิมเขาหลบหนีจากค่ายและเคยได้รับคำตราหน้าว่าเป็นกบฏ ในตอนนั้นเราไม่ได้สนใจก็เลยมีข้อมูลค่อนข้างน้อย แต่ในเวลาแค่หนึ่งปีเจ้าซึฮากิกลับกลายเป็นขุมอำนาจใหม่ของอาณาจักรอาฟและกวาดล้างสำนักมนตร์ดำสาขานั้นทันที...”
“ช่วยเข้าเรื่องไว ๆ หน่อยเถอะ” ชายคนนั้นพูดแทรกขึ้นมากลางคันทำให้เธอแสดงสีหน้าหงุดหงิดราวกับคนที่กำลังเล่นเกมมือถือแล้วมีสายเข้า
“เขาเริ่มต้นที่เลเวลหนึ่งและขึ้นมาเลเวลเจ็ดภายในระยะแค่หนึ่งปีทำให้ท่านเจ้าสำนักตั้งเป็นบุคคลเฝ้าระวังพิเศษ จากข้อมูลอันน้อยนิดฉันจะสรุปความสามารถของเจ้านั่นให้ฟัง” เธอเดินไปอยู่เบื้องหน้าของพรรคพวกทำอย่างกับเป็นอาจารย์ยืนสอนอยู่หน้าห้อง
“เขาสามารถใช้เวทมนตร์ได้สองแบบก็คือเวทมนตร์วายุกับมนต์ดำ ตามข้อมูลที่เขียนโดยเจ้าสำนักจึงสรุปได้ว่าเจ้านั่นสามารถใช้มนตร์ดำได้ในระดับเดียวกับผู้บริหาร ส่วนเวทมนตร์วายุยังไม่ปรากฏแน่ชัดแต่คาดการไว้ว่าอยู่ในระดับผู้เชี่ยวชาญเช่นกัน แต่สิ่งที่เขามีเหนือกว่าคนทั่วไปก็คือประสาทสัมผัสและความเจ้าเล่ห์”
“ระดับใกล้เคียงกับผู้บริหารเลยสินะ แต่ก็แค่เลเวลเจ็ดคนเดียวยังไงก็ต้องเหนื่อยกับคนตั้งร้อยคนแน่ ๆ” ชายร่างเล็กกล่าว
“แต่พวกนั้นดันแยกกันไปทั่วไม่ทำงานร่วมกันดี ๆ หรือเพราะภารกิจมันคลุมเครือตรงที่ทำได้ทุกอย่างก็เลยออกมาเป็นแบบนี้” ชายหนุ่มตัวร่างสูงใหญ่เดินขึ้นมาแนวหน้าเพื่อฟังให้ชัด ๆ
“อืม ที่สำคัญอีกอย่างก็คือข้อมูลล่าสุดที่ท่านเจ้าสำนักได้เจอกับตัว นั่นทำให้เราต้องวางแผนกันให้ดีจริง ๆ เพราะเขาสามารถรอดพ้นจากเงื้อมมือของท่านเจ้าสำนักได้แถมยังหนีไปแบบครบสามสิบสองซะด้วย”
“ฉันก็ได้อ่านรายงานนั้นแล้วเหมือนกัน ท่านเจ้าสำนักบอกว่าอีกฝ่ายมีประสาทสัมผัสเทียบเคียงกับเขาได้เลย ต้องบอกว่าต่างฝ่ายต่างกินกันไม่ลงเลยก็ว่าได้” ชายร่างเล็กกล่าวต่อพลางคิดวิเคราะห์หาหนทางในการกำจัดซึฮากิ
“ขนาดนั้นเลยเหรอ?” พ่อหนุ่มตัวโตถามต่อ
“ขนาดนั้นเลยนั่นแหละ เพราะฉะนั้นเราต้องวางแผนให้รัดกุมที่สุดโดยให้คิดว่าอีกฝ่ายเป็นผู้บริหารเลย” หญิงสาวคนนั้นเริ่มวางแผนนัดแนะกับคนที่ยังอยู่หน้าประตู
ขณะเดียวกันในป่าตะวันตกของเมืองก็มีการเคลื่อนไหวของกลุ่มศิษย์กว่าหนึ่งร้อยชีวิต
“ทางนี้ยามก็โดนจัดการไปแล้ว”
“เวรเอ๊ย ! มันเข้ามาในอาณาเขตของเราตั้งแต่เมื่อไร”
หลาย ๆ คนพยายามใช้ตรวจจับหาร่องรอยการใช้เวทมนตร์แต่มันก็เบาบางจนหาต้นตอไม่ได้ บางคนก็ใช้วิธีที่ง่ายที่สุดก็คืออยู่ในจุดที่สูงที่สุดเพื่อมองหาศัตรู
“ในระยะห้าร้อยเมตรไม่มีการเคลื่อนของมนุษย์เลย ผมว่าเราส่งคนกระจายไปตามหาเถอะครับ”
“ยิ่งกระจายกันก็ยิ่งเสี่ยง เจ้านั่นมันแข็งแกร่งมากจึงเป็นภารกิจที่ใช้คนเป็นร้อยคน” ทันใดนั้นร่างของคนที่สังเกตการณ์ด้านบนก็ร่วงลงพื้นสร้างความแตกตื่นให้กับพวกพ้อง
“มันอยู่แถว ๆ นี้แน่นอน ส่งสัญญาณเรียกรวมซะ”
ศิษย์คนหนึ่งเป่านกหวีดดังลั่นก้องไปทั่วป่า ส่วนศิษย์อีกคนยิงพลุสีแดงช่วยเรียกรวมพลอีกแรง
“นี่มันรอยกระสุนเหรอ?” ศิษย์รุ่นพี่ตรวจสอบศพของคนสังเกตการณ์จึงเห็นรูกลม ๆ บนหน้าผากที่ทะลวงทะลุเข้าสมอง
“แย่แล้วครับ มีคนโดนมันเล่นงานเพิ่มอีกแล้ว” ศิษย์คนหนึ่งวิ่งหน้าตั้งมารายงาน
พอเขาไปถึงที่เกิดเหตุก็เห็นรอยกระสุนบนหน้าผากเช่นกัน นั่นทำให้เขาตระหนักรู้ถึงความแม่นยำของศัตรู
“ตรวจจับเจ้านั่นไม่เจอเลยเนี่ยนะ? ถ้าจะยิงได้แม่นขนาดนี้ก็ต้องอยู่แถวนี้สิวะ”
การที่มีพวกพ้องตายโดยระบุตำแหน่งศัตรูไม่ได้ทำให้เกิดความตื่นตระหนก มิหนำซ้ำเพราะคนอยู่รวมกันเยอะทำให้เริ่มระแวงกันเอง
“เจ้านั่นมันใช้มนตร์ดำได้นี่ หรือมันอาจจะปลอมตัวเป็นคนใดคนหนึ่งในหมู่พวกเรา”
พอยิ่งมีคนสงสัยมนุษย์ทั่วไปก็จะสงสัยตาม ๆ กันไป หนึ่งในสัญชาตญาณอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์ก็คือความสงสัยในสิ่งที่เห็นและหวาดระแวงในสิ่งที่ไม่รู้
“เฮ้ย ! แกเป็นศิษย์รุ่นไหนวะทำไมถึงไม่คุ้นหน้า?”
“แกเองก็เหมือนกัน ฉันไม่เคยเห็นเลย”
พอเริ่มมีคนใดคนหนึ่งป่าวประกาศเพื่อคลายข้อสงสัยก็จะมีคนทำตาม แต่ด้วยจำนวนหลักร้อยคนทำให้เกิดความวุ่นวายจนเกือบฆ่ากันเองเพราะความหวาดระแวง
“ทุกคนสงบสติอารมณ์กันหน่อย จากนี้เราจะแบ่งเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ซึ่งพวกนายต้องจัดกลุ่มกันเอง ใครจำใครได้ก็จับกลุ่มกับคนนั้นไปเลยเดี๋ยวก็เหลือคนที่แปลกแยกเอง”
ด้วยความช่วยเหลือของศิษย์รุ่นพี่ทำให้สถานการณ์กลับมาสงบอีกครั้ง จากนั้นไม่นานพวกเขาก็แบ่งกลุ่มกันเองจนเหลือคนโดดเดี่ยวอยู่ห้าคน
“อืม เพื่อความปลอดภัยเราจะมัดพวกนายไว้ก่อน”
พวกเขาใช้สองหน่วยในการเฝ้ากลุ่มเสี่ยงที่อาจจะเป็นศัตรู ในขณะที่หน่วยอื่นกระจายออกไปสำรวจเผื่อมีพรรคพวกของซึฮากิซ่อนตัวอยู่
“ห้าคนสินะ เรามาพิสูจน์ความบริสุทธิ์กันดีกว่า” เขาคือศิษย์พี่ที่เป็นเสมือนหัวหน้าในภารกิจนี้ ด้วยประสบการณ์หลายปีในการทำภารกิจจึงวางตัวได้สุขุมในสถานการณ์เช่นนี้
“นายหมายเลขอะไร?”
“กะ...เก้าร้อยหกสิบสี่ครับ”
“โอ้ เลขสูงใช้ได้เลยนะเนี่ย” ระหว่างที่สัมภาษณ์ถามข้อมูลภายในสำนักไปเรื่อย ๆ เขาก็ยังใช้ตรวจจับและตรวจสอบมองดูทุกสิ่งทุกอย่างจากตัวหมายเลขเก้าร้อยหกสิบสี่
เลเวลสามใช้เวทมนตร์เพลิง ไม่น่าใช่แต่ก็ต้องลองดูคนอื่น ๆ ให้ครบก่อน
ศิษย์พี่นั่งถามทีละคนและไล่ดูข้อมูลสเตตัสจนหมดแต่ก็ต้องขมวดคิ้วเพราะไม่มีใครผิดปกติเลย
เราคิดมากไปเองหรือเปล่านะ หรือเจ้านั่นจะใช้ปรับเปลี่ยนที่เป็นมนตร์ดำขั้นสูงได้ ถึงอย่างนั้นต่อให้เปลี่ยนสเตตัสและหน้าตาได้แต่ก็ไม่น่าตอบคำถามที่มีแค่พวกศิษย์ที่รู้ได้
“มัดไว้อย่างนี้ก่อน เอาไว้เจอตัวซึฮากิเราถึงจะปล่อยพวกนายได้…”
ทันใดนั้นก็มีคนยิงพลุส่งสัญญาณอีกครั้งทั้ง ๆ ที่พึ่งออกไปสำรวจได้ไม่นาน
“อีกแล้วเหรอ?” ศิษย์พี่วิ่งมาดูเป็นคนแรก ๆ แต่ก็ต้องผงะพูดไม่ออกเพราะทั้งหน่วยถูกสังหารในการโจมตีเพียงครั้งเดียว และที่น่าสงสัยก็คือใครเป็นคนยิงพลุกันแน่
มันจะซ่อนตัวได้แนบเนียนขนาดนั้นเลยเหรอ พวกเราเองก็เชี่ยวชาญการซ่อนตัวเหมือนกันแต่ทำไมยังหาตัวมันไม่เจอสักที
ขณะที่กำลังตรวจสอบศพ อีกฟากหนึ่งของป่าก็มีเสียงนกหวีดเป่าดังสนั่นจนนกพากันบินหนี
“อะไรอีกวะเนี่ย”
ศิษย์พี่พาหน่วยของตนเองตระเวนไปมาตามสัญญาณที่ได้รับแต่ทุก ๆ ที่ที่ไปกลับเหลือแต่ศพ
เวรเอ๊ย หาตัวมันไม่เจอแถมยังเสียคนไปเรื่อย ๆ อีก
“หน่วยอื่นก็น่าจะไม่รอดแล้วเหมือนกัน พวกเรากลับไปที่ประตูตะวันตกก่อน…”
เสียงลมพัดผ่านใบหูเย็นวาบราวกับโดนมือเย็น ๆ ในหน้าหนาวจับ ศิษย์พี่ที่ไหวตัวทันกางโล่มานาป้องกันคมมีดที่วาดเฉือนเป็นวงกว้างได้พอดี
“เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงต้องใช้คนเป็นร้อย” ถ้าหากไม่ได้ศิษย์พี่ทั้งหน่วยก็คงโดนคมมีดสังหารเหมือนหน่วยอื่นไปแล้ว
“อย่าพึ่งตื่นตระหนก ตั้งสติให้มั่นและใช้ตรวจจับหามันให้ได้”
สมาชิกทั้งห้าคนในหน่วยหันหลังให้กันช่วยระวังรอบด้าน ถึงแม้จะช่วยกันใช้เวทมนตร์ตรวจจับแต่ก็ยังหาตัวซึฮากิไม่เจอ
ไม่มีทางที่มันจะซ่อนตัวได้สมบูรณ์แบบหรอก ต้องมีสักจุดสิ ตรงหน้าของศิษย์พี่มีกลุ่มก้อนมานารวมตัวกันและพุ่งจู่โจมโดยเปลี่ยนเป็นกระสุนวายุ
“อยู่ทางนี้” เขาใช้โล่มานาเบี่ยงวิถีกระสุนออกแต่ไม่ทันได้ตั้งหลักมันก็มีคมมีดวายุฟาดเข้ามาทันทีแต่ศิษย์พี่ก็ยังไม่หวั่นไหวจึงสร้างโล่มานารอไว้อีกหลายชั้น
เวทมนตร์มาจากทางนั้นเจ้านั่นก็ต้องอยู่แถวนั้น เขาใช้สมาธิทั้งหมดไปกับการควบคุมโล่มานาและเวทมนตร์ตรวจจับกลายเป็นเป้านิ่งที่รอป้องกันเพียงอย่างเดียว
“เจอแล้ว” แม้จะแค่เสี้ยววินาทีที่ตรวจจับได้แต่ศิษย์พี่ก็ฟาดดาบเวทมนตร์ใส่ทันที
“เตรียมสนับสนุน...” ทันใดนั้นก็มีหอกวายุพุ่งทะลวงจากร่างของพรรคพวกที่คุ้มกันหลังให้ มันทะลุมาถึงตัวศิษย์พี่ก่อนจะระเบิดซ้ำอีกครั้งหวังฆ่าให้ตายในทีเดียว
“บัดซบเอ๊ย !”
เพียงแค่ไม่กี่วินาทีที่การป้องกันโดนพังทลายพวกเขาก็โดนบุกถล่มจากทุกทิศทางอย่างกับมีซึฮากิหลายสิบคน
“ไม่น่าเชื่อว่าเราจะตกอยู่ในสภาพแบบนี้” ศิษย์พี่ยังคงยืนอยู่ท่ามกลางร่างไร้วิญญาณของน้อง ๆ แม้หอกมานาจะระเบิดหวังปลิดชีพแต่เขาก็ดึงมันทิ้งได้ทันจึงเหลือแค่รูตรงท้องเท่านั้น
“อย่างน้อยฉันก็เห็นแล้ว สายมานาที่โยงไปหาเจ้าของเวทมนตร์” เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าเห็นแสงแยงตาแต่ภายใต้แสงเหล่านั้นกลับมีคนคนหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ
ศิษย์พี่ยิ้มให้กับความตายตรงหน้าและเพ่งรวมมานาแทนที่จะหนี เขาหยิบยืมขวดมานาสำรองจากเพื่อนพ้องเพื่อเตรียมการร่ายเวทมนตร์ครั้งสุดท้าย
“อย่างน้อยก็ขอให้ได้สักแผลเถอะ [สลาตันพันลี้]” เขายิงกระสุนวายุที่ไม่ได้พิเศษอะไร แต่เพราะมันถูกสร้างขึ้นด้วยมานาทั้งหมดทำให้กระสุนวายุรวดเร็วยิ่งกว่าปกติสิบเท่าและมีระยะหวังผลเพิ่มเป็นหนึ่งกิโลเมตร
กระสุนวายุลูกนั้นพุ่งทะลวงร่างของซึฮากิที่ลอยอยู่บนฟ้า แต่ขณะที่ศิษย์พี่กำลังยิ้มภาคภูมิใจกลับมีกระสุนวายุที่คล้ายคลึงกันพุ่งเข้าหัวดับฝันของความหวังสุดท้ายลงไป
สุดท้ายสมาชิกกว่าหนึ่งร้อยคนก็ถูกซึฮากิเก็บกวาดเรียบภายในเวลาแค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น แถมยังจัดการโดยที่อีกฝ่ายไม่มีโอกาสตอบโต้เลยแม้แต่การโจมตีครั้งสุดท้ายก็ไม่เป็นผล
“ข้างนอกนั่นคงโดนเก็บไปหมดแล้ว เดี๋ยวหมายเลขสิบเอ็ดผู้นี้จะปราบมันให้เอง” ชายตัวเล็กบิดตัวยืดเส้นยืดสายพร้อมกับถือมีดสั้นอาวุธคู่ใจไว้ในมือ
“จำไว้นะคะว่าอย่าออกไปจากระยะคุ้มกันจนกว่าฉันจะบอก”
“รู้แล้วน่าคุณหกร้อยห้าสิบห้า ฉันจะยืนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหนทั้งนั้นแหละ”
“อย่าลืมว่ามีผมอยู่ด้วยสิครับ” ชายหนุ่มตัวสูงใหญ่เดินมายืนเคียงข้างเสมือนเป็นคู่หูที่อยู่ด้วยกันมานาน
“ไม่ลืมอยู่แล้วหมายเลขหนึ่งร้อย เอาไว้เสร็จงานนี้ฉันจะคุยกับผู้บริหารให้ว่าพวกนายทำงานได้ดีแค่ไหน” หมายเลขสิบเอ็ดตบบ่าหมายเลขหนึ่งร้อยทำอย่างกับเป็นเพื่อนสนิท
หมายเลขสิบเอ็ดยืนรออยู่หน้าประตูตะวันตก เขากวาดสายตามองพร้อม ๆ กับใช้ตรวจจับสอดส่องไปทุกหนทุกแห่ง ขณะเดียวกันคนที่เหลือจะคอยสนับสนุนอยู่หลังประตูซึ่งมีหมายเลขหกร้อยห้าสิบห้าเป็นคนนำ
“ไม่คิดเลยว่าฉันจะได้ทำงานร่วมกับศิษย์น้องเยอะขนาดนี้ หวังว่างานหน้าเราจะ...” พูดไม่ทันขาดคำก็ดันมีกระสุนวายุพุ่งตรงเข้าที่หัว แต่เพราะมีโล่มานาซ้อนอยู่หลายชั้นทำให้แรงของกระสุนวายุไม่มากพอที่จะเจาะเสริมกำลังได้
“มันมาแล้ว” หมายเลขสิบเอ็ดใช้มีดสั้นฟาดคลื่นมานาสวนกลับไปในทิศทางที่กระสุนพุ่งมา
“เจ้านั่นอยู่นอกระยะตรวจจับของเรา ตอนนี้ทำได้แค่ป้องกันเท่านั้นรอจังหวะที่มันเข้ามาในระยะก่อน” หมายเลขหกร้อยห้าสิบห้าตะโกนข้ามฟากมา
“เหอะ ดูสิว่ามานาของใครจะหมดก่อน” ทั้งหมายเลขสิบเอ็ดและหมายเลขหนึ่งร้อยผสานมานาเพื่อเสริมการป้องกันให้มากยิ่งขึ้น ระหว่างนั้นก็ยังมีกระสุนวายุพุ่งเข้าใส่ไม่หยุดกลายเป็นสงครามผลาญมานากันอย่างแท้จริง
การทำสงครามผลาญมานายืดเยื้อไปถึงครึ่งชั่วโมงแต่ก็ยังไม่รู้ผล
“สิบนาฬิการะยะสองร้อยเมตร !” หมายเลขหกร้อยห้าสิบห้าตะโกนให้สัญญาณ
“แบบนี้ก็สวยสิ” หมายเลขสิบเอ็ดแสยะยิ้มและเอนตัวเตรียมใช้เวทมนตร์
“[สุสานอูดร]” เขาเหวี่ยงมีดสั้นไปข้างหน้าด้วยแรงและมานาจำนวนมาก คลื่นมานาของมันได้กวาดล้างทุกสิ่งทุกอย่างราบเป็นหน้ากลองเหลือไว้แค่ตอไม้
“ไปเลย !” หมายเลขหกร้อยห้าสิบห้าสั่งการต่อเพื่อส่งกำลังสนับสนุนด้านหลังเข้าไปในแนวหน้า
เขาใช้วิธีการที่แปลกประหลาดก็คือการต่อตัวเหมือนเล่นขี่ม้าส่งเมืองแต่ใช้คนทั้งหมดหกคนเพื่อพาหมายเลขสิบเอ็ดกับหมายเลขหนึ่งร้อยไปยังตำแหน่งของซึฮากิ
“มันอยู่ตรงนั้น” ขณะเดียวกันซึฮากิก็พยายามยิงกระสุนวายุตอบโต้กลับแต่ด้วยพลังของการผสานมานาทำให้โล่มานาของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้นหลายเท่า
“เสร็จฉันล่ะเจ้าซึฮากิ [สุสานอูดร]” หมายเลขสิบเอ็ดฟาดคลื่นมานาหวังกวาดทุกสิ่งทุกอย่างไม่ให้ซึฮากิมีหนทางหนีได้
“น่าสนใจ” แทนที่จะได้เห็นเศษซากศพกลับได้ยินเสียงกระซิบข้างหูแทน พอหันไปจึงเห็นซึฮากิง้างมีดสั้นจ้วงทะลุโล่มานาเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 28
แสดงความคิดเห็น