STARCIN ภาคที่ 8 Freight ตอนที่ 32 เกลือก้อน
“กลับมาแล้วสินะ” เซนทำเสียงเข้มทักทาย
“ไม่เห็นเหรอ?”
“จริงด้วย…”
พอทักทายกันเสร็จซึฮากิก็ดำเนินการจ่ายเงินและโอนสิทธิ์ความเป็นเจ้าของมาทันที ที่พายุเข้าก่อนหน้านี้ก็เหมือนเป็นโชคดีเพราะฝั่งขุนนางไม่สามารถเข้ามาก่อกวนได้
“อย่างที่เคยบอกไว้ สิ่งที่ซื้อคือทุกอย่างตั้งแต่ที่ดินจรดข้าวของเครื่องใช้ หลังจากนี้พวกคุณต้องย้ายไปอยู่ที่พักที่เราจัดไว้ให้ชั่วคราวเพราะจะมีการปรับปรุงหมู่บ้านใหม่ทั้งหมด”
“ย้ายชั่วคราวสินะ แล้วต้องย้ายวันไหนล่ะ?” ป้าศรีเอ่ยถามเป็นตัวแทนคนในหมู่บ้าน
“วันนี้เลยครับ”
พวกเขาสะดุ้งตกใจเพราะมันกะทันหันเกินจนไม่ได้เก็บข้าวของเลย
“ระหว่างที่เราคุยกันอยู่ผมให้คนไปเก็บของให้หมดแล้ว ส่วนรถม้ากับที่พักเราก็เตรียมไว้ให้พร้อมโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ”
“สวัสดิการดีจริง ๆ นะพ่อหนุ่ม” เซนยิ้มกว้างและยกนิ้วโป้งให้
“ต้องแบบนี้แหละถึงจะซื้อใจชาวบ้านชาวเมืองได้ ยิ่งกับคนที่นี่ที่เป็นมิตรกับผู้กล้าก็ยิ่งตีสนิทได้ง่าย ดังนั้นเราจะเริ่มกระจายสินค้าจากที่นี่เนี่ยแหละ”
ซึฮากิพูดความลับออกมาโต้ง ๆ ไม่กลัวว่าชาวบ้านจะพลั้งปากไปบอกใคร แม้จะมีบางคนที่ตกใจกับความคิดเบื้องลึกที่ต้องการซื้อใจพวกเขาแต่ก็ไม่อาจปฏิเสธสิ่งดี ๆ ที่ได้รับได้
“ดูเหมือนเขาจะเปลี่ยนไปนะ ตอนแรกที่ฉันเจอซึฮากิเขายังทำหน้าเย็นชาอยู่เลย” ดีน่าถึงกับจ้องไม่หยุดสงสัยในทุกการกระทำของซึฮากิ
“ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ฉันพยายามมากเลยนะเพื่อดึงความรู้สึกของเขาออกมา” ฟรานยืนกอดอกดูภาคภูมิเป็นพิเศษ
“โห่ เธอทำอะไรแบบนั้นได้ด้วยเหรอ?”
“แน่นอนสิ ฉันคือฟรานผู้ที่เคยอาบน้ำด้วยกันนอนด้วยกันเชียวนะ เรื่องนิสัยของเขาฉันรู้ดีกว่าใครเลยล่ะ”
“น่าอิจฉาจริง ๆ งั้นฉันต้องพยายามมากกว่านี้จะได้เข้าใจเขาให้มากขึ้น”
สองสาวคุยกันเสียงดังแต่ซึฮากิก็ทำเป็นไม่สนใจและตั้งหน้าตั้งตาทำงานต่อไป
“เดินทางปลอดภัยนะครับ” พวกเซนกล่าวลาพร้อมกับโบกมือให้
กลุ่มชาวบ้านพร้อมกับข้าวของมากมายได้เคลื่อนขบวนไปยังที่พักใหม่ในยามวิกาล แม้จะดูอันตรายแต่อย่างน้อยก็มีนักผจญภัยที่จ้างมาคุ้มกันจึงวางใจได้เปลาะหนึ่ง
“หลังจากนี้พวกเราจะเป็นยังไงต่อเหรอ?” ป้าศรีมองออกไปนอกหน้าต่างดูบ้านเมืองอันเงียบสงบเพราะเป็นเขตชานเมือง
“ไม่รู้สิ ส่วนฉันอยากกลับไปทำงานเดิมต่อถึงจะไม่ใช้ร้านของตัวเองแล้วก็ตาม” ลุงทอมยิ้มบางดูเหมือนทำใจกับชีวิตความเป็นอยู่หลังจากนี้ได้แล้ว
ทันใดนั้นรถม้าก็หยุดกะทันหันจนหัวชนกับตัวรถ ด้วยความตื่นตระหนกพวกเขาจึงพากันออกจากตัวรถเพื่อไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“ทุกคนระวังครับ พวกมันน่าจะเป็นโจร” นักผจญภัยที่จ้างมารับมือสถานการณ์ได้ดีโดยที่ไม่เผยอาการตกใจหรือหวาดกลัวศัตรูตรงหน้าให้ชาวบ้านได้เห็นเลย
กลุ่มโจรกว่าสิบคนได้ล้อมรอบรถม้าทุกคันไว้แต่ก็ยังไม่ได้ลงมือทำร้ายใครยกเว้นการพังล้อรถม้าคันแรกของขบวน
“ส่งของมีค่ามาให้หมดแล้วเราจะปล่อยพวกแกไป” หัวหน้ากลุ่มโจรเดินนำขึ้นมาเพื่อเจรจาด้วยท่าทางวางก้ามไม่เกรงกลัวคมดาบในมือของนักผจญภัยเลย
“ใจกล้ามากนะที่ปล้นคนกลางเมืองแบบนี้ อีกไม่นานพวกทหารยามก็จะมาถึงแล้วพวกแกนั่นแหละที่ต้องยอมแพ้”
ชายคนนั้นหัวเราะลั่นก่อนจะกล่าวตอบกลับ “ทหารไม่มาหรอกเว้ย คิดว่าพวกเขาจะสนใจชนชั้นรากหญ้าที่ทำให้ทัศนียภาพของเมืองแอสต้าลดลงเหรอ?”
“อะไรนะ !”
สุดท้ายกลุ่มนักผจญภัยก็ต้องปะทะกับพวกโจรอย่างเลี่ยงไม่ได้เพราะคิดว่ายังไงพวกมันก็ไม่น่าปล่อยไปอยู่ดี สิ่งที่แตกต่างกันไม่ใช่แค่จำนวนแต่ฝั่งนักผจญภัยต้องคอยปกป้องชาวบ้านไปด้วยจึงไม่สามารถใช้สมาธิกับการต่อสู้ได้ดีเท่าที่ควร
“หัวหน้า ! รอบนี้มีของดี ๆ เยอะเลย” ระหว่างที่กำลังยุ่งวุ่นวาย พวกโจรอีกฝั่งหนึ่งก็เข้าไปค้นของในรถมาทั้งหมด
“โอ้โห่มีหินเวทซะด้วย ถ้าเอาไปขายก็คงจะทำเงินได้ไม่น้อยเลย”
“เรามีหินเวทด้วยเหรอ?” ชาวบ้านกระซิบคุยกันด้วยความสงสัย
“ไม่รู้เหมือนกัน ของแพง ๆ แบบนี้เราจะไปมีได้ยังไง”
สถานการณ์กำลังคับขันเพราะทางนักผจญภัยเริ่มต้านไว้ไม่ไหวอีกทั้งข้าวของก็ยังโดนขโมยไปเกินครึ่งแล้วด้วย ขณะที่ทุกคนกำลังสิ้นหวังและเตรียมทิ้งข้าวของหนีก็ดันมีใครบางคนโผล่ออกมาจากมุมมืด
“ว่าไง !” เสียงสดใสทักทายดึงความสนใจของทุกคนไปที่หญิงคนหนึ่ง เธอสวมเสื้อผ้าสีฉูดฉาดรวมถึงสีผมที่ย้อมหลากสีอย่างกับคนสติไม่ดี
“ใครวะ…”
พูดไม่ทันขาดคำหัวของเขาก็หลุดออกจากบ่าและก่อนที่พวกเขาจะได้ตั้งตัวหัวของพวกโจรก็โดนสะบั้นขาดเหลือไว้แค่หัวหน้ากลุ่มโจรเท่านั้น
“อะไรวะ?” หัวที่ร่วงหล่นกลิ้งไปมาได้ดึงดูดสายตาของหัวหน้ากลุ่มโจร เขาพยายามมองหาตัวหญิงสาวนางนั้นแต่ไม่ทันไรเธอก็มายืนอยู่ข้าง ๆ เสียแล้ว
“โทษทีนะ ของที่พวกแกเอาไปมันเป็นของของกิ”
“พูดบ้าอะไรวะ !” เขาสร้างดาบมานาเหวี่ยงใส่หญิงสาวนางนั้นแต่ดาบเล่มนั้นกลับร่วงลงพื้นแทน
หัวหน้ากลุ่มโจรมองดูดาบของตนเองที่ร่วงลงพื้นพร้อมกับมือข้างที่ถืออยู่ นั่นทำให้เขาร้องลั่นออกมาด้วยความเจ็บปวด
“อย่าพึ่งหลบตาสิ” เธอลงมืออัดหัวหน้าโจรยับเยินก่อนจะใช้เวทมนตร์ห้ามเลือดให้
“พวกแกไม่ตายดีแน่…”
ซีโร่หัวเราะเยาะและนั่งจ้องหัวหน้าโจรต่อไป
“ทำได้ดีมากที่ไม่มีใครเป็นอะไร” ซึฮากิโผล่ออกมาจากมุมมืดเช่นเดียวกับซีโร่
“ก็อย่างที่แกพูด พวกทหารยามไม่ค่อยสนใจเขตชานเมืองอยู่แล้ว ดังนั้นเราที่เป็นคู่กรณีจึงมีสิทธิ์ทำหน้าที่ทวงคืนความยุติธรรมให้ตัวเอง ก่อนอื่นก็เอาไอ้สองคนนั้นออกมาก่อน”
พูดจบซีโร่ก็ไปลากตัวชาวบ้านตาดำ ๆ ออกมาสองคนท่ามกลางความตกใจของเพื่อนร่วมหมู่บ้านที่หวาดกลัวว่าตนเองจะโดนอะไรด้วยหรือไม่
“ทุกคนจงฟังให้ดี สามีภรรยาคู่นี้ได้แอบส่งข้อมูลให้กับอลาสกันรวมถึงบอกสถานที่และเส้นทางการเดินทางด้วย”
“มะ…ไม่ใช่นะครับ พวกเราจะทำอย่างนั้นไปทำไม” ชายคนนั้นเถียงสุดใจพลางมองไปยังชาวบ้านที่มีทั้งแววตาสงสัยและโกรธเคือง บางคนก็เชื่อบางคนก็ลังเลแต่สุดท้ายซึฮากิก็งัดหลักฐานออกมาให้ดู
“นี่คือเอกสารบัญชีของครอบครัวพวกเขาที่มีเงินโตจ่ายมาจากการทำภารกิจของนักผจญภัย แม้จะดูเหมือนการทำงานเป็นนักผจญภัยธรรมดาแต่ยอดเงินที่ได้ไม่สัมพันธ์กับภารกิจที่ทำ และพอสืบลึกลงไปก็พบว่าตระกูลอลาสกันเป็นคนจ้างและระบุชื่อคนรับภารกิจโดยตรงเสียด้วย”
“นั่นมันก็แค่เรื่องบังเอิญนะครับ ของแบบนั้นใช้เป็นหลักฐานอะไรไม่ได้หรอก”
“พูดอะไร? นี่ก็แค่ความระแคะระคายที่ทำให้สงสัยเฉย ๆ แต่พอได้สืบถึงข้าวของในบ้านและเส้นทางการเงินเพิ่มอีกก็เลยไปเจอของสำคัญอีกอย่าง”
ซึฮากิเปิดเอกสารอีกฉบับให้ได้ดูเป็นขวัญตาและยังทำสำเนาแจกจ่ายให้ทุกคนอีกด้วย
“นี่มันแผนที่เหรอ?” ลุงทอมพยายามอ่านตัวหนังสือกับกำในแผนที่พวกนั้นจนเข้าใจว่ามันคืออะไร
สองสามีภรรยาเหงื่อแตกพลั่ก จากที่กล้าต่อปากต่อคำเถียงตอนนี้กลับนั่งเงียบเป็นเป่าสาก
“นี่เป็นแผนที่แอสต้า จะเห็นว่าเขตรอบนอกมีการทำสัญลักษณ์ซึ่งพวกนั้นคือเขตชานเมืองที่รัฐบาลไม่เข้ามายุ่ง ทุก ๆ จุดที่ทำสัญลักษณ์เป็นเขตที่โดนกว้านซื้อไปจนเหลือแค่ไม่กี่หมู่บ้าน อีกทั้งวันที่มีการซื้อที่ดินสำเร็จจะตรงกับวันที่มีเงินเข้าบัญชีของพวกเขา และจากนั้นพวกเขาก็เปลี่ยนที่อยู่ไปเรื่อย ๆ โดยใช้ข้ออ้างว่าโดนกดดันซื้อที่ไปแล้ว ถ้าผมพูดมาขนาดนี้เรายังไม่เข้าใจก็คงไม่แปลกใจที่จะโดนหลอกล่อได้”
บรรยากาศเงียบขรึมที่มีกลิ่นเลือดลอยฟุ้งไปทั่วราวกับการยืนในลานประหาร ความกดดันมากมายถาโถมลงบนบ่าของสองสามีภรรยาจนทนไม่ไหว
“อย่าทำอะไรพวกเราเลย ไอ้ขุนนางชั่วพวกนั้นมันบังคับเรา ถ้าไม่ทำตามมันจะฆ่าลูกชายของเรานะครับ”
“ผมรู้ว่าลูกชายของคุณทำงานกับอลาสกันแต่เป็นการโดนบังคับจับตัวไปจริงเหรอ?”
“จริง ๆ ครับ พวกเราต้องทำตามมันทุกอย่างไม่อย่างนั้น…ทั้งลูกชายทั้งผมทั้งภรรยาก็จะโดนอุ้มไปฆ่าแน่นอนครับ”
“งั้นเหรอ…”
ซึฮากิเดินหันหลังให้เหมือนยอมให้อภัยในความผิดแต่ทันใดนั้นซีโร่กลับตัดเอ็นข้อเท้าและข้อมือของสองสามีภรรยาทันที
เสียงร้องครวญครางดังลั่นจนชาวบ้านที่เห็นยังต้องสั่นกลัว
“ทำไมล่ะ? พวกเราไม่มีทางเลือกนะครับ”
“แกมันไอ้ปีศาจ...กล้าทำกับเหยื่อแบบนี้ได้อย่างไร” ภรรยาของเขาช่วยส่งเสียงด่าทอด้วยอีกแรงเผื่อจะมีชาวบ้านคนไหนเห็นด้วย
“ขอโทษนะ แต่สิ่งที่พวกคุณกล่าวมาเมื่อกี้มีแต่เรื่องโกหกทั้งนั้น ลูกชายของคุณยังทำงานกับอลาสกันได้อย่างปกติสุขแถมยังเสวยสุขยิ่งกว่าชาวบ้านที่โดนไล่ที่หลายเท่าเลยล่ะ”
“พูดจาเพ้อเจ้อ ลูกชายของเราโดนพวกมันจับไว้จริง ๆ”
พอหันไปดูชาวบ้านหวังพึ่งความเห็นใจ เขาถึงกับเงียบปากแทบไม่ทันเมื่อเห็นแต่แววตาโกรธเคืองมองมา
“ผมไม่ใส่ร้ายใครง่าย ๆ อยู่แล้ว และพวกเขาทุกคนคงได้เห็นรูปนั้นแล้ว...รูปที่พวกนายสองคนกำลังนั่งคุยกับตระกูลอลาสกันด้วยท่าทางดี๊ด๊ายิ้มจนแก้มแทบฉีก แถมข้าง ๆ กันนั้นก็ยังมีลูกชายของคุณอยู่ด้วยและเขาไม่เหมือนโดนจับเลยนะครับ”
“ไม่จริงนะครับ…” พูดไม่ทันขาดคำก็โดนซึฮากิชกเข้าที่คางหมดสติในทันที
“เอาเป็นว่าจับพวกเขาสามคนขังไว้ก่อน เราจะเริ่มสอบสวนพรุ่งนี้หลังจากที่พาชาวบ้านไปถึงที่พักใหม่ก่อน”
หลังจากพาชาวบ้านไปถึงที่พัก ซึฮากิและซีโร่ก็ได้นำตัวโจรกับผู้สมรู้ร่วมคิดไปขังไว้ที่โกดังในหมู่บ้าน
“ถ้าแค่จะจับตัวพวกมันทำไมถึงต้องยุ่งยากสร้างสถานการณ์ด้วยล่ะ?” ซีโร่ถามก่อนที่ซึฮากิจะเดินออกจากโกดัง
“ก็แค่ต้องเพิ่มน้ำหนักในคำให้การ ทำให้ชาวบ้านเหล่านั้นเห็นเบื้องหลังของขุนนางชัดเจนขึ้นและพวกเขาจะเป็นคนสนับสนุนการสืบสวนคนทำผิดอีกที เส้นสายที่พวกมันมีมันน่ากลัวกว่าที่คิดนะ”
“มันน่ากลัวถึงขนาดนั้นเลยเหรอ? แต่ช่างเถอะฉันก็แค่รอฟังคำสั่งจากนายก็พอ”
“อืม วันนี้กลับไปพักผ่อนกันก่อนเดี๋ยวฉันจะใช้ร่างโคลนเฝ้าแทน”
29 มิถุนายน พ.ศ.2576
“ฉันไปด้วยได้ไหม?” ฟรานดึงแขนเสื้อซึฮากิไว้พร้อมกับส่งสายตาอ้อนวอน
“ตามใจ”
“งั้นฉันไปด้วย” ดีน่ายกมือเรียกและวิ่งตรงดิ่งมาหาทันที
“ตามใจ”
“ไปไหนไปด้วยสิ” เซนวิ่งตามมาติด ๆ พร้อมกับคานะ
“ตามใจ”
ซึฮากิถึงกับถอนหายใจเจตนาบอกใบ้ว่าบางครั้งก็เหนื่อยใจกับเพื่อน ๆ เหมือนกันแต่สุดท้ายก็ยอมให้ตามไปแต่โดยดี
“กิ...” ซีโร่กลับมาจากการเดินสำรวจแล้วกระซิบคุยกับซึฮากิสองคน
“หนีไปแล้วสินะ ถ้างั้นก็เริ่มแผนต่อไปได้เลย...เราจะไปทักทายอลาสกันถึงที่เดี๋ยวนี้”
ทุกคนได้แต่ขมวดคิ้วสงสัยแม้แต่ซีโร่ก็ไม่อาจหยั่งถึงแผนการของซึฮากิได้ จากนั้นพวกเขาก็เดินทางไปยังคฤหาสน์ของตระกูลอลาสกันที่ตั้งอยู่ในเมืองแอสต้าทันที
“มีธุระอะไรมิทราบ?” อัศวินที่เฝ้าประตูเอ่ยถามด้วยท่าทางเคร่งขรึมพยายามข่มขวัญอีกฝ่าย
“รีโอน่า อลาสกัน อยู่ไหม?” อัศวินเหล่านั้นถึงกับโกรธเลือดขึ้นหน้าเพียงเพราะถามหาแบบเป็นกันเองเท่านั้น
“ไสหัวออกไปซะถ้าไม่อยากลงไปนอนในคุก”
“ไม่ไป ถ้าตอนนี้เราไม่ได้คุยกับรีโอน่าก็คงต้องไปคุยกันที่คุกที่ศาลแทน”
“อย่ามาเล่นลิ้นหน่อยเลยไอ้พวกกบฏ ถึงจะมากับผู้กล้าแต่สำหรับอลาสกันก็มองเป็นแค่หมากของรัฐบาลเท่านั้นแหละ”
“แล้ว…เมื่อไรจะเปิดประตูให้เรา” ซึฮากิไม่สนใจเสียงเห่าหอนของอัศวินคนนั้นเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังเดินเข้าประชิดกดดันและท้าทายให้อัศวินลงมือกับเขา
“กล้านักนะไอ้เวรนี่…”
“ให้เขาเข้ามา” ทันใดนั้นรีโอน่าก็มาอยู่อีกฟากของประตูพร้อมกับจ้องมองด้วยแววตาดุร้ายเหมือนสัตว์ป่า
“คะ…ครับท่านหญิงรีโอน่า” อัศวินเหล่านั้นรีบเปิดประตูก่อนที่ความโกรธเคืองเหล่านั้นจะเอามาลงที่พวกเขา
“เขาแค่คนเดียว” เธอชี้ไปที่ซึฮากิทำให้อัศวินเข้าไปกันคนอื่นออกไปทันที
“กิจัง !”
ซึฮากิหันมามองเป็นครั้งสุดท้ายด้วยแววตาผ่อนคลายเหมือนไปเดินเล่นในสวน เขาเดินตามรีโอน่าเข้าไปในคฤหาสน์ที่เต็มไปด้วยอัศวินมากฝีมือโดยไม่แสดงท่าทีหวาดกลัวให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
“มาถึงนี่คงมีอะไรสำคัญมากเลยสิท่า อย่างเช่น…เรื่องการซื้อตัดหน้า”
“แหม ๆ คนเราก็ต้องกินต้องใช้ ขนาดอลาสกันยังกว้านซื้อที่รอบนอกเมืองได้เลย ทำไมผมจะทำบ้างไม่ได้?”
“เพราะพวกเราคือเจ้าของแผ่นดินนี้ ทั้งแกทั้งผู้กล้าเป็นแค่คนต่างถิ่นที่องค์ราชาอัญเชิญมา ทั้งหมดทั้งมวลก็แค่ทำตามคำทำนายของท่านผู้นั้น”
“โห่…นึกว่าจะอยู่ฝั่งเดียวกับพวกนั้นซะอีก ดูจากคำพูดจาเธอก็คงไม่ชอบใจราชวงศ์สินะ”
“เห็นเป็นงั้นเลยเหรอ แต่ก็พูดถูกเพราะพวกเขาทำตัวเป็นหมารับใช้ของท่านผู้นั้นเหมือนตัวเองไม่มีความคิดหรือตัดสินใจอะไรได้เลย”
พวกเขาสองคนเข้าไปในห้องรับรองที่มีอัศวินรายล้อมพร้อมชักดาบได้ทุกเมื่อ
“ก่อนอื่นเลย...พวกคุณไม่ต้องระแวงขนาดนั้นก็ได้” ซึฮากิวางของบางอย่างลงตรงหน้ารีโอน่าและนั่งไขว่ห้างสบายใจเหมือนอยู่บ้านตัวเอง
“อะไร?”
รีโอน่ามองดูแท่งโลหะสี่เหลี่ยมจนนึกออกว่าเคยเห็นที่ไหน
“นี่คือสิ่งที่เรียกว่ากล้องพกพาใช่ไหม?” เธอหยิบขึ้นมาดูเหมือนไม่เชื่อว่าแท่งโลหะเล็กเท่าฝ่ามือจะสามารถบันทึกภาพได้เหมือนกล้องปกติที่เคยเห็น
“ใช่ และมันก็มีสิ่งนี้อยู่ด้วย” ซึฮากิแย่งกล้องมาจากมือรีโอน่า จากนั้นก็เปิดวิดีโอให้เธอดูซึ่งนั่นก็คือวิดีโอที่คนของอลาสกันมาช่วยโจรและผู้สมรู้ร่วมคิดเมื่อคืนนี้
“เหอะ คงเป็นเวทมนตร์อะไรสักอย่างนั่นแหละ”
พอเห็นว่ารีโอน่าปากแข็งทำเป็นไม่รู้เรื่องซึฮากิจึงยกกล้องถ่ายวิดีโอเธอตรงนั้นให้ดูเลย
“ไร้สาระ ! คนพวกนั้นอาจจะเป็นพวกพ้องของหัวหน้ากลุ่มโจรคนนั้นก็ได้”
“ราฟาเอล ดีล แล้วก็ราฟ ทั้งสามคนเป็นหน่วยลับที่สองของตระกูลอลาสกัน หน่วยลับที่สองเป็นหน่วยที่ทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ รวมถึงทำความสะอาดฝีมือของคนในตระกูล ส่วนหน่วยที่หนึ่ง…”
“พอแล้ว” รีโอน่าถึงกับยกมือขัดและไล่อัศวินคนอื่นออกไป
“สืบเรื่องของเรามาครบเลยนะ แล้วต้องการอะไรถึงมาหาที่นี่...ทำไมไม่เอาไปแจ้งกับทหารซะเลยล่ะ?”
“เพราะฉันคิดว่ายังไงก็เอาผิดพวกเธอไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นจึงเลือกทางที่ง่ายกว่าก็คือการเจรจาซึ่งคำขอเดียวของฉันก็คือการเลิกราวีหมู่บ้านนั้นก็พอ”
“อ้าว ๆ ไหนบอกว่าหลักฐานพวกนั้นทำอะไรฉันไม่ได้แล้วทำไมฉันต้องทำตามคำขอจากคนที่ทำอะไรฉันไม่ได้ด้วยล่ะ?”
“อย่ามาทำเป็นไขสือหน่อยเลย ต่อให้อลาสกันจะหาทางรอดได้แต่ก็ต้องยุ่งวุ่นวายไปสักพักเลยนี่ จะดีกว่าไหมถ้าเราแค่อยู่ใครอยู่มัน”
“เหอะ แล้วถ้าฉันไม่ยอมทำตามล่ะ?”
“ถ้าไม่ทำตามเงื่อนไขผมก็คงไม่มีทางเลือกที่จะเป็นศัตรูกับอลาสกัน” ซึฮากิหยิบเหรียญพิเศษของผู้กล้าให้ดูก่อนจะพูดต่อ
“สิ่งนี้มีอำนาจเทียบเท่าราชวงศ์ ถ้าคู่กรณีเป็นแค่ชาวบ้านหรือคนต่างถิ่นที่เคยโดนเรียกว่ากบฏคงจะจัดการคดีได้ไว แต่นั่นจะคนละเรื่องกับคู่กรณีที่เป็นราชวงศ์”
“ทำอย่างกับจะเป็นเรื่องใหญ่ รู้ไหมว่าโครงการรถไฟของพวกมันเราก็เป็นคนสนับสนุนทั้งเงินและทรัพยากร คิดว่าพวกมันจะกล้าเข้ามายุ่งเรื่องนี้เหรอ?”
“ถึงอลาสกันจะเป็นผู้สนับสนุนหลักแต่ก็ยังมีคนที่มีอำนาจเหนือกว่าซึ่งผู้กล้าก็เป็นเสมือนคนของเขาคนนั้นด้วย”
รีโอน่าตาโตเพราะนึกขึ้นได้ว่าคนที่ซึฮากิพูดถึงคือใคร
“ท่านผู้นั้นอีกแล้วสินะ ฉันล่ะเกลียดจริง ๆ ไอ้คนที่ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ แล้วคอยสั่งการอยู่ข้างหลัง”
“เธอก็ทำเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?” ซึฮากิพูดขัดทำเอารีโอน่าคิ้วขมวด
“ไม่เหมือนกันเว้ย ! ฉันไม่ได้ปกปิดตัวตนเหมือนท่านผู้นั้นอะไรนั่นนี่”
“คิดงั้นเหรอแต่ก็ช่างเถอะ ตกลงเธอจะยอมรับเงื่อนไขไหม?” ระหว่างนั้นซึฮากิก็ได้ยื่นเอกสารสัญญาให้โดยมีเสียงส้นเท้าเคาะพื้นตลอดเวลา
เธอถอนหายใจด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวก่อนจะหยิบเอกสารไปเซ็นยอมรับเงื่อนไข “อย่าได้ใจนักนะ เงื่อนไขก็แค่ไม่ยุ่งกับหมู่บ้านนั้นแต่ไม่ใช่กับพวกแกสักหน่อย...” เธอโยนเอกสารให้เป็นการแสดงออกว่ามันก็แค่กระดาษไร้ค่าถ้าหากเธอจะฉีกก็คงไม่ยากเกินมือ
“ขอบคุณที่เข้าใจ ถ้างั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
“อืม ไปให้พ้นหน้าสักทีเถอะก่อนที่ฉันจะสั่งให้อัศวินจัดการแก”
ซึฮากิหลุดขำออกมาครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับ “มีอารมณ์ขันเหมือนกันนะครับ”
คำกล่าวลาที่เหมือนไม่มีอะไรแต่มันกลับแฝงไปด้วยความเย่อหยิ่งและข่มขวัญราวกับจะบอกว่าต่อให้อัศวินทั้งคฤหาสน์มาก็ไม่อาจทำอะไรเขาได้
“รายงานไปหาคุณพ่อ” หลังจากที่ซึฮากิเดินออกไปก็มีคนของหน่วยลับโผล่มาจากเพดาน
“ให้เราตามมันไปไหมครับ?”
“เอาเลยก็ได้…”
“คุณหญิงรีโอน่าครับ” ชายหนุ่มอีกคนเข้ามาขัดคำสั่งเสียก่อน
“อะไร? มีเรื่องอะไรก็รีบพูดมา” ท่าทางหงุดหงิดไม่สบอารมณ์ทำให้ชายสองคนเหงื่อตก
“ดูเหมือนตระกูลอื่นก็กำลังเพ่งเล็งเจ้านั่นเหมือนกันครับ”
รีโอน่าหัวเราะลั่นทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น “ไอ้เวรนั่นมันไปก่อเรื่องอะไรถึงโดนหมายหัวเยอะขนาดนี้” เธอหัวเราะจนแทบหายใจไม่ทันและพอสงบลงได้จึงออกคำสั่งต่อทันที
“ตามสืบทุกสิ่งทุกอย่างให้ได้มากที่สุด แล้วก็ติดต่อสำนักมนตร์ดำให้มาหาฉันที”
“รับทราบครับ”
ทั้ง ๆ ที่มีหน่วยลับเข้าออกคฤหาสน์หลายครั้งแต่พวกเซนกลับสัมผัสอะไรไม่ได้เลย และหน่วยลับเหล่านั้นก็สัมผัสถึงซีโร่ที่ดูอยู่ห่าง ๆ ไม่ได้เช่นกัน
“กิ…เข้าไปพูดจายั่วโมโหพวกมันมาเหรอ?” ซีโร่เดินมากระซิบคุยกันสองคนจนฟรานทำหน้าบูดบึ้งแต่ก็อดทนไม่เข้าไปก้าวก่าย
“ก็ไม่เชิง แล้วก็จนถึงตอนนี้น่าจะมีสามตระกูลที่แอบตามสืบพวกเราอยู่และในอนาคตอาจจะมีเพิ่มก็ได้”
“เราต้องคอยระแวงหลังตลอดเลยเหรอ แล้วเมื่อไรฉันจะหลุดพ้นจากสายตาคนอื่นสักทีเนี่ย”
“อีกไม่นานหรอก”
ซีโร่ได้แต่มองหน้าพยายามดูว่าซึฮากิคิดอะไรอยู่แต่ก็เปล่าประโยชน์
พวกเขากลับไปที่หมู่บ้านอีกครั้งเพื่อเตรียมบูรณะใหม่ทั้งหมด อันดับแรกที่ต้องทำก็คือรื้อและทุบทุกอย่างทิ้งให้เป็นพื้นราบให้หมด
“ต้องทำขนาดนี้เลยเหรอกิจัง...”
“ต้องทำถึงขนาดนี้แหละ”
บ้านเด็กกำพร้าที่ฟรานเคยช่วยสร้างถูกทุบทิ้งต่อหน้าต่อตา ต่อให้จะขายไปแล้วแต่ความรู้สึกยากลำบากที่เคยสร้างมันก็ยังไม่จางหายไป แถมสภาพก็ยังดูดีอยู่แท้ ๆ แต่กลับต้องจากไปเร็วเสียจริง
“ของทุกอย่างเก็บออกไปหมดแล้วเหลือแค่บ้านเปล่า ๆ เอาไว้หลังใหม่ฉันจะให้เธอช่วยสร้างด้วยแล้วกัน”
“จริงเหรอ?” ฟรานผสานมือทำตาเป็นประกายเพื่ออ้อนวอน
“ได้อยู่แล้วแต่ฉันก็ยังเป็นคนคุมคุณภาพโดยรวมอยู่ดีนะ”
“แบบนั้นก็ยิ่งดีเลยสิ เหมือนเราได้สร้างบ้านด้วยกันจากนั้นก็แต่งงานแล้วก็สร้างครอบครัวด้วยกัน”
ดีน่ากระแอมคอขัดจังหวะ “แหม ๆ เธอคิดไปถึงขั้นนั้นแล้วเหรอ งั้นฝากตัวด้วยนะคุณภรรยาหลวงส่วนฉันเป็นแค่ภรรยาน้อยก็ได้”
“ยินดีจ๊ะภรรยาน้อย...ไม่ใช่แล้วเว้ย ! ข้ามศพฉันไปให้ได้ก่อนเถอะ” ฟรานเกือบจะเคลิ้มตามแต่ยังดีที่เรียกสติกลับมาได้ทัน
จากตอนแรกที่วางแผนจะกลับภายในไม่กี่วันแต่ดันต้องทำงานที่นี่ต่อ พอทุบทุกอย่างทิ้งเสร็จก็เริ่มก่อสร้างท่อน้ำและถนนต่อด้วยระบบประปาและไฟฟ้า เมื่อระบบที่จำเป็นสร้างเสร็จแล้วก็เริ่มวางโครงสร้างตึกที่จะใช้เป็นศูนย์กลางของหมู่บ้านซึ่งจะมีถนนแยกออกหลายเส้นทำให้สามารถเข้ามาที่อาคารหลักได้อย่างง่ายดาย
6 กรกฎาคม พ.ศ.2576
“สุดยอดไปเลยเนอะ” ฟรานยิ้มตื้นตันมองออกไปยังหมู่บ้านที่เปลี่ยนไป
“พวกเรามันเจ๋งสุด ๆ เลยใช่ไหมล่ะ” เซนเดินมายืนเคียงข้างและไม่นานเพื่อน ๆ ทุกคนที่ได้ลงแรงช่วยก็ออกมายืนมองผลงานของตนเอง
ทัศนียภาพของหมู่บ้านเก่า ๆ ได้หายไปโดยสิ้นเชิง อาคารหลักสูงนับสิบชั้นเป็นศูนย์รวมทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่ป้อมยามไปจนถึงศูนย์พยาบาลของหมู่บ้าน หมู่บ้านเล็ก ๆ นั้นได้กลายเป็นโครงการจัดสรรที่หรูหราพอให้พวกขุนนางมาเช่าอยู่ได้เลย
[เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย]
ผังหมู่บ้านวงกลมได้รับแรงบันดาลใจจากหมู่บ้านในเมืองบรอนด์บี้ซึ่งมีการวางผังเป็นวงกลมแต่แตกต่างกันตรงที่ของซึฮากิทำเป็นหนึ่งวงใหญ่ ๆ และมีส่วนกลางอยู่ตรงกลาง ส่วนที่บรอนด์บี้จะแบ่งเป็นเขต ๆ และแต่ละเขตก็จะมีถนนเชื่อมกันแล้วก็ไม่ได้มีส่วนกลางอยู่ตรงกลาง
หมู่บ้านของซึฮากิ
หมู่บ้านที่บรอนด์บี้
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 109
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น