ตอนที่ 1,006 โซลฮันเตอร์หรือโซลอีทเตอร์?

-A A +A

ตอนที่ 1,006 โซลฮันเตอร์หรือโซลอีทเตอร์?

หมวดหนังสือ: 

ตอนที่ 1,006 โซลฮันเตอร์หรือโซลอีทเตอร์?

เซี่ยเฟยอยากรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายของเขามาก เขาจึงตั้งคำถามลินนิจกับริเวอร์ไปหลายข้อ

“ก่อนอื่นคุณต้องเข้าใจก่อนว่านอกเหนือจากสายเลือด 50% ของชาวโลกและสายเลือดอีก 25% ของสกายวิงแล้ว สายเลือดอีก 25% ของคุณคือสายเลือดของออโรร่าที่เดินทางมาจากนอกประตูจักรวาลพร้อมกับฉันและลินนิจ”

เมื่อริเวอร์พูดถึงสายเลือดลึกลับอีก 25% ของชายหนุ่ม มันก็ทำให้เซี่ยเฟยชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะตั้งใจฟังต่อไป

“ปู่ของคุณชื่อว่าเซียวกู๋เป็นทายาทสายตรงของตระกูลออโรร่า ย้อนกลับไปลินนิจทำหน้าที่เป็นวิญญาณพิทักษ์ยาน ขณะที่ฉันทำหน้าที่เป็นองครักษ์ ระหว่างที่พวกเราออกเดินทางสำรวจพื้นที่ที่ไม่มีใครรู้จัก พวกเราก็บังเอิญได้พบกับพวกรีเวิร์สที่ทรงพลังมาก”

“พวกเราพยายามต่อต้านศัตรูยาวนานถึง 16 ปี และในขณะที่พลังงานของเรากำลังจะหมดลง พวกเราก็บังเอิญได้ไปพบกับประตูจักรวาล”

“ตอนนั้นประตูจักรวาลถูกปิดผนึกเอาไว้ ปู่ของคุณจึงตัดสินใจเปิดประตูเพื่อหนีมาพักฟื้นยังจักรวาลแห่งนี้ โดยฉันต้องทำหน้าที่เป็นคนผนึกประตูจักรวาลอีกครั้ง เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเราฟื้นฟูพลังกลับคืนมาได้พวกเราค่อยกลับไปยังตระกูลออโรร่า”

“นายน้อยสมกับเป็นทายาทสายตรงของตระกูลออโรร่า เพราะถึงแม้ว่าประตูจักรวาลจะถูกปิดผนึกเอาไว้อย่างแน่นหนา แต่เขาก็สามารถเปิดมันออกมาได้จริง ๆ น่าเสียดายที่การเปิดผนึกในครั้งนั้นมันต้องแลกมากับพลังงานส่วนใหญ่ที่เขามี”

“ปู่ของคุณเป็นคนที่มีจิตใจดีมาก เขาแทบที่จะไม่เคยโกรธคนอื่นเลย ในตอนนั้นฉันก็ตระหนักว่าเหตุผลที่เขาไม่เคยต่อสู้กับคนอื่นไม่ใช่ว่ามันเป็นเพราะเขาอ่อนแอ ในทางตรงกันข้ามเขาแข็งแกร่งมากจนสามารถจัดการฉันกับลินนิจได้อย่างง่ายดาย”

เมื่อเล่ามาจนถึงตรงนี้แววตาของริเวอร์ก็เปล่งประกายราวกับว่าภาพเหตุการณ์ที่เซียวกู๋เปิดประตูจักรวาลยังคงประทับแน่นในความทรงจำ

“โชคร้ายที่พวกรีเวิร์สได้มาพบกับเราก่อนที่เราจะเข้าประตูจักรวาล อาร์คจึงถูกทำลาย ส่วนนายน้อยที่สูญเสียความสามารถในการป้องกันตัวก็กระเด็นหายไปในทะเลดวงดาว”

“ที่น่าเศร้ากว่านั้นคือถึงแม้ฉันจะพยายามปิดผนึกประตูจักรวาลเอาไว้ แต่ผนึกที่ฉันสร้างมันก็อ่อนแอกว่าผนึกดั้งเดิมมาก ทำให้บางครั้งมันจึงมีรีเวิร์สแอบเล็ดลอดทะลุประตูจักรวาลมายังจักรวาลแห่งนี้ได้ และเมื่อเวลาได้ผ่านพ้นไปอย่างเนิ่นนานผนึกที่ฉันสร้างมันก็สูญเสียพลังไปจนเกือบหมดแล้ว”

ระหว่างที่ริเวอร์กำลังเล่าลินนิจก็ก้มศีรษะลงอย่างเศร้าสร้อย ย้อนกลับไปตอนนั้นเซียวกู๋ต้องใช้พลังเพื่อเปิดผนึกประตูจักรวาล ขณะที่ริเวอร์ก็ต้องใช้พลังทั้งหมดเพื่อปิดผนึกประตูจักรวาลด้วยเหมือนกัน แต่ในตอนนั้นเขากลับไม่สามารถปกป้องอาร์คเอาไว้ได้ ลินนิจจึงโทษตัวเองที่ทำให้เซี่ยเฟยต้องเติบโตขึ้นมาอย่างเดียวดายแบบนี้

“ฉันจำได้ว่าประตูจักรวาลเคยถูกเปิดออกครั้งหนึ่งแล้ว และมันก็คือเหตุผลที่ทำให้ดินแดนกฎตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของรีเวิร์สมาจนถึงทุกวันนี้ไม่ใช่เหรอ?” เซี่ยเฟยกล่าวถามพร้อมกับขมวดคิ้ว

“ตอนนั้นมันไม่ได้เรียกว่าประตูจักรวาลถูกเปิดออกหรอก มันแค่มีช่องว่างของประตูเปิดแง้มออกเล็กน้อย พวกรีเวิร์สที่เล็ดลอดเข้ามาก็มีจำนวนแค่นิดหน่อยเท่านั้น แต่ด้วยความแข็งแกร่งของพวกมันพวกผู้สร้างเลยเลือกที่จะยอมจำนน” ลินนิจกล่าวพร้อมกับส่ายหัว

“ผนึกที่ฉันสร้างช่วยลดทอนพลังของรีเวิร์สที่บุกเข้ามามาก ถ้าหากประตูจักรวาลถูกเปิดออกอีกครั้งจริง ๆ ฉันเกรงว่าถึงแม้ทั่วทั้งจักรวาลจะรวมพลังกัน แต่พลังของจักรวาลนี้ก็คงจะไม่สามารถต่อต้านพวกรีเวิร์สได้” ริเวอร์กล่าว

หลังจากนั้นริเวอร์กับลินนิจก็เริ่มพูดถึงตระกูลออโรร่าและพื้นที่นอกประตูจักรวาล โดยเหตุผลที่ตระกูลออโรร่าได้รับความเคารพก็ไม่ใช่ว่าพวกเขาเป็นตระกูลที่ทรงพลัง แต่เป็นเพราะออโรร่าคือตระกูลที่สง่างาม

ในมุมมองของเซี่ยเฟยความสง่างามคือเรื่องไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง หากใครกล้ามายั่วยุเขาหรือคนในตระกูลของเขา เขาก็จะสังหารศัตรูพวกนั้นให้หมด ซึ่งแนวความคิดของเขาค่อนข้างที่จะเข้ากับคนของสกายวิง เขาจึงไม่รู้เลยว่าความสง่างามมันจะมีประโยชน์ในสนามรบได้ยังไง

ว่ากันว่าออโรร่าไม่เคยยึดสมบัติของศัตรูเลยแม้แต่ชิ้นเดียว แต่เซี่ยเฟยยึดสมบัติเหล่านั้นเป็นสินสงครามของตัวเองอยู่เสมอ

ว่ากันว่าออโรร่าไม่เคยฆ่าใคร อย่างมากที่สุดพวกเขาก็แค่ทุบตีสั่งสอนกลับไปโดยไม่คิดว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรู เว้นแต่ว่าสถานการณ์นั้นจะเกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย พวกเขาจึงจะทำการสังหารศัตรูอย่างโศกเศร้า แน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมขัดแย้งกับอุปนิสัยของเซี่ยเฟยอย่างสิ้นเชิง เพราะชายหนุ่มจะทำการสังหารศัตรูทุกคนโดยไม่มีข้อยกเว้น

โดยสรุปก็คือตระกูลออโรร่าที่ลินนิจและริเวอร์บรรยายขึ้นมาถึงกับทำให้เซี่ยเฟยพูดไม่ออก เพราะคนพวกนี้เหมือนกับทำความดีไปวัน ๆ โดยไม่คิดที่จะมีความบาดหมางกับใครอื่นเลย

เมื่อมองไปยังตระกูลออโรร่าแล้วหันกลับมามองแม่เหล็กดูดปัญหาอย่างตัวเอง เซี่ยเฟยก็ถอนหายใจอย่างหนักก่อนที่จะกล่าวขึ้นมาว่า

“พวกคุณแน่ใจนะว่าฉันคือทายาทของตระกูลออโรร่าจริง ๆ?”

ทั้งลินนิจและริเวอร์ต่างก็พยักหน้าอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ลินนิจจะกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอันเคร่งขรึม

“พวกเรายืนยันเรื่องนี้ได้แน่ ๆ เพราะถึงแม้ว่านายจะมีสายเลือดของออโรร่าเพียงแค่ 25% แต่สายเลือดที่ทรงพลังของออโรร่าทำให้นายมีความได้เปรียบเมื่อต้องเผชิญหน้ากับพวกรีเวิร์ส ย้อนกลับไปเมื่อวันก่อนที่พวกผู้พิทักษ์หลายร้อยคนทำอะไรรีเวิร์สไม่ได้ แต่นายกลับสามารถสังหารรีเวิร์สได้ด้วยดาบเดียว นั่นก็เพราะพลังของเนอร์วาน่าและพลังที่แฝงอยู่ในสายเลือดของนาย”

เซี่ยเฟยไม่ต้องการที่จะพูดคุยถึงเรื่องตระกูลออโรร่าอีกต่อไป เพราะแนวคิดของตระกูลนี้ขัดต่อหลักการใช้ชีวิตของเขามาก ในความเห็นของเขาการอยู่กับสกายวิงก็ดีอยู่แล้ว เพราะหลักการในการใช้ชีวิตของสกายวิงมีความเหมาะสมกับเขามากกว่า

แม้ว่าวันหนึ่งเขาจะข้ามผ่านประตูจักรวาลไปเยี่ยมตระกูลออโรร่าได้ แต่เขาก็กลัวว่าตัวเองจะถูกมองว่าเป็นตัวประหลาดของตระกูล เพราะบุคลิกของเขากับชาวออโรร่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง จนแทบที่จะไม่มีส่วนไหนพิสูจน์ได้ว่าเขาคือชาวออโรร่าได้เลยจริง ๆ

“เอาล่ะเรามาพูดกันถึงเรื่องพื้นที่สมองส่วนที่ 7 กับตราประทับสีทองกันดีกว่า ทำไมทุกอย่างถึงเปลี่ยนไปหลังจากที่มันมีตราประทับสีทองปรากฏขึ้นมาในสมองของฉัน?” เซี่ยเฟยเปลี่ยนเรื่องถาม

“การที่คุณมีโซลมาร์คปรากฏขึ้นมาในตอนนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ามหัศจรรย์มาก ย้อนกลับไปก่อนที่พวกเราจะเดินทางเข้ามา สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในจักรวาลยังไม่เคยเปิดพื้นที่สมองส่วนที่ 7 ขึ้นมาก่อนเลย แต่การระเบิดของอาร์คทำให้สิ่งมีชีวิตเริ่มเกิดการกลายพันธุ์” ริเวอร์กล่าว

“อาร์คมีพลังขนาดนั้นเลยเหรอ?” เซี่ยเฟยถามอย่างสงสัย

“คุณอย่าลืมว่าอาร์คคืออุปกรณ์วิญญาณขนาดใหญ่ที่มีความคิดอย่างอิสระ มันคือศูนย์รวมความรุ่งเรืองของออโรร่า ถ้าหากว่ามันไม่ได้มีพลังมากขนาดนั้น แล้วเราจำเป็นจะต้องเสียสละชีวิตของนักรบเพื่อเป็นวิญญาณอมตะคอยควบคุมยานรบในระดับนี้ด้วยเหรอ?” ริเวอร์กล่าว

เมื่อพูดมาถึงเรื่องนี้ลินนิจก็เชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ เพราะสาเหตุที่เขาถูกเลือกให้เป็นวิญญาณคอยพิทักษ์อาร์ค นั้นก็เพราะว่าตอนนั้นเขาเป็นนักรบที่แข็งแกร่งมากจนถูกรับเลือก

ระหว่างนั้นเซี่ยเฟยก็อดที่จะจับจ้องมองไปยังลินนิจไม่ได้ เพราะวิญญาณดวงนี้ฟื้นฟูความทรงจำกลับมาตั้งนานแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับเลือกจะซ่อนข้อมูลทุกอย่างไม่ยอมเล่าเรื่องพวกนี้ให้เขาฟังเลย

อาร์คถือได้ว่าเป็นสมบัติของตระกูลออโรร่า หลังจากที่ยานลำนี้ระเบิดออกไปพลังงานก็กระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาล สิ่งมีชีวิตทั้งหมดจึงเริ่มเกิดการกลายพันธุ์ ซึ่งผู้สร้างทั้ง 13 ก็คือกลุ่มคนที่ได้รับประโยชน์จากการระเบิดของอาร์คมากที่สุด

คนกลุ่มนี้ได้รับการเปิดพื้นที่สมองส่วนที่ 7 เป็นกลุ่มแรก ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มควบคุมพลังในร่างกายและกลายมาเป็นนักรบในระดับพระเจ้าอย่างในปัจจุบัน

ระหว่างการสนทนาลินนิจกับริเวอร์ก็ดูเหมือนกับจะมีอะไรบางอย่างอยู่ภายในใจ แต่พวกเขายังพูดอะไรออกมาไม่หมด

“จักรวาลกว้างใหญ่ขนาดนี้ ทำไมมันถึงมีนักรบระดับพระเจ้าอยู่เพียงแค่ 14 คนเท่านั้น ถึงแม้จะนับรวมคนที่ตายไปในอดีตแต่มันก็มีพระเจ้าอยู่เพียงแค่ 41 คนเท่านั้นเอง” เซี่ยเฟยถามอย่างสงสัย

“เรื่องนี้ต้องเริ่มต้นมาจากต้นกำเนิดของพลัง สิ่งมีชีวิตในจักรวาลนี้ได้เรียนรู้การใช้พลังจากร่างกายของตัวเองเท่านั้น โดยไม่รู้ว่านอกเหนือจากร่างกายแล้วพวกเขายังสามารถใช้พลังจากวิญญาณได้อีกด้วย”

“เมื่อร่างกายได้รับการฝึกฝนจนถึงขีดสุด พวกเขาก็จะพัฒนาจนกลายเป็นจอมกฎที่สามารถควบคุมพลังจักรวาลด้วยร่างกายของตัวเอง”

“การพัฒนาไปเป็นพระเจ้าหมายความว่านักรบคนนั้นได้พัฒนาร่างกายจนถึงขีดจำกัดและเริ่มใช้พลังวิญญาณได้บ้างแล้ว แต่การใช้พลังวิญญาณยากกว่าการใช้พลังจากร่างกายมาก เพราะท้ายที่สุดวิญญาณก็เป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้และไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า”

“คุณได้เห็นแล้วใช่ไหมว่ากว่าที่เซี่ยกู่เฉิงจะพัฒนากลายเป็นพระเจ้าได้ เขาจำเป็นจะต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อพัฒนาการใช้พลังวิญญาณ และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมมันถึงแทบจะไม่มีนักรบในระดับนี้ปรากฏตัวขึ้นมาในจักรวาลแห่งนี้เลย” ริเวอร์อธิบาย

“นักรบส่วนใหญ่ยังยึดติดกับการฝึกฝนร่างกายอย่างเดียวสินะ มันจึงทำให้พวกเขายังไม่สามารถเข้าถึงพลังวิญญาณซึ่งเป็นระบบพลังอีกระบบหนึ่งของนักรบได้”

“ว่าแต่ฉันเพิ่งเลื่อนระดับมาเป็นราชันย์ขั้นที่ 5 เองไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมมันถึงมีตราประทับสีทองปรากฏขึ้นในสมองของฉัน” เซี่ยเฟยถาม

“ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสายเลือดออโรร่าและอีกส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะประสบการณ์ในการใช้ชีวิตของนาย ตลอดเวลาที่ผ่านมานายได้ผ่านบททดสอบแห่งความตายมาเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งจิตใจอันแข็งแกร่งไม่ยอมแพ้ต่อความตายได้ผลักดันให้โซลมาร์คถูกเปิดออกมา” ลินนิจกล่าว

เซี่ยเฟยพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ แต่ในระหว่างที่เขากำลังจะตั้งคำถามอีกครั้ง จู่ ๆ ร่างกายของเขาก็เริ่มร้อนขึ้นมาอย่างกะทันหันราวกับว่ามีคนโยนเขาลงไปในน้ำเดือด

ลินนิจกับริเวอร์ดูไม่แปลกใจกับเหตุการณ์นี้เลยราวกับว่าพวกเขารอคอยช่วงเวลานี้มานานแล้ว

“เอาล่ะถึงเวลาที่คุณจะต้องเลือกแล้วว่าคุณจะเป็นโซลฮันเตอร์หรือโซลอีทเตอร์” ริเวอร์กล่าวขึ้นมาอย่างตื่นเต้น

***************

ทุกคนคิดว่าพี่เฟยจะเลือกอะไร? ว่าแต่มันต่างกันยังไงก่อนนน

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ติดตามเราได้ที่

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ คัดลอก หรือนำไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนแล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบนิยาย เรื่องสั้น บทความ หรือเนื้อหาอื่นๆ ที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ที่ keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018- keangun. All Rights Reserved.