บทที่ 10: จวนมหาเสนาบดีไม่ต้อนรับเรา
หลังจากผ่านงานแต่งมาได้ 3 วัน เฟิ่งมู่ชิงก็ต้องกลับไปเยี่ยมบ้านเดิมซึ่งเป็นประเพณีดั้งเดิมที่สืบต่อกันมา
ยามนี้นางกำลังจัดข้าวของแบบขอไปที ขณะเดียวกันนางก็เฝ้าดูของกล่องแล้วกล่องเล่าที่ถูกบ่าวในจวนขนขึ้นไปบนรถม้าด้วยหัวใจที่ปวดร้าว
“ชิงชิง เจ้าชอบของเหล่านี้หรือไม่?”
หญิงสาวที่ได้ยินจวินหรูเย่ถามก็ถอนหายใจออกมาก่อนจะบ่นกับเขาว่า “จวนมหาเสนาบดีไม่คู่ควรกับสิ่งดี ๆ มากมายเช่นนี้หรอกเพคะ”
ไม่ใช่ว่านางหวงแหนข้าวของเหล่านี้ แต่เมื่อคิดว่าจะต้องมอบของทั้งหมดให้กับคนสกุลเฟิ่งมันก็ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ
มันสิ้นเปลืองเกินไป!
“จริง ๆ แล้ว… ข้าไม่ได้รังเกียจที่จะเก็บของพวกนี้ไว้เองหรอกนะ” ชายหนุ่มกล่าว
ขณะนั้นดวงตาของเฟิ่งมู่ชิงยังคงจับจ้องไปที่กล่องน้อยใหญ่พลางเดินวนไปรอบ ๆ ก่อนจะคร่ำครวญด้วยความขุ่นเคืองใจ
“ไม่เอาไปไม่ได้หรือเพคะ? อย่างไรเสีย ตอนที่หม่อมฉันอยู่ที่นั่นก็ไม่เคยเห็นสิ่งดี ๆ อะไรเลย หม่อมฉันว่าพวกเราไม่ต้องเอาไปหรอกเพคะ”
จวินหรูเย่มองดูเฟิ่งมู่ชิงที่มีท่าทางออดอ้อนอย่างตลกขบขัน เขารู้สึกเอ็นดูท่าทีของนางในตอนนี้มาก หลังจากนั้นเขาจึงอธิบายความตั้งใจของตัวเองให้นางฟัง
“การที่ข้าส่งสิ่งของมากมายไปยังจวนมหาเสนาบดีก็เพื่อต้องการแสดงให้ทุกคนเห็นว่าข้าสนับสนุนเจ้า”
“มันไม่คุ้มหรอก ลืมมันไปเสียเถิดเพคะ หม่อมฉันไม่สนใจชื่อเสียงจอมปลอมพวกนั้นเลย นอกจากนี้ชื่อเสียงเดิมของหม่อมฉันก็ใช่ว่าจะดี อีกอย่างหม่อมฉันไม่อยากให้คนตระกูลนั้นเอาเปรียบพวกเรา”
เฟิ่งมู่ชิงยังคงพยายามโน้มน้าวให้ชายตรงหน้าเปลี่ยนใจ ซึ่งจวินหรูเย่ที่ได้ฟังเหตุผลของหญิงสาวก็เริ่มคล้อยตาม หลังจากหยุดคิดครู่หนึ่ง เขาก็ตัดสินใจได้ในที่สุด
“ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล” ถัดมา ชายหนุ่มหันไปบอกบ่าวรับใช้ที่กำลังขนของอยู่ว่า “เอาของพวกนี้ไปเก็บ”
เมื่อโม่อิ๋งที่ยืนอยู่ด้านข้างมองไปยังผู้เป็นนายซึ่งจู่ ๆ ก็ไร้เหตุผลขึ้นมาเสียอย่างนั้น เขาก็รู้สึกเอือมระอา
เจ้านายที่ฉลาดและทรงพลังของข้ากลายเป็นคนเชื่อฟังภรรยาไปเสียแล้ว
แต่พอคิดดูอีกที คนในจวนมหาเสนาบดีเฟิ่งก็ไม่คู่ควรกับของดี ๆ เหล่านี้จริง ๆ
ครั้นพอเฟิ่งมู่ชิงและคนอื่น ๆ ออกเดินทางก็เป็นเวลาสายแล้ว ทำให้ชาวบ้านมากมายต่างก็มาเฝ้าดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น
จากนั้นเหล่าพ่อค้าแม่ค้าและเหล่าทหารลาดตระเวนก็พากันถอนหายใจเมื่อเห็นรถม้าอันโดดเดี่ยวของจวนผู้สำเร็จราชการฯ
“วันนี้คือวันที่พระชายาผู้สำเร็จราชการฯ จะต้องกลับไปเยี่ยมบ้านเดิมไม่ใช่หรือ เหตุใดพระองค์ถึงไปมือเปล่าเช่นนี้?”
“นั่นสิ มีเพียงแค่รถม้าคันเดียวเอง นี่มันหมายความว่าพระชายาไม่ได้รับความโปรดปรานอย่างนั้นหรือ?”
ยามนี้ความคิดเห็นต่าง ๆ จากผู้คนบนท้องถนนลอยเข้าไปถึงหูของคนที่อยู่บนรถม้า
“ชิงชิง—”
“ท่านผู้สำเร็จราชการฯ พระองค์เรียกหม่อมฉันว่ามู่ชิงเถิดเพคะ” จวินหรูเย่กำลังจะพูดปลอบใจเฟิ่งมู่ชิงแต่กลับถูกนางขัดจังหวะเสียก่อน
นับตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องในวังหลวง ชายคนนี้ก็เอาแต่เรียกนางว่าชิงชิงมาตลอดโดยไม่ยอมกลับไปเรียกนางเช่นเดิมเลย
หญิงสาวไม่เคยคิดว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะสนิทสนมกันถึงขั้นนั้น อย่างมากที่สุด พวกเขาก็ถือได้ว่าเป็น… สหายกัน ดังนั้นการเรียกนางด้วยชื่อเล่นแบบนี้มันทำให้นางขนลุกไปทั้งตัว
ในขณะเดียวกันนั้นเอง จวินหรูเย่ก็รู้สึกราวกับว่าเขาถูกเข็มนับพันเล่มทิ่มแทงเข้าที่หัวใจ “ข้าแค่คิดว่าชิงชิงฟังดูดีแล้ว เช่นนั้นจากนี้ไปเจ้าก็เรียกข้าว่าหรูเย่เถอะ เรียกว่าผู้สำเร็จราชการฯ นั้นดูห่างเหินมากเกินไป แล้วอีกอย่าง เจ้าพูดกับข้าแบบปกติเถอะ ไม่ต้องสุภาพกับข้ามากก็ได้”
แม้ว่าในเวลานี้ท่าทางภายนอกของจวินหรูเย่จะดูปกติ แต่ความจริงแล้วมือของเขาที่อยู่เหนือเข่ากำลังเหงื่อออกเพราะความประหม่า
โดยเฉพาะสถานการณ์ ณ ตอนนี้ที่นางไม่อยากให้เขาเรียกนางอย่างสนิทสนม ทว่าเขาก็ยังอยากเข้าใกล้อีกฝ่ายให้มากขึ้นอีก
“เราถือว่าเป็นสหายกันใช่หรือไม่?” ด้วยความกลัวว่าเฟิ่งมู่ชิงจะปฏิเสธ จวินหรูเย่จึงหาเหตุผลมาโน้มน้าวนางอย่างรวดเร็ว
พอหญิงสาวได้ยินคำถามของชายหนุ่ม นางก็ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้าและไม่คัดค้านอีกต่อไป
มันก็แค่ชื่อไม่ใช่หรือ เรียกอะไรก็คงไม่สำคัญหรอก ข้าไม่ได้เรื่องมากขนาดนั้น
“คนฉลาดย่อมไม่เชื่อข่าวลือ เจ้าไม่จำเป็นต้องไปสนใจคำพูดเหล่านั้น” ชายหนุ่มที่เห็นว่าพระชายาของตนเห็นด้วยกับตัวเองแล้วก็รีบเปลี่ยนเรื่องมาปลอบใจนางทันที
“วางใจได้ ข้าไม่ได้เก็บมันมาใส่ใจอยู่แล้ว”
ครั้นจวินหรูเย่เห็นว่านางไม่ได้มีท่าทีผิดปกติอะไรจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
…
เวลาผ่านไปไม่นานทั้งคู่ก็เดินทางมาถึงจุดหมาย ทว่าเนื่องจากประตูของจวนมหาเสนาบดีถูกปิดอย่างหนาแน่น จึงทำให้รถม้าของจวนผู้สำเร็จราชการฯ ต้องจอดรออยู่ข้างหน้า ส่งผลให้ผู้คนที่ผ่านไปมาต่างหยุดดูความสนุกที่กำลังจะเกิดขึ้น
พอเฟิ่งมู่ชิงเห็นประตูจวนที่ปิดสนิทไร้การเคลื่อนไหว นางก็เย้ยหยันในใจก่อนจะหันไปสบตากับสามีหนุ่มที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แล้วพูดขึ้นว่า
“ดูเหมือนว่าจวนมหาเสนาบดีจะไม่ต้อนรับข้า”
สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ทำให้ใบหน้าของจวินหรูเย่มืดครึ้มราวกับท้องฟ้ายามมีพายุและรัศมีความหนาวเย็นก็แผ่ออกมาโดยรอบ จากนั้นเขาจึงตะโกนสั่งลูกน้องคนสนิทด้วยความโกรธ
“โม่อิ๋ง เปิดประตู!”
โม่อิ๋งที่ได้ยินก็ขานรับคำสั่งเสียงเข้มก่อนจะควบแน่นเปลวไฟในมือของเขาแล้วขว้างไปยังประตูจวนสกุลเฟิ่งทันที
ปัง!
ในชั่วพริบตา ประตูใหญ่ที่ดูแข็งแรงก็ล้มลงกับพื้นจนเศษไม้และฝุ่นผงกระจายออกเป็นวงกว้าง
การเคลื่อนไหวอย่างอึกทึกครึกโครมที่หน้าประตูใหญ่ส่งเสียงรบกวนเฟิ่งเทียนหลิงที่กำลังพักผ่อนอยู่ในจวน เขาจึงรีบพาคนกลุ่มหนึ่งไปที่หน้าประตู
เมื่อเจ้าของจวนเห็นร่างสตรีในชุดสีแดงเพลิงที่ยืนอยู่นอกประตู เขาก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ จนกระทั่งเขาเห็นจวินหรูเย่ที่นั่งอยู่บนรถเข็นก็ทำให้เขาตกใจกลัวเป็นอย่างมาก
“กระหม่อมไม่ทราบว่าท่านผู้สำเร็จราชการฯ จะมาที่นี่ ทำให้ไม่ได้เตรียมการต้อนรับพระองค์ หวังว่าท่านผู้สำเร็จราชการฯ จะอภัยให้กระหม่อม” เฟิ่งเทียนหลิงรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อกล่าวขอโทษผู้มาเยือน
จวินหรูเย่ที่ได้ยินอีกฝ่ายกล่าวอ้างเช่นนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ดูเหมือนว่าท่านมหาเสนาบดีเฟิ่งจะไม่เต็มใจต้อนรับข้าและพระชายาสักเท่าไหร่”
คำพูดของชายหนุ่มทำให้มหาเสนาบดีเฟิ่งหันไปมองหญิงสาวที่สวมชุดสีแดงเพลิงด้วยสายตาเหลือเชื่อ
พระชายา!
เป็นไปได้อย่างไร พระชายาผู้สำเร็จราชการฯ ไม่ใช่เฟิ่งมู่ชิงหรอกหรือ?
หรือว่า… สตรีผู้นี้คือคนสนิทของผู้สำเร็จราชการฯ ?!
ขณะนี้เฟิ่งเทียนหลิงลอบมองไปยังสตรีที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างระมัดระวังอีกครั้ง ก่อนจะพบว่านางดูค่อนข้างคุ้นตา แต่เขากลับนึกไม่ออกว่านางคือใคร
“กระหม่อมขอบังอาจถามว่าสตรีผู้นี้เป็นใครหรือ?”
เมื่อเฟิ่งมู่ชิงได้ยินดังนั้นก็รู้สึกว่ามันช่างตลกสิ้นดี ดูเหมือนว่าบิดาของนางจะทอดทิ้งตนนานเกินไป คนผู้นี้เลยจำลูกสาวตัวเองไม่ได้ทั้งที่นางมายืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้วแท้ ๆ
“มหาเสนาบดีเฟิ่งพออายุเยอะแล้วก็เลอะเลือนเสียจริง ข้าไม่ได้เจอท่านเพียงแค่ 3 วัน ท่านก็จำข้าไม่ได้เสียแล้ว”
“อะไรนะ! เจ้าคือเฟิ่งมู่ชิงงั้นหรือ?!” เฟิ่งเทียนหลิงตกใจจนอุทานเสียงดัง
ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขารู้สึกคุ้นหน้านาง เหตุผลที่เขาจำนางไม่ได้ในทันทีเป็นเพราะใบหน้าส่วนที่อัปลักษณ์ของนางถูกหน้ากากอันประณีตปกปิดไว้มิดชิด แต่พอมองดูอีกครั้งจึงเห็นใบหน้าอีกครึ่งที่ไม่ได้ถูกปิดบังซึ่งดูคล้ายคลึงกับหลานจิ้งโหรวมาก
ในเวลาเพียง 3 วัน เฟิ่งมู่ชิงก็เปลี่ยนไปราวกับพลิกฝ่ามือ มันไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาจะจำนางไม่ได้
เพี้ยะ! เพี้ยะ! เพี้ยะ!
ก่อนที่เฟิ่งเทียนหลิงจะฟื้นตัวจากอาการตกใจ เขาก็ถูกโม่อิ๋งตบไปที่ใบหน้าแรง ๆ ถึง 3 ครั้ง
“นามของพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ มิใช่สิ่งที่เจ้าจะสามารถเรียกได้โดยตรง” จวินหรูเย่พูดด้วยท่าทีเย็นชา
เมื่อมหาเสนาบดีเฟิ่งได้ยินน้ำเสียงดุดันเอ่ยขึ้น เขาก็ได้สติแล้วรีบตอบสนองทันที
“เป็นความประมาทเลินเล่อของกระหม่อม ผู้สำเร็จราชการฯ และพระชายาได้โปรดยกโทษให้กระหม่อมด้วยเถิด”
“ในเมื่อมหาเสนาบดีเฟิ่งไม่ต้อนรับข้าและพระชายา ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็กลับกันเถอะ” จวินหรูเย่ไม่ได้ใส่ใจคนตรงหน้าอีก เขาหันไปพูดกับเฟิ่งมู่ชิงก่อนจะหันหลังกลับไปที่รถม้า เฟิ่งเทียนหลิงที่เห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งไปเชื้อเชิญอีกฝ่ายให้เข้าไปในจวนของตนทันที
“ช้าก่อน อย่างไรเสีย พระองค์ก็มาเยือนถึงที่แล้ว เชิญเข้ามาพักผ่อนในจวนของกระหม่อมก่อนเถิด” ตอนนี้หน้าผากของชายวัยกลางคนเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ เขาเป็นถึงหัวหน้าขุนนาง หากเรื่องนี้รู้ถึงหูฮ่องเต้แล้วละก็… เขาจะมีหน้าไปเข้าเฝ้าพระองค์ได้อย่างไร
ครั้นพอจวินหรูเย่เห็นอีกฝ่ายมีท่าทีลุกลี้ลุกลน เขาก็ยกยิ้มมุมปากแสดงความพึงพอใจก่อนจะเคลื่อนตัวเลี่ยงเฟิ่งเทียนหลิง แล้วบังคับรถเข็นตรงเข้าไปยังจวนมหาเสนาเสนาบดี ส่วนเฟิ่งมู่ชิงที่เดินตามไปก็สังเกตเห็นถึงความหวาดกลัวในดวงตาของบิดาไร้หัวใจ นางจึงยิ้มเยาะอีกฝ่าย
อย่ารีบร้อน หนทางยังอีกยาวไกล
…
หลังจากนั้นไม่นาน เฟิ่งมู่ชิงที่นั่งฟังจวินหรูเย่กับมหาเสนาบดีเฟิ่งพูดคุยกันมาสักพักก็รู้สึกเบื่อหน่ายจึงคิดที่จะออกไปเดินผ่อนคลายข้างนอก
“พวกท่านคุยกันต่อเถอะ ข้าจะออกไปเดินเล่นสักหน่อย” พอพูดจบนางก็ลุกขึ้นเดินออกไปโดยไม่รีรอให้ใครเอ่ยปากอนุญาต
ขณะเดียวกัน จวินหรูเย่ที่ได้ยินเสียงหวานเอ่ยขึ้นก็ยิ้มให้กับหญิงสาวด้วยความเอ็นดู แต่หลังจากร่างของนางหายลับไปจากสายตา รอยยิ้มบนใบหน้าของชายหนุ่มก็พลันหายไปแล้วกลับมาเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินที่แสนเย็นชาและเหี้ยมโหดทันที
…
ยามนี้เฟิ่งมู่ชิงเดินเข้าไปในสวนที่อยู่บริเวณหลังจวนพลางมองไปรอบ ๆ เมื่อบ่าวรับใช้ที่พบระหว่างทางมองเห็นนาง พวกเขาต่างก็วิ่งหนีด้วยความหวาดกลัว ทำให้หญิงสาวส่ายหน้าพร้อมกับรู้สึกตลกขบขัน
แม้ว่าชีวิตของนางจะไม่เป็นที่น่าพอใจนัก แต่นางไม่ใช่คนที่ไม่สามารถแยกแยะถูกผิดได้
“นางคือคุณหนูใหญ่ใช่หรือไม่? ตอนนี้นางสวยขึ้นมาก”
“ในจวนผู้สำเร็จราชการฯ ย่อมต้องมีของดี ๆ มากมายให้บำรุง ข้าคิดว่านางต้องได้รับความโปรดปรานจากผู้สำเร็จราชการฯ มากแน่ ๆ ไม่งั้นนางจะเปลี่ยนไปภายในเวลาเพียงแค่ 3 วันได้อย่างไร หากเจ้าไม่บอกข้า ข้าคงไม่เชื่อว่านี่คือคุณหนูใหญ่ที่เคยอาศัยอยู่ในเป่ยหยวน”
ระหว่างที่เฟิ่งมู่ชิงชะลอฝีเท้าพร้อมกับเงี่ยหูฟังเสียงโดยรอบ นางก็เผอิญได้ยินบทสนทนาของสาวใช้ที่อยู่ด้านหลังนาง
เดิมทีหญิงสาวเพียงแค่อยากจะรู้ว่าเฟิ่งหวานหว่านอยู่ที่ไหน แต่นางไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ยินบ่าวรับใช้พูดถึงตัวเอง
หลังจากเฟิ่งมู่ชิงเดินเล่นอยู่พักใหญ่ นางก็ยังไม่พบน้องสาวของตน หญิงสาวจึงเดินเตร็ดเตร่ไปรอบ ๆ อย่างโจ่งแจ้ง พลางคิดว่าอีกเดี๋ยวสตรีนางนั้นก็คงจะวิ่งเข้ามาหานางเอง
“เฟิ่งมู่ชิง!!”
จู่ ๆ เสียงคำรามราวกับสัตว์ร้ายก็ดังขึ้นจนฝ่ายที่ได้ยินรู้สึกแสบแก้วหู พร้อมกับการปรากฏตัวของสตรีร่างบอบบางที่รีบปรี่เข้ามาจนทำให้สาวใช้วิ่งตามนางแทบไม่ทัน
เมื่อเฟิ่งมู่ชิงเห็นเฟิ่งหวานหว่านมายืนอยู่เบื้องหน้า ใบหน้าของหญิงสาวก็เต็มไปด้วยความสุข นางคาดไว้แล้วว่าคนผู้นี้ไม่มีทางพลาดโอกาสที่จะจัดการกับตนแน่นอน
และพอเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามมีพลังมากแค่ไหน นางก็รู้ได้ทันทีว่าเฟิ่งเทียนหลิงคงจะสรรหาของดี ๆ มากมายมาปรนเปรอลูกสาวสุดที่รักของเขาแบบไม่ให้ขาดมือ
“ตอนนี้ข้าคือพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ ส่วนเจ้าเป็นเพียงแค่ลูกสาวของมหาเสนาบดี เจ้ายังกล้ากำเริบเสิบสานกับข้าอีกงั้นหรือ?” เฟิ่งมู่ชิงพูดกับอีกฝ่ายพลางยิ้มเย้ยหยัน
ในตอนที่เฟิ่งหวานหว่านวิ่งเข้ามา นางก็ได้สังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของเฟิ่งมู่ชิงแล้ว ผิวที่เคยเหลืองซีดและหยาบกร้านกลับดูนุ่มนวลเรียบเนียนราวกับไข่ปอก อีกทั้งหน้ากากบนใบหน้าไม่เพียงปกปิดรอยดำที่น่าเกลียดน่ากลัว แต่ยังเพิ่มเสน่ห์ให้กับผู้สวมใส่อีกด้วย ซึ่งมันทำให้นางรู้สึกไม่พอใจมากยิ่งขึ้น
“เฮอะ! ไก่ฟ้าก็อยากเป็นหงส์เหมือนกันสินะ?” คุณหนูรองแห่งตระกูลเฟิ่งจ้องเขม็งไปที่หน้ากากดอกปี่อั้นอันงดงามพร้อมกับพูดเสียดสีคนตรงหน้า
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: วงวารพี่หรูเย่ ตอนนี้ก็เป็นสหายกันไปก่อนเนาะ 5555
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 205
แสดงความคิดเห็น