บทที่ 3: เจ้าสาวที่ถูกกักขังไว้ในที่มืด
อันที่จริงละครบทต่อไปจะต้องได้รับความร่วมมือจากชายผู้สูงศักดิ์ผู้นี้ด้วย แต่ดูเหมือนว่าเขามัวแต่จดจ่อกับละครมากเกินไปจนไม่รู้ตัวว่าตนเองจะต้องเข้าฉากแล้ว
ในจังหวะที่ไม่มีใครทันสังเกตเห็น เฟิ่งมู่ชิงเหลือบมองไปทางจวินหรูเย่เพื่อเป็นการส่งสัญญาณเตือน
ขั้นตอนต่อไปขึ้นอยู่กับพระองค์แล้ว
ชายหนุ่มเข้าใจในสิ่งที่หญิงสาวต้องการจะสื่อความหมายผ่านสายตาคู่นั้นที่มองมายังตนโดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องอธิบาย ซึ่งท่าทางของนางทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขันเล็กน้อย
ช่างเป็นสตรีที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ
จากนั้นจวินหรูเย่ก็ละความสนใจจากเฟิ่งมู่ชิงก่อนจะหันกลับมาสนใจสตรีที่ใจกล้าปลอมตัวเป็นว่าที่เจ้าสาวเข้ามาหลอกตนเอง
‘เฟิ่งหวานหว่าน’ งั้นหรือ?
ปรากฏว่าเป็นเฟิ่งหวานหว่านผู้โด่งดังในเมืองหลวงผู้นั้นเองสินะ
ตระกูลเฟิ่งวางแผนจะทำอะไรกันแน่?
ในเวลาเดียวกัน ทุกคนต่างก็ตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง จากงานเลี้ยงมงคลสมรสที่เคยมีเสียงอึกทึกครึกโครมกลับกลายเป็นเงียบสงัดจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจของกันและกัน
ทางด้านเฟิ่งหวานหว่านยกมือขึ้นปิดบังใบหน้าของตนเองด้วยความตื่นตระหนก พลางใช้หางตามองไปยังว่าที่เจ้าบ่าว
ท่าทีของจวินหรูเย่ในตอนนี้ดูเย็นชามาก เมื่อเขาสังเกตเห็นถึงการแอบมองของเฟิ่งหวานหว่าน ดวงตาที่เฉียบคมก็มองตอบกลับไปก่อนจะปล่อยพลังธาตุไฟออกมาเผาหน้ากากในมือของเขาจนไม่เหลือแม้แต่เถ้าถ่าน
“คุณหนูรองเฟิ่ง ช่วยอธิบายให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่?”
ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ทำให้ฝ่ายที่ได้ยินรู้สึกสั่นสะท้านในใจ
ยามนี้ดวงตาของนางร้อนผ่าว ไม่นานแก้มทั้งสองข้างก็อาบไปด้วยน้ำตา นางคุกเข่าแทบเท้าของจวินหรูเย่พร้อมกับจับชายเสื้อของเขาไว้แน่น
“ท่านผู้สำเร็จราชการฯ เป็นความผิดของหวานหว่านเอง หวานหว่านหลงรักพระองค์มานานแล้ว จึงคิดวิธีการแบบนี้ขึ้นมา ได้โปรดเพื่อเห็นแก่ความรักของหวานหว่าน โปรดอนุญาตให้หวานหว่านแต่งงานกับพระองค์ด้วยเถิดเพคะ”
“เหลวไหล! มีสตรีในเป่ยอี้ตั้งกี่คนที่ชื่นชมข้า หากข้าเห็นด้วยกับคำร้องขอของเจ้า ข้าไม่ต้องแต่งพวกนางเข้ามาจนล้นจวนหรอกหรือ?”
จวินหรูเย่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ดวงตาของเขาเวลานี้ราวกับมีไฟลุกโชนอยู่ภายใน
“หรือว่าเรื่องคราวนี้มหาเสนาบดีเฟิ่งจะมีส่วนร่วมด้วย?”
ทันทีที่เฟิ่งหวานหว่านได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย นางก็หยุดชะงักอยู่ชั่วครู่ก่อนจะส่ายหัวปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า “เรื่องนี้เกิดขึ้นจากความสับสนของหวานหว่านเอง ไม่เกี่ยวกับท่านพ่อ”
“เจ้าแน่ใจหรือ?”
จวินหรูเย่ไม่ใช่คนโง่ คุณหนูรองของตระกูลเฟิ่งไม่สามารถทำเรื่องแบบนี้ด้วยตัวคนเดียวได้ เขาคิดว่าเรื่องนี้จะต้องมีคนอยู่เบื้องหลังแน่นอน
เพียงแต่ว่าตอนนี้ข้ายังไม่รู้ว่ามันเป็นใคร
ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเฟิ่งมู่ชิง
แล้วสตรีผู้นี้มีบทบาทอย่างไรกันแน่?
เมื่อเขาพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบัน นางไม่ใช่คนของเฟิ่งเทียนหลิงอย่างแน่นอน
“เฟิ่งหวานหว่าน หน้ากากนี้มีเฉพาะในเจียงหูเท่านั้น คนอย่างเจ้าไม่มีทางหามันมาได้ด้วยตัวเองแน่นอน” เฟิ่งมู่ชิงที่ทนฟังความเจ้าเล่ห์ของหญิงสาวใจคดตรงหน้าไม่ไหวจึงพูดขึ้นมาด้วยใบหน้าเย็นชา
เฟิ่งหวานหว่านผู้นี้มักจะสนุกอยู่กับการรังแกนางมานานกว่า 10 ปี ดังนั้นนางจึงตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะตอบโต้และไม่ยอมปล่อยโอกาสที่จะได้เล่นงานสตรีเลวทรามผู้นี้ให้หลุดลอยไปอย่างแน่นอน
เมื่อครั้งที่นางสำรวจสภาพร่างกายภายในของร่างเดิม นางพบว่าร่างกายนี้ไม่ได้เพียงถูกวางยาพิษเท่านั้น แต่ยังมีรอยแผลเป็นทั้งเก่าและใหม่อยู่ทั่วร่างมากมาย อีกทั้งมือของนางก็หยาบกร้านและแทบไม่มีเนื้อหนังเลยด้วยซ้ำ แม้แต่ส่วนสูงของนางก็ยังเตี้ยกว่าเฟิ่งหวานหว่านตั้งครึ่งหัว
นางเป็นบุตรสาวที่ชอบด้วยกฎหมายแต่กลับมีสภาพที่ย่ำแย่ยิ่งกว่าคนรับใช้เสียอีก
โชคดีที่นางซึ่งเป็นเฟิ่งมู่ชิงคนใหม่มาได้ทันเวลา
“ข้า…”
เฟิ่งหวานหว่านกำลังจะเอ่ยคำแก้ตัว แต่ก่อนที่นางจะได้ทันได้พูดอะไรออกมา จวินหรูเย่ก็เอ่ยขัดนางด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“โม่อิ๋ง เอาสตรีผู้นี้ออกไป”
สิ้นเสียงออกคำสั่งของชายหนุ่ม เงาสีดำขนาดใหญ่ก็ตกลงมายังพื้นทันที ก่อนจะพาเจ้าสาวตัวปลอมออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เฟิ่งหวานหว่านที่เห็นดังนั้นก็รู้สึกตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก นางต้องการร้องขอความเมตตา แต่กลับพบว่าคอของตนไม่สามารถส่งเสียงใด ๆ ออกมาได้
แม้คนในงานจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาง แต่เฟิ่งมู่ชิงนั้นมองเห็นได้อย่างชัดเจน
หญิงสาวสังเกตได้ว่าในขณะที่ ‘โม่อิ๋ง’ จับกุมตัวเฟิ่งหวานหว่านไป เขาใช้นิ้วกดไปที่จุดปิดเสียงของผู้ที่ถูกจับกุมก่อนนั่นเอง
ลูกน้องของจวินหรูเย่ช่างรอบคอบเสียจริง
เฟิ่งมู่ชิงคิดพลางอดถอนหายใจไม่ได้
“ในเมื่อความจริงเปิดเผยแล้ว งั้นหม่อมฉันขอตัวก่อน”
เมื่อหญิงสาวเห็นว่าเรื่องนี้จบลงแล้ว นางก็รู้สึกว่าการรั้งอยู่ที่นี่ต่อไปคงไม่มีประโยชน์อันใดอีก ดังนั้นนางจึงตั้งใจที่จะเดินกลับออกไป
“ช้าก่อน!”
เฟิ่งมู่ชิงที่ได้ยินเสียงเรียกของอีกฝ่ายก็หยุดชะงักชั่วคราว
นางหันกลับไปมองจวินหรูเย่ด้วยสีหน้าฉงนก่อนจะเอ่ยถามออกมาว่า “ไม่ทราบว่าพระองค์มีธุระอะไรกับหม่อมฉันอีกเพคะ?”
ชายผู้นี้ต้องการที่จะทำอะไรกันแน่?
“เจ้ารู้เรื่องแผนการครั้งนี้ด้วยหรือไม่?”
พอเฟิ่งมู่ชิงได้ยินคำถามจากชายผู้สูงศักดิ์ที่อยู่ตรงหน้า นางก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “เมื่อตอนที่หม่อมฉันรู้สึกตัว หม่อมฉันก็ถูกพาไปทิ้งไว้ที่ป่านอกเมืองแล้ว ไม่ว่าคนตระกูลเฟิ่งจะมีการส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่ แต่หม่อมฉันก็ถือว่าเป็นคนนอกสำหรับพวกเขาอยู่ดี หม่อมฉันไม่ได้รับรู้เรื่องราวอะไรทั้งสิ้น”
หลังจากจวินหรูเย่ได้รับคำตอบจากหญิงสาว นิ้วของเขาก็เคาะที่วางแขนของรถเข็นเบา ๆ พลางครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า
“ในเมื่อการแต่งงานครั้งนี้เป็นสมรสพระราชทานที่ได้รับพระราชโองการจากฮ่องเต้ เจ้ายังคิดว่าจะสามารถออกจากจวนผู้สำเร็จราชการฯ ไปได้อีกงั้นหรือ?”
ทันทีที่เฟิ่งมู่ชิงได้ยินเช่นนั้น นางก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก แต่พอใช้เวลาไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ตัดสินใจถามเขากลับไป “พระองค์อยากแต่งงานกับหม่อมฉันหรือเพคะ?”
“พระราชโองการของฮ่องเต้ไม่สามารถฝ่าฝืนได้”
สิ่งที่จวินหรูเย่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบทำให้เฟิ่งมู่ชิงเบิกตากว้างพร้อมทำหน้าประหลาดใจ นางไม่คิดว่าผู้ชายที่ดูเย่อหยิ่งผู้นี้จะยอมน้อมรับคำสั่งของผู้อื่นได้ง่าย ๆ
แม้ว่าก่อนหน้านี้นางเคยคิดอยากจะทำให้เขาเป็นคนของตนเอง แต่นางก็ไม่ได้คิดว่านางจะต้องเอาความสุขทั้งชีวิตไปแลกกับมัน
โลกนี้กว้างใหญ่ไพศาลมาก ยังมีอะไรสนุก ๆ ที่นางอยากทำอีกตั้งเยอะแยะ
แล้วนางจะมาติดแหง็กอยู่ในจวนแห่งนี้ได้อย่างไร!
บัดนี้เฟิ่งมู่ชิงรู้สึกขมขื่นในใจ แต่ไม่นานนางก็สงบสติอารมณ์ก่อนที่จะถามคำถามชายที่เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินว่า
“พระองค์มีสาวใช้อุ่นเตียงหรือนางสนมหรือไม่?”
“ไม่”
“พระองค์มีสตรีที่ชื่นชอบอยู่แล้วหรือไม่?”
“ไม่”
“ถ้าพระองค์ต้องการแต่งงานกับหม่อมฉัน ในชีวิตนี้พระองค์จะต้องมีหม่อมฉันเพียงผู้เดียวเท่านั้น”
“นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการเช่นกัน”
“หม่อมฉันเป็นคนขี้หึง”
“นั่นแสดงว่าเจ้าใส่ใจในตัวข้า”
“หม่อมฉันเป็นคนโหดเหี้ยม”
“เป็นเรื่องที่ดี เจ้าจะได้ไม่ถูกรังแก”
“...”
ปัจจุบันบรรดาแขกเหรื่อที่ยังอยู่ในงานต่างก็พูดอะไรไม่ออกหลังจากได้ฟังบทสนทนาของชายหญิงทั้งสอง
ในตอนนี้พวกเขาอยากจะเอ่ยคำลาและขอตัวกลับบ้านกันใจจะขาด แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดขัดจังหวะคนทั้งคู่
บรรยากาศแปลก ๆ แบบนี้มันคืออะไรกัน?
“ดูสิเพคะ มือของหม่อมฉันหยาบกร้านยิ่งกว่ามือของหญิงสาวที่ทำงานหนักมาทั้งชีวิต และร่างกายของหม่อมฉันก็เต็มไปด้วยรอยแผลเป็น ไม่ขาวเนียน ไร้รอยตำหนิเหมือนสตรีผู้สูงศักดิ์คนอื่น”
ขณะนั้นทุกคนจ้องมองไปยังมือของเฟิ่งมู่ชิงที่ชูให้ชายบนรถเข็นดูทำให้พวกเขาต่างก็พูดอะไรไม่ออก
ไม่มีใครในเป่ยอี้ที่ไม่รู้ว่าคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเฟิ่งไม่ได้รับความโปรดปราน แต่พวกเขาก็คาดไม่ถึงว่ามันจะเลวร้ายถึงเพียงนี้
เมื่อจวินหรูเย่เห็นสภาพมือของนางก็รู้สึกได้ถึงอารมณ์แปลก ๆ ที่ปะทุขึ้นในใจของเขา
ปรากฏว่าเขารู้สึกเจ็บปวดและสงสารสตรีตรงหน้า
“จากนี้ไป ตราบใดที่ข้ายังอยู่ที่นี่ จะไม่มีใครรังแกเจ้าได้”
คำพูดอันทรงพลังดั่งคำสัญญาดังก้องอยู่ในหูของหญิงสาวซึ่งมันทำให้เฟิ่งมู่ชิงพูดอะไรไม่ออก
ชายผู้นี้หมายความว่าอย่างไร?
ทำไมเขาถึงอยากเก็บข้าไว้?
เป็นไปได้ไหมที่ชายผู้นี้กำลังสงสัยในตัวของข้า?
เฟิ่งมู่ชิงคิดหาเหตุผลมากมายที่จะมาอธิบายการกระทำของอีกฝ่าย แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก
“เรื่องในวันนี้คงจะสืบสาวราวเรื่องไม่ได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน นอกจากนั้นแล้ว นี่ยังเป็นสมรสพระราชทาน ฉะนั้นในตอนนี้เจ้านับว่าเป็นพระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์”
ครั้นพอได้ยินชายหนุ่มอธิบาย เฟิ่งมู่ชิงก็ลูบคางพลางคิดตามคำพูดเหล่านั้น
ชีวิตของนางในจวนสกุลเฟิ่งไม่ได้ดีนักหรือจะเรียกว่ายากเย็นแสนเข็ญเลยก็ว่าได้ ซึ่งหากนางกลับไปที่นั่น เฟิ่งเทียนหลิงจะต้องตำหนินางเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้อย่างแน่นอน ดูเหมือนว่าการมีสถานะเป็นพระชายาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์นั้นมีประโยชน์ต่อตนเองมากกว่า
แต่นางแค่ไม่รู้ว่าชายตรงหน้ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
“สิ่งที่หม่อมฉันพูดก่อนหน้านี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น หม่อมฉันเป็นคนยึดถือในคำมั่นสัญญา และหม่อมฉันเกลียดคนไม่รักษาสัญญาที่สุด พระองค์เข้าใจใช่หรือไม่เพคะ?” หญิงสาวย้ำคำพูดของตัวเองอีกครั้ง
จวินหรูเย่พยักหน้าโดยไม่ลังเลก่อนจะยกยิ้มมุมปาก
“ถ้าอย่างนั้นเรามาเริ่มพิธีกันเถอะ”
ต่อมา เฟิ่งมู่เชิงเดินไปหยุดอยู่ข้าง ๆ จวินหรูเย่เพื่อทำให้พิธีแต่งงานเสร็จสมบูรณ์
ส่วนเจ้าพิธีที่ถูกขัดจังหวะมานานถึงกับลอบเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผากของเขา ก่อนจะกล่าวเริ่มพิธีอีกครั้งขณะที่ในใจอดพร่ำบ่นไม่ได้ว่า
งานสมรสในจวนผู้สำเร็จราชการฯ นั้นยากจริง ๆ
หลังจากที่ทุกคนได้เห็นเรื่องตลกในงานมงคลสมรสวันนี้ พวกเขาต่างก็ตกอยู่ในความรู้สึกหวาดหวั่น
นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่รู้ว่าผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์จะทำอะไรกับผู้ที่รู้เห็นเรื่องในวันนี้หรือไม่?
…
พระจันทร์เสี้ยวส่องแสงหนาวเย็นลอยสูงอยู่บนท้องฟ้า เงาของต้นไม้ไหวไปตามลมส่งเสียงคล้ายกับการบรรเลงเพลงขับกล่อมในค่ำคืนอันเงียบสงบ
ภายในจวนหลังใหม่
เฟิ่งมู่ชิงมองดูถั่วลิสง อินทผาลัม และของว่างอื่น ๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะหยิบพวกมันมากินเงียบ ๆ
วันนี้นางยังไม่ได้ดื่มน้ำเลยแม้แต่หยดเดียว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาหารที่ยังไม่ตกถึงท้องเลยสักมื้อ นางจึงกำลังหิวโหยเป็นอย่างมาก
หญิงสาวกลืนของว่างด้วยความยากลำบาก เนื่องจากขนมแห้ง ๆ เหล่านี้กลืนค่อนข้างยาก นางเลยหันไปคว้ากาสุราแล้วยกดื่มโดยตรง
“หึ ๆ”
อีกด้านหนึ่ง ทันทีที่จวินหรูเย่เข้ามาในห้อง เขาก็บังเอิญเห็นฉากที่เฟิ่งมู่ชิงกำลังกินของว่างบนโต๊ะ ทำให้ชายหนุ่มอดหัวเราะออกมาไม่ได้
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นสตรีที่ไม่สงวนท่าทีเวลากินเช่นนี้
เมื่อหญิงสาวได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย นางก็หยุดกินก่อนจะมองไปยังคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ด้วยความข้องใจ
“โม่อิ๋ง ให้ในครัวทำอาหารง่าย ๆ มาสักหน่อย”
พอจวินหรูเย่เห็นสีหน้าที่ดูไม่พอใจของพระชายา เขาจึงออกคำสั่งกับคนสนิทของตน เพียงชั่วอึดใจเฟิ่งมู่ชิงสังเกตเห็นเงาดำวูบวาบผ่านไปราวกับลมกระโชกแรง
ถัดมา ชายหนุ่มบังคับรถเข็นของตนไปทางเฟิ่งมู่ชิงช้า ๆ และเมื่อเห็นหญิงสาวตรงหน้าดื่มกินอย่างไม่มีท่าทีเอียงอาย เขาก็รู้สึกหิวขึ้นมาเล็กน้อย
“พระองค์ยังมีสุราเหลืออยู่อีกหรือไม่เพคะ?”
เฟิ่งมู่ชิงเอ่ยถามพลางเขย่ากาสุราไปมาให้อีกคนเห็นว่าในกาไม่มีสุราเหลืออยู่แม้แต่หยดเดียว
“นี่คือสุราเหอจิ่น” จวินหรูเย่กล่าวขึ้นมาเสียงขุ่น
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 306
แสดงความคิดเห็น