STARCIN ภาคที่ 7 Colosseum ตอนที่ 5 วันดี
“ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม?” เซนเดินผ่านกองเพลิงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแถมยังยื่นมือให้กับชายหนุ่มคู่ต่อสู้เป็นสัญญาณน้ำใจนักกีฬา
เขาปัดมือเซนทิ้งและเดินออกไปเงียบ ๆ แม้ท่าทางจะดูฉุนเฉียวแต่ก็พยายามเก็บเงียบไว้
“ช่วยลงมาจากสนามด้วยขอรับ เพราะคุณทำสนามพังดังนั้น...”
“เป็นภาพที่สวยงามจริง ๆ ต้องแบบนี้สิถึงจะสมกับเป็นสหายของข้า” กังพูดขัดชายชราผู้ดำเนินการประลองเสียก่อนอย่างกับคิดไว้แล้วว่าเขาจะพูดอะไร
เซนหัวเราะลั่น “ของมันแน่อยู่แล้วเพราะข้าคือเซนยังไงล่ะ”
หลังจากกล่าวจบเซนก็กระโดดลงจากสนามประลองวิ่งตรงไปหาพวกคานะทันทีเพื่อเฝ้ามองเรือนร่างของชายหนุ่มหน้านิ่งที่กำลังเดินตรงมา
“ฉันนึกแล้วว่านายต้องปลอดภัย” เซนทักก่อนใครพร้อมด้วยรอยยิ้มฉีกกว้าง
“ฉันก็ด้วย” เซนกำมือยื่นให้แต่ซึฮากิกลับไม่เล่นตามด้วยเขาจึงจับมือของซึฮากิชนด้วยตัวเองเลย
“กิจัง...” ฟรานจ้องมองตาไม่กะพริบถ้าไม่ติดที่อยู่ท่ามกลางสายตาของฝูงชนเธอคงกระโดดกอดไปแล้ว
“ฉันขอโทษที่ทำให้เรื่องมันใหญ่เกินควร...แต่อย่างน้อยเราก็ยังอยู่ดีนะ” ถ้าคนอื่นฟังคงเหมือนพูดให้มันผ่าน ๆ ไปไม่ได้ใส่ใจอะไรแต่พวกเขากลับตื้นตันที่ได้เห็นมุมเล็ก ๆ ซึ่งหาได้ยากของซึฮากิ
“สวัสดีค่ะ ! พี่เซน พี่คานะ พี่ยูกิ พี่สเตล่าแล้วก็พี่...ฟราน” คิโนริยิ้มทักทายแต่ก็ยังกอดแขนซึฮากิตลอดเพราะกลัวคนแปลกหน้า
“พวกเธอก็มาด้วยเหรอ ! ถึงเวลาผจญภัยแล้วสิ” เซนกระโดดเข้ามากลางวงเพื่อมองดูเด็กตัวน้อยที่กำลังตื่นเต้นกับที่แปลกตาและการกระทำบ้า ๆ บอ ๆ ของเซนช่วยให้พวกเธอผ่อนคลายลงได้มาก
“แบบนี้มันไม่เสี่ยงเกินไปใช่ไหม?” สเตล่าถาม
“แน่นอนว่าเสี่ยงฉันก็เลยต้องระวังเป็นพิเศษยังไงล่ะ อย่างน้อยพวกเขาก็ยังแข็งแกร่งกว่าตอนที่เราต้องเร่ร่อนอีกนะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องมาดวลกันสักหน่อยแล้วน้องเอน้องรอน”
คานะเขกหัวเซนเพื่อระงับความห้าวหาญก่อนจะลากตัวออกไป “คงอยากเพิ่มพูนประสบการณ์สินะ ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยอมนุษย์หลายเผ่าพันธุ์ก็เลยวางใจได้ว่าพวกเขาจะไม่เป็นจุดเด่น”
“ก็ใช่ เด็ก ๆ ยังต้องการประสบการณ์ที่คู่ควรอย่างการสู้กับอมนุษย์ด้วยกันเอง”
กังกระแอมคอก่อนจะกล่าวขัด “ข้าไม่อยากรบกวนนักหรอกแต่พวกเจ้าควรหาที่สงบ ๆ เสียก่อนเถอะ ดูสายตาของประชาชนเหล่านั้นสิ สายตาที่กำลังกระวนกระวาย สับสนและความงุนงงกำลังถาโถมมาที่พวกเจ้า”
“ก็ดีเพราะยังมีเรื่องต้องคุยกันอีกยาว” ซึฮากิจ้องมองกังตาไม่กะพริบมองดูท่าทางองอาจที่เหนือกว่าใคร
พวกเขาเดินฝ่าฝูงชนออกไปเขตชาญเมืองที่มีคนน้อยกว่า ส่วนใหญ่ที่นั่นจะเป็นที่พักอาศัยของเกษตรที่ต้องออกไปไร่ของตัวเองจึงต้องอยู่รอบนอกเขตเมืองเพื่อให้เดินทางได้รวดเร็ว
“บางสำนักก็ได้มาพักแถวนี้เหมือนกัน ลองดูนักสู้ที่ออกมาจากบ้านโทรม ๆ นั่นสิ พวกเขาเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่นานหรือไม่ก็ได้อันดับท้าย ๆ ของการแข่งขันจนไม่มีเงินสนับสนุน” กังส่งสายตาเวทนาแต่กลับยิ้มเยาะขัดแย้งกัน
“แถวนี้ก็เงียบดีออกแถมได้กลิ่นพวกดินสวนอะไรพวกนั้นด้วย” เซนตอบกลับ
“ว่าแต่นายพาพวกคิโนริมาได้ยังไง?” เซนพูดต่อ
“เครื่องบินไงถามได้ ถึงจะมีคนเมาเครื่องแต่ก็รอดมาได้...ใช่ไหมเอ”
เอพยักหน้าตอบไม่ได้พูดอะไร
เมื่อหาที่ทางนั่งพักทั้งเซนและซึฮากิก็เล่าเรื่องของตัวเองให้ฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง
“แหม ๆ น่าจะเรียกฉันไปด้วย สงครามในทุ่งหิมะจะได้เปลี่ยนเป็นแอ่งน้ำและจัดการด้วยสายฟ้าของคานะ”
คานะตกใจเอามือปิดปาก “ไม่น่าเชื่อว่านายจะคิดอะไรแบบนั้นได้ด้วย”
“ปัดโถ่ฉันก็ฉลาดเหมือนกันนะ”
เสียงหัวเราะคิกคักสนุกไปกับการเห็นคานะแกล้งเซนจนรู้ตัวอีกทีกังก็เหมือนเป็นพรรคพวกเดียวกันไปแล้ว
“ว่าแต่คนนี้หรือที่เป็นอาจารย์ของเจ้า” กังเอ่ยถามพลางจิบชาที่ซื้อมาระหว่างทาง
“ถูกต้อง นี่คือปรมาจารย์ซึฮากิผู้มีวิชาชั้นสูงของสูงที่สุดของชั้นฟ้าประทาน” ท่าทางเยินยอแทบจะถวายดวงใจทำให้กังรู้สึกปลาบปลื้มราวกับได้เจอสุดยอดอาจารย์ที่น่าเคารพจึงผสานมือก้มโค้งคำนับอย่างสุภาพ
“ขอกล่าวทักทายท่านอาจารย์ซึฮากิ”
ซึฮากิเหลือบมองเซนช้า ๆ ด้วยสายตาฉงน
“ฉันไม่ใช่อาจารย์อะไรพวกนั้นหรอกเซนมันก็พูดไปเรื่อย”
“ไม่เอาน่านายก็เหมือนอาจารย์นั่นแหละ ทั้งสอนการใช้มานา การเอาชีวิตรอดและยังสอนเทคนิคการต่อสู้อีกหลายอย่างเลย ถ้าไม่เรียกอาจารย์แล้วจะเรียกอะไรล่ะ” เซนยังคงยิ้มสนุกที่ได้เยินยอซึฮากิแม้จะดูเป็นเรื่องตลกแต่ลึก ๆ ภายในใจเขาก็นับถือซึฮากิเช่นนั้นจริง ๆ
“ให้ตายสิ”
ซึฮากิได้แต่ส่ายหัวกับคำพูดคำจาของเซนก่อนจะกล่าวต่อ
“คุณไม่ต้องทำอย่างนั้นก็ได้...กังใช่ไหมครับ? หรือจะเป็น...”
“ขอรับ ข้าคือกังศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักศาสตร์นักสู้และอันดับสามการประลองปีที่แล้ว”
“อันดับสามสินะ ส่วนอันดับสองคือคนที่ชื่อพาซี่แล้วก็อันดับหนึ่งเป็นยักษ์ชื่อโอกิ”
“ท่านอาจารย์รู้จักด้วยสินะขอรับ สมกับเป็นอาจารย์ผู้มีวิชาชั้นสูงของสูงที่สุดของชั้นฟ้าประทาน”
“ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องเรียกแบบนั้น เอาเป็นว่าเรียกแค่ซึฮากิเฉย ๆ ก็พอ”
กังค่อย ๆ เลื่อนสายตามองดูใบหน้าอันเรียบนิ่งไม่อาจคาดเดาได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
“คุณซึฮากิ...เรียกแบบนั้นได้หรือไม่ขอรับ?” จากนั้นจึงเงยหน้าเพื่อดูท่าทีของซึฮากิต่อว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไร
“อย่างน้อยแบบนั้นก็ดูดีกว่าก่อนหน้านี้ แล้วพวกนายไปรู้จักมักจี่กันได้ยังไงเนี่ย?” ซึฮากิหันมาถามเซนต่อ
“พวกเราแค่เห็นกันครั้งแรกก็เข้าใจหัวอกลูกผู้ชาย ความแข็งแกร่ง การต่อสู้และความมุ่งมั่นล้วนผสานรวมกันเป็นตัวเรา”
“ถูกต้องและเมื่อองค์ประกอบทั้งหมดมาบรรจบกันจึงเกิดเป็นพวกข้ายังไงล่ะ” ซึฮากิทำหน้าเจื่อนเมื่อเห็นลักษณะนิสัยของกังทำให้เข้าใจว่าทำไมสองหนุ่มถึงเข้าขากันดี
“เอาเป็นว่าคุณกังเชื้อเชิญเซนมาที่นี่เพื่อประลองในสนามเล็ก แถมยังพาไปแนะนำให้กับเจ้าสำนักเมื่อเร็ว ๆ นี้ด้วยใช่ไหมครับ?”
“ขอรับคุณซึฮากิ ข้าเห็นแววในตัวของเซนจึงให้ท่านเจ้าสำนักได้ประเมินดูด้วยตัวเองและผลลัพธ์ที่ได้ค่อนข้างน่าพอใจเลยขอรับ”
ได้รู้จักกับเจ้าสำนักศาสตร์นักสู้และยังเป็นเพื่อนกับกังอีก ถ้าแบบนั้นก็คงจะต่อรองหาที่ทางเอาของมาขายได้ง่ายขึ้น
ซึฮากิเหลือบไปเห็นใบหน้าสับสนของฟรานจึงเอ่ยถาม “ฟราน...เธอไม่ได้ปวดท้องหรือเป็นอะไรใช่ไหม?”
ฟรานสะดุ้งตกใจออกจากภวังค์ “มะไม่มีอะไร ก็แค่คิดอะไรไปเรื่อยแค่นั้นเอง”
“อืม...ถ้ามีปัญหาอะไรก็รีบบอก ตอนแรกคิดว่าไม่สบายหรือเปล่าเพราะปกติเธอจะร่าเริงกว่านี้นี่”
“ถ้าอยากให้ฉันร่าเริงก็ช่วยมาคุยกันสักนาทีได้ไหม? ขอแบบส่วนตัวด้วยนะ” ฟรานถอนหายใจยิ้มอ่อนแค่เห็นก็รู้สึกได้ถึงความวิตกกังวล
“อืม พวกนายอย่าพึ่งไปไหนล่ะ”
เสียงฝีเท้าเหยียบใบไม้แห้งก้าวเดินไปตามเส้นทางอันเงียบสงบ ต้นไม้รอบข้างกำลังผลัดใบเปลี่ยนฤดูทำให้เห็นกองใบไม้อยู่เป็นระยะ ๆ
“แล้วมีเรื่องอะไรจะพูดล่ะ?”
ฟรานที่เดินตามหลังเอามือวางบนไหล่ของซึฮากิก่อนจะตอบ “ฉันมีของที่อยากให้ดู”
ซึฮากิหันกลับมาเห็นฟรานกำลังชักดาบคาตานะสีดำสนิทรู้สึกได้ถึงความกดดันจากดาบเล่มนั้น
“ดาบเทพทมิฬสินะ...”
“ฉันก็คิดไว้แล้วว่านายต้องรู้” ฟรานวาดดาบไปมาราวกับนักดาบในเทพนิยายแต่นั่นก็ถูกความดำทะมึนของดาบกลบหายไปแทน
“อาวุธที่สร้างโดยนักประดิษฐ์ที่ได้ฉายาว่าเทพแห่งการสร้าง หนึ่งในอาวุธที่แข็งแกร่งเป็นอันดับต้น ๆ ก็คือดาบเทพทมิฬ” ซึฮากิเฝ้ามองการเคลื่อนไหวช้า ๆ ของหญิงสาวรูปงามตรงหน้า
ฟรานแกะกระดุมเสื้อและแหวกให้เห็นด้านในก่อนจะกล่าวต่อ “ส่วนอันนี้ก็เป็นเกราะเทพสงคราม”
“ที่เธอเอาให้ดูแสดงว่ามีอะไรข้องใจกับมันสินะ”
“อืม ก่อนมาที่นี่พวกซากิบอกไว้ว่าอย่าใช้ของที่ได้มาอีก ถึงจะไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่พอได้ลองเอามาใช้อีกครั้งจึงเข้าใจสักที ดาบเทพทมิฬมันจะดูดซับพลังของผู้ใช้เพื่อเพิ่มพลังของตัวมันเองอย่างกับว่ามันมีชีวิตเลย”
“แล้วเธอแน่ใจได้ยังไง?” ซึฮากิถามต่อ
“ตอนแรกก็ไม่ได้สังเกตหรอกแต่พอได้ถือมันเฉย ๆ ก็เลยรู้ ทั้งพลังชีวิตและมานาจะลดลงเรื่อย ๆ ราวกับโดนปลิงเกาะตัวตลอดเวลา”
“ถ้าอย่างนั้นก็มีสองทางเลือกสินะ ไม่ทิ้งมันไปก็หาทางใช้มันให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด”
“ฉันลองหาข้อมูลดูแล้วแต่ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรสักอย่าง ก็เลยอยากให้นายช่วยวิเคราะห์หรือช่วยตัดสินใจว่าควรจะทำยังไงต่อดี” หลังจากพูดจบเธอก็เก็บดาบเข้าฝักเรียบร้อย
ดาบเทพทมิฬมีชื่อผู้สร้างสลักไว้แถมยังเหมือนกับธนูของคานะและดาบของเซน แต่ดูแล้วประสิทธิภาพของดาบเทพทมิฬเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด เทพแห่งการสร้างทำมันขึ้นก็ต้องมีวิธีใช้มันด้วยแล้วมันวิธีไหนล่ะ
“เอ่อ...ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นอะไร พอกลับไปแอสต้าฉันคงต้องเอาไปคืน”
“เอาวิธีนั้นเป็นทางเลือกสุดท้ายก็แล้วกันนะ ส่วนวิธีใช้งานฉันจะพยายามหา...” พูดไม่ทันขาดคำก็มีเสียงระเบิดดังมาจากทางที่พวกเซนอยู่ ด้วยความตกใจทั้งสองจึงวิ่งหน้าตั้งกลับไปรวมกลุ่มทันที
สัตว์อสูรจำนวนมากเข้าจู่โจมหมู่บ้านชาญเมืองจนมีคนล้มตายไปไม่น้อยแต่ก็มีพวกเซนเข้ามาช่วยระงับเหตุและกำจัดสัตว์อสูรได้สำเร็จ
“สัตว์อสูรบุกเมืองเนี่ยนะ สงสัยข้าต้องไปแจ้งให้กับเจ้าสำนักรู้เสียแล้ว” กังแยกตัวออกไปทันทีเพราะรู้สึกแปลก ๆ กับเหตุการณ์เหล่านี้
พวกเขาจัดการกันเรียบร้อยก่อนที่ซึฮากิจะกลับมาเสียอีกแถมเด็ก ๆ ทั้งหกคนก็ได้แสดงฝีมือให้พี่ชายพี่สาวได้เห็นเป็นขวัญตาด้วย
“สุดยอดจริง ๆ ที่ผ่านมาคงฝึกกันหนักน่าดูเลยสินะ” เซนยิ้มแก้มปริดีใจที่ได้เห็นน้อง ๆ พัฒนามาได้ไกลขนาดนี้ทำให้นึกถึงตัวเองในอดีตไปด้วย
“แน่นอน พวกเราฝึกต่อสู้ทุกวันเลยนะครับ” เอยิ้มมุมปากยักคิ้วให้เซนและเหลือบไปมองคูเปอร์ที่เอาแต่ยืนนิ่งด้วยสายตาเยาะเย้ย
พวกเขาจัดการสถานการณ์เรียบร้อยก่อนที่เจ้าหน้าที่ของเมืองจะโผล่หัวออกมาเสียด้วยซ้ำ ทำให้ชาวบ้านแถวนั้นรู้สึกไม่พอใจกับการทำงานและความรู้สึกปลาบปลื้มก็เอนเอียงไปหาพวกเซนจนหมด
“ขอบคุณมาก ๆ ถ้าไม่ได้ความช่วยเหลือจากพวกเจ้าเราก็คงตายหมดแน่ ปกติที่นี่จะมียามเฝ้าแต่พอเป็นช่วงงานประลองก็เลยโดนเกณฑ์ไปคอยควบคุมคนในเมืองแทน” ชาวบ้านรวมตัวกันกล่าวขอบคุณและยังยกทรัพย์สินให้บางส่วนเพื่อเป็นเครื่องยืนยันความจริงใจ
“ของตอบแทนเหล่านั้นเก็บไว้เยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิตเถอะ พวกเราเป็นเพียงนักท่องเที่ยวที่ผ่านมาเท่านั้น” เซนกุมมือที่กำลังยื่นของมีค่าให้พร้อมด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยนก่อนจะดันกลับไป
“ไม่น่าเชื่อว่าเซนจะพูดอะไรแบบนั้นเป็นด้วย” ยูกิกระซิบนินทาจากด้านหลัง
“นั่นแหละเซน ทั้งบ้าบอและอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน”
คานะค่อย ๆ ฉีกยิ้มเล็ก ๆ โดยไม่รู้ตัวก่อนจะกล่าวต่อ
“เขาเป็นแบบนั้นมาตลอด...”
“อะไร ! ใครนินทานะเมื่อกี้” เซนตะโกนกลับมาขัดอารมณ์คานะที่กำลังล้ำลึกความหลังจึงโดนเขกหัวไปหนึ่งที
“พวกเจ้าควรไปดูอาการคนเจ็บบ้างนะไม่ใช่ปล่อยให้ซึฮากิกับนายหญิงทำอยู่สองคน...เจี๊ยก” มังกี้กระโดดขี่คอเซนเล่นเป็นเด็กแต่เขาก็ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด
“เอาน่าพวกเขาสองคนอยู่ด้วยกันน่าจะมีประโยชน์กว่าเราทั้งหมดอีก...”
“เฮ้ ! อย่าเอาข้าไปรวมสิวะ” ยูกิตะคอกกลับทันควันเมื่อได้ยินเช่นนั้น
ท่าทางหงุดหงิดของยูกิทำเอาเซนหัวเราะลั่นก่อนจะกล่าวต่อ “จะว่าไปทำไมถึงเรียกฟรานว่านายหญิงล่ะ?”
“ก็เป็นคนรักของซึฮากิไม่ใช่เหรอเห็นตัวติดกันตลอดเลย...เจี๊ยก”
“โอ้ ! จะว่าไปฟรานก็ตัวติดกับกิตลอดเลยแฮะ”
“นี่นายพึ่งรู้จริง ๆ ใช่ไหม? แค่เห็นก็รู้แล้วว่าฟรานคิดอะไรกับกิแถมยังรุกหนักเป็นพิเศษด้วย” คานะยิ้มสมเพชกับสีหน้าตกใจของเซน
“เป็นอย่างนั้นเองสินะ คงถึงเวลาที่เราต้องทำบ้านแยกจะได้อยู่กันหลังละครอบครัวไปเลย” เซนทำท่าคนนั่งคิดและใช้เสียงเข้มพูด
“นี่นายคิดไปถึงไหนแล้วเนี่ย !” คานะแก้เขินโดยการเขกหัวเซนที่กำลังนั่งคิดแต่เขากลับไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย
“เหมือนมีใครกำลังมาที่นี่แถมแรงกดดันยังทำให้ฉันสั่นได้จากระยะไกลขนาดนั้น” เซนจ้องมองไปยังเส้นทางด้านหน้าที่มีรถม้าหรูหราตามมาเป็นขบวน
“อย่าไปสบตาเด็ดขาด” ซึฮากิกลับมารวมกลุ่มอย่างรวดเร็วอย่างกับรู้อยู่แล้วว่าจะมีคนมา
ขบวนรถม้าวิ่งผ่านพวกเขาไปช้า ๆ โดยมีคนคุ้มกันสวมชุดปิดบังใบหน้าทั้งหมดล้อมรอบกว่าร้อยชีวิตและจะมีรถที่ประดับตราไว้เป็นเอกลักษณ์แสดงให้เห็นลำดับยศ
กิยังต้องหลบตาเลยเหรอ ชักจะสงสัยแล้วว่าพวกเขาเป็นใคร
เซนใช้หางตามองจึงไปกระทบกับสายตาของหนึ่งในคนที่ได้นั่งรถหรูหราโดยบังเอิญ ชายหนุ่มหน้าตามืดมนและหมองคล้ำราวกับอดนอนมาเจ็ดวันเจ็ดคืนและไม่นานเขาก็นอนทั้งอย่างนั้นไปเลย
“ไปแล้วสินะ” หลังจากขบวนรถม้าผ่านไปเซนจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ระบายความอึดอัดทั้งหมดออกมา
“เป็นพวกที่น่ากลัวจริง ๆ ว่าแต่พวกนั้นเป็นใครเหรอ?” คานะถาม
“พวกเขาคือสำนักมนตร์ดำสาขาหลัก ก่อนหน้านี้ที่เรามีปัญหาด้วยก็เป็นสำนักมนตร์ดำสาขาอาณาจักรอาฟและหลังจากกำจัดผู้บริหารไปได้พวกเขาจึงยุบสาขานั้นไปก่อน”
“โห่ ! แล้วเจ้าพวกนั้นจะไม่เอาเรื่องเราเหรอ?” คานะถาม
“อย่าห่วงไปเลยถ้าอยากมีเรื่องก็จัดมาสิครับ” เซนกำหมัดแบ่งกล้ามโชว์ทำให้รอนทำตามบ้าง
“สมกับเป็นนายจริง ๆ แต่ก็ระวังไว้แล้วกัน เพราะผู้บริหารที่พวกเราจัดการไปเป็นแค่คนที่อ่อนแอที่สุดในหมู่ผู้บริหารแถมพลังของพวกเขาก็ยังไม่เปิดเผยซึ่งยากต่อการวางแผนตอบโต้ ทางนั้นเองก็ค่อนข้างยึดมั่นในอุดมการณ์พอตัวเลยไม่อย่างนั้นก็คงบุกมาถล่มเอลโฟเรียแล้วเพราะฉะนั้นพวกเราก็แค่หลีกเลี่ยงให้มากที่สุด”
“รับทราบครับ !” ไม่เพียงแค่เซนแต่กับพวกเด็ก ๆ ต่างก็ตั้งใจฟังพร้อมทำตามทุกอย่าง
“ดี ! ต่อจากนี้พวกนายต้องสงบเสงี่ยมสักหน่อยแล้วเพราะมีคนน่ารำคาญกำลังมา”
“ทหารไปจับตัวพวกน่าสงสัยไว้ !” เสียงตะโกนลั่นจากประตูเข้าเมืองที่มีกลุ่มคนแปลกหน้ากำลังเดินมา
“ที่นี่มีกฎว่าห้ามนักสู้ใช้พลังตอนอยู่นอกสนามประลอง คนที่มีอำนาจและสิทธิ์จัดการสิ่งต่าง ๆ ได้ก็คือทหารของเจ้าเมืองเท่านั้น”
ซึฮากิยืนนำหน้าทุกคนเป็นเสมือนหัวหน้าครอบครัวที่แบกรับชะตากรรมของพวกเขาไว้
“พวกข้าได้รับรายงานว่ามีคนต่อสู้กับสัตว์อสูร...เป็นพวกเจ้าใช่หรือไม่?” ทหารยามเอ่ยถามก่อนไม่ได้ลงไม้ลงมือเหมือนสีหน้าที่กำลังโกรธเคืองของเจ้าเมืองด้านหลัง
“ใช่ พวกเราจำเป็นต้องเข้าช่วยเหลือไม่เช่นนั้นจะเกิดความเสียหายที่ยากต่อการฟื้นฟู”
“นั่นไงจับมันไปเดี๋ยวนี้” เจ้าเมืองชี้นิ้วสั่งมองค้อนใส่จนเด็ก ๆ สั่นกลัว
“แม้จะทำผิดกฎมาตราที่ห้าแต่ก็ได้ช่วยชีวิตผู้คนไว้ซึ่งเป็นเหตุจำเป็นจึงอยู่ในข้อยกเว้นว่าด้วยผู้ใดใช้พลังเวทหรือพลังกายสร้างความเสียหาย ข่มเหง ข่มขู่ ทำร้ายหรือใช้เพื่อแสดงความโอ้อวดจะมีโทษจำคุกห้าปีและปรับไม่เกินสิบเหรียญทอง แต่หากผู้นั้นใช้เพื่อระงับเหตุฉุกเฉินอันเนื่องจากอุบัติเหตุ สัตว์คลั่ง ปกป้องตัวเองหรือทำเพื่อผลประโยชน์ของเมืองจะได้รับการยกเว้น”
“อย่ามาทำเป็นรู้ดีไปหน่อยเลย ! ทหารจับพวกมันเดี๋ยวนี้” แม้จะสาธยายไปมากแค่ไหนเจ้าเมืองก็ไม่ฟังสักคำ
ดูท่าทางร้อนรนก็คงโกรธที่พวกเราได้หน้าทำให้ความน่าเชื่อของเมืองลดลงก็เลยต้องโบ้ยความผิดมาที่เราอย่างน้อยก็ทำให้คนในเมืองที่ไม่เห็นเหตุการณ์เข้าข้างฝั่งนั้นมากกว่า
“คุณจะรับมือไหวหรือเปล่า? ยังมีคนที่ช่วยระงับเหตุอีกคนก็คือกังศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักศาสตร์นักสู้”
“พูดบ้าอะไรคนของสำนักอันดับต้น ๆ จะมาอยู่แถวนี้ได้ยังไง?”
“ให้พูดใหม่อีกที” เสียงอันเคร่งขรึมดังกระหึ่มจากด้านหลังราวกับสัตว์ประหลาดมายืนจ้องจนขนลุก
เจ้าเมืองหันหลังมองหาที่มาของเสียงที่ทำให้ขนลุกจนได้สบตากับกังและคนจากสำนักศาสตร์นักสู้
“เจ้าจะเอาผิดหนุ่มสาวที่ช่วยชีวิตผู้คนจริงหรือ...ท่านชิคารุ” หนึ่งในอาจารย์ของสำนักศาสตร์นักสู้กล่าวพร้อมกับจ้องเขม็ง
“แต่กฎก็ต้องเป็นกฎ หากมีผู้ใดฝ่าฝืนแล้วไม่ได้รับโทษจะเป็นการอยู่เหนือกฎหมายทำให้กฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป เพราะฉะนั้นพวกเขาต้องถูกจับไปไต่สวนเสียก่อนแล้วจึงพิจารณาคดีให้ละเอียดถี่ถ้วน” เขาเดาะลิ้นไม่พอใจและพยายามพูดเลี่ยงให้เป็นไปตามที่ต้องการ
“เหอะ ๆ พยานหลักฐานทั้งหมดก็อยู่ที่นี่แล้วไม่เห็นจำเป็นต้องพาไปที่อื่นเลย หรือเจ้าพยายามจะทำอะไรลับหลังกันแน่?” กังยืนกอดอกมองลงต่ำกดดันจนทำให้เห็นเป็นสัตว์ป่าดุร้ายที่พร้อมตะครุบเหยื่อตรงหน้า
เจ้าเมืองกลอกตามองไปรอบ ๆ เห็นแต่คนจ้องเขม็งจึงรีบเดินกลับไปทันที “ฝากจัดการที่เหลือด้วย” เขาทิ้งทหารไว้และหนีกลับคนเดียว
หลังจากจัดการเรื่องวุ่นวายทั้งหมดกังก็พาพวกเขากลับไปที่สำนักอีกครั้ง
“ตอนเย็นจะมีการจับสายการประลองข้าก็เลยอยากชวนพวกเจ้าไปดูด้วย”
“เอาสิยังไงพวกเราก็ว่างอยู่แล้ว” เซนตอบรับทันทีโดยไม่คิดอะไร
“นั่นพาใครมาอีกแล้วล่ะกัง?” เจ้าสำนักเฉิงขมวดคิ้วสงสัยจ้องมองตั้งแต่หัวจรดเท้าโดยเฉพาะซึฮากิที่เต็มไปด้วยบรรยากาศลึกลับยากที่จะบรรยาย
“พวกเขาเป็นสหายของสหายเซนอีกทีหนึ่งขอรับและก็มีคุณซึฮากิซึ่งเป็นอาจารย์ผู้มีวิชาชั้นสูงของสูงที่สุดของชั้นฟ้าประทานมาด้วย”
“หา? วิชาชั้นสูงของสูงที่สุดของชั้นฟ้าประทาน มันคือวิชาอะไรกันทำไมข้าถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน” เฉิงเดินเข้าประชิดด้วยท่าทางหวาดระแวง
เดี๋ยวสิเขาเลเวลแค่หกเองนี่ทำไมถึงส่งความรู้สึกแปลก ๆ แบบนั้นออกมาล่ะ หลังจากใช้เวทมนตร์ตรวจสอบจนเห็นเลเวลของซึฮากิเขาจึงผ่อนคลายลงเหมือนเช่นเคย
“ไม่ต้องใส่ใจเรื่องที่พวกเขาพูดหรอก ผมก็แค่พ่อค้าที่พยายามสานสัมพันธ์ต่างแดนเพื่อค้าขายเท่านั้น”
“แค่พ่อค้า...สินะ” บรรยากาศแบบนั้นไม่มีทางเป็นแค่พ่อค้าแน่ ๆ เขาต้องมีความลับอะไรซ่อนอยู่
“ข้าขอถามหนึ่งคำถาม...เจ้าเป็นมิตรหรือศัตรู?” คำถามที่เปิดประเด็นทำให้กังตกใจเป็นอย่างมากเช่นเดียวกับพรรคพวกของซึฮากิที่ตั้งท่าเตรียมสู้ทุกเมื่อ
“ถ้าถามแค่นั้นก็ต้องเป็นมิตรอยู่แล้ว คนที่อยากสร้างศัตรูในต่างถิ่นก็มีเพียงแค่ผู้ที่แข็งแกร่งไม่ก็ผู้โง่เคราเท่านั้นแต่...เราไม่ใช่ เราไม่ได้แข็งแกร่งถึงขนาดประกาศตนเหนือทุกสิ่งได้แบบนั้นเสียหน่อย”
ชั้นเชิงการใช้วาจาผสมผสานกับใบหน้าที่เดาทางไม่ได้แถมยังกล้ายืนหยัดแม้ข้าจะมีพลังอำนาจมากกว่า ชายคนนี้ไม่ธรรมดา
“ข้ายอมรับคำตอบนั้นและรองรับพวกเจ้าทุกคนให้อยู่ภายใต้อำนาจของสำนักศาสตร์นักสู้ในฐานะแขก”
“ขอบคุณที่เข้าใจครับและผมขอมอบของเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อแสดงไมตรีจิตนะ” ซึฮากิยื่นเครื่องเล่นเสียงพร้อมกับสอนวิธีใช้ให้ วินาทีที่เสียงดังลั่นมันก็ทำให้เฉิงและกังสะดุ้งตกใจ
“เจ้านี่มันอะไรกัน เล็กแค่นี้ทำไมถึงได้ส่งเสียงออกมาได้ดังและไพเราะขนาดนี้ เครื่องเล่นเสียงที่ข้าซื้อมาจากอาณาจักรเซียยังต้องใช้แผ่นเสียงใหญ่ ๆ เลย” เฉิงพยายามเรียนรู้การกดปุ่มเพื่อเล่นเสียงดูตื่นเต้นกับของใหม่อย่างกับเด็กตัวน้อย
ไม่นานนักก็มีคนของเจ้าภาพจัดงานเข้ามาประกาศการจัดสาย พวกเขาจึงเดินตามชายผู้นั้นตรงไปยังศูนย์กลางของเมืองที่เป็นเวทีขนาดใหญ่มีกระดานตารางการแข่งวางตั้งให้ได้เห็นกันถ้วนหน้า
“การจัดสายการประลองยังคงเหมือนเดิม ตัวแทนจากสำนักทั้งสี่คนจะถูกแบ่งตามหมวดหนึ่งถึงสี่และตัวแทนเมืองเป็นกลุ่มห้า”
ท่าทางของผู้คนกำลังตื่นเต้นจนคุยกันไม่หยุดทำให้เจ้าหน้าที่ต้องตะโกนคอยบอกแต่ก็ไร้ประโยชน์ที่จะสู้กับเสียงคนนับพัน
“เงียบ !” ชายชราผู้คลุมทั้งตัวด้วยผ้าคลุมสีดำตะโกนขึ้นมาและส่งแรงกดดันมหาศาลทำให้สถานการณ์สงบเสียที
การจัดสายแข่งเป็นไปได้ด้วยดีโดยใช้วิธีการสุ่มจับเพื่อไม่ให้เกิดข้อกังขาในการเลือกคู่
“เหอะ ข้าได้เจอกับสำนักมนตร์ดำก่อนเลยสินะ ก็ดีจะได้ล้างตาที่เคยทำไว้เมื่อปีที่แล้ว” กังแสยะยิ้มอย่างมีความสุขก่อนจะกวาดสายตาไปหาคู่ต่อสู้ของเขาที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
“พวกเจ้ากลับกันก่อนเลยข้าต้องไปเตรียมตัวสำหรับวันพรุ่งนี้”
“ก็ได้ ๆ ถ้ามีอะไรก็บอกได้เลยเดี๋ยวให้กิช่วย” เซนตบไหล่ซึฮากิพร้อมกับส่งยิ้มอ่อนเป็นการอ้อนวอน
“แล้วทำไมต้องโยงมาที่ฉันด้วยเนี่ย” ซึฮากิตอบกลับทัน
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 325
แสดงความคิดเห็น