บทที่ 2...1/2
เช้าวันต่อมาร่างสูงใหญ่เดินลงมาที่ห้องอาหาร การใช้ชุดคนป่วยมาเกือบปีทำให้ไม่ค่อยชินกับการใส่เสื้อสูทสีดำเรียบกริบกับเสื้อเชิ้ตสีขาวและเนคไทสีชมพูอ่อนนัก
พันธินไม่ได้เลือกเสื้อผ้าของตัวเองด้วยซ้ำ พอเขาออกมาจากห้องน้ำสาวใช้ก็เตรียมเสื้อผ้าสำหรับวันนี้ไว้บนเตียงแล้ว เขารู้สึกเพลียเล็กน้อยจากการนอนไม่พอ
‘แข็งแรงดีแล้วจริงๆ สินะ คุณท่านคงสบายใจได้เสียที’
พันธินได้ยินเสียงเสียงความคิดของพ่อบ้าน เขาหันไปมองและยิ้มให้คนที่ทำหน้าเหมือนไร้ความรู้สึกทั้งวันทั้งคืน พูดนับคำได้หากไม่ใช่เรื่องในหน้าที่ ไม่ค่อยคุยเล่น แต่ไม่เคยให้ร้ายใคร
ตุลยาหันมาเห็นลูกเลี้ยงพอดีรีบยิ้มหวานพลางสั่งให้สาวใช้ตักอาหารเช้าใส่ถ้วยใบสวย ร่างสูงนั่งลงอีกฝั่งของโต๊ะตัวยาวที่สามารถรับแขกได้ราวๆ ยี่สิบคนได้
“ข้าวต้มไก่ค่ะ ถ้าคุณธินอยากทานอะไรบอกตุลได้นะคะ อ้อ วันนี้คุณเธียรรับประทานอาหารเช้าในห้องค่ะ เมื่อคืนมีไข้นิดหน่อย” ตุลยาเล่า พอเห็นว่าลูกเลี้ยงยังเงียบอยู่จึงพูดต่อไปว่า “ตุลดีใจนะคะที่คุณธินกลับมาทำงานได้เหมือนเดิม ตอนที่โคม่า ตุลกลัวมากเลยค่ะ”
“ขอบคุณครับที่เป็นห่วง” เขาเอ่ยพลางหยิบช้อนมาคนข้าวต้ม
‘ถ้าคนที่รอดเป็นพันแสงก็คงจะดีกว่านี้ เรื่องนั้นเขาจะพูดหรือเปล่านะ’
พันธินถอนใจพร้อมกับเงยหน้ามองแม่เลี้ยงวัยไล่เลี่ยกันทำเหมือนไม่ได้ยินอะไร เรียวปากสวยเคลือบด้วยลิปติกสีชมพูยิ้มหวานให้ ทั้งที่ในใจกลับคิดไปอีกอย่าง อยากให้เขาตายงั้นหรือ?
“มีอะไรหรือเปล่าคะคุณธิน”
“ไม่มีอะไรครับ แค่อยากบอกว่าข้าวต้มอร่อยเหมือนเดิม”
พันธินคนข้าวต้มอยู่หลายรอบกว่าจะตักขึ้นมาใส่ปาก ความรู้สึกของเขาในตอนนี้ไม่ได้แย่เท่าตอนที่รู้ว่าตัวเองอาจเป็นบ้าเพราะตอบคำถาม หรือไม่ก็คุยกับคนอื่นโดยที่ไม่รู้ว่าคนคนนั้นไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาจากปากแม้แต่คำเดียว การได้ยินความคิดของคนอื่นทำให้เขาทั้งชอบและเกลียด
ขณะที่นั่งอยู่ตรงนี้ชั่วเวลาไม่ถึงสิบนาทีเขาต้องทนฟังเรื่องราวสารพัด เงินค่าเทอมลูก ทะเลาะกับสามี เพิ่งถูกดุมา แม้กระทั่งแม่เลี้ยงที่กำลังกลัวว่าเขาจะพูดเรื่องบางอย่างออกไป มันคือเรื่องอะไรกัน การไม่รู้ทำให้ทรมานแล้ว แต่การรู้แต่ไม่ทั้งหมดน่าจะทรมานกว่า
การไปทำงานวันแรกคงเหมือนการไปยังที่อันตรายเมื่อเธียรสั่งให้อิชย์หาบอดี้การ์ดมาให้พันธิน ทำให้นอกจากคนขับรถแล้วเขายังต้องมีชายแปลกหน้าตามไปด้วยอีกคน ชายหนุ่มถอนใจไม่อยากขัดใจพ่อ พอเดินมาที่รถความหงุดหงิดก็ค่อยหายไปบ้างเมื่อเห็นทนายคนสำคัญมายืนรออยู่ เขาเดินไปหาแล้วพาไปนั่งที่เบาะหลัง
“ดีใจจังครับที่ลุงอิชย์จะเข้าบริษัทด้วยกัน”
อิชย์ยิ้มไม่พูดอะไร แต่ใช้การคิดในใจแทน
‘ผมต้องเป็นความทรงจำให้คุณจนกว่าทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางนี่ครับ การกลับมาของคุณคงถึงหูผู้บริหารหมดแล้ว เพราะฉะนั้นวันนี้คงเป็นงานหนักไม่น้อย’
ถึงจะน่าหนักใจ แต่เขามั่นใจในตัวลูกชายของเธียร พ่อกับลูกย่อมมีความเป็นนักสู้เหมือนกัน
“แค่มีลุงอิชย์งานก็เบาลงไปครึ่งหนึ่งแล้วล่ะครับ”
อิชย์ถอนใจไม่ถึงกับโล่งอก มีหลายอย่างที่พันธินต้องทำและมีอีกหลายอย่างที่เขาต้องทำ การกลับมาของทายาทคนโตของเอ็มไพร์ กรุ๊ปทำให้ราคาหุ้นที่ทรงตัวกระเตื้องขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน ชีวิตของพันธินมีค่าในฐานะลูกชายของเธียร วิวัสวาน และการที่เหลือทายาทเพียงคนเดียวนั่นเองทำให้การรักษาชีวิตของเขาเป็นเรื่องสำคัญขึ้นมาทันที
เพียงก้าวแรกที่ลงมาจากรถและอีกไม่กี่ก้าวเพื่อเดินไปให้ถึงลิฟต์ พันธินได้ยินทั้งเสียงพูดและเสียงความคิดของ รปภ. พนักงานต้อนรับ พนักงานฝ่ายการตลาด แม้กระทั่งแม่บ้าน แต่ละคนมองมาที่เขาแล้วพากันคิดต่างๆ นานา ทั้งด้านดีและไม่ดี ถึงไม่อยากรับรู้ แต่ความสามารถพิเศษที่มีเพียงอิชย์ที่รู้ก็ทำให้เขาต้องทำหน้าเรียบเฉย แม้อยากออกคำสั่งให้หยุดคิดกันสักครู่ก็ตาม
‘ไหนว่าหน้าเสียโฉม ก็ยังหล่อเหมือนเดิมนี่’
‘คุณเธียรส่งลูกชายมากระชากราคาหุ้นทันทีเลยแฮะ’
‘หล่อกว่าเดิมหรือเปล่าเนี่ย เดี๋ยวนี้หน้าเละไม่ต้องไปเกาหลีก็หล่อได้เหมือนกันนะ’
“แปลกดีนะครับ” พันธินหัวเราะ ดูเหมือนการวิจารณ์ในใจจะถึงพริกถึงขิงกว่าการรอให้พูดออกมาจากปาก เขาน่าจะใส่หูฟังเพลงให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไป
“อะไรที่แปลกหรือครับ” อิชย์ถามพร้อมกับเดินเข้ามาในลิฟต์สำหรับผู้บริหาร
ลิฟต์ถูกกดปิดทันทีทำให้บอดี้การ์ดที่ชื่อปริญเข้ามาไม่ได้และต้องรอไปลิฟต์ตัวอื่น พันธินแทบร้องเฮ้อเมื่อได้อยู่กับอิชย์ตามลำพัง แม้จะเพียงชั่วครู่เท่านั้น
“ตอนที่ยังไม่เป็นแบบนี้ ผมเรียกร้องอยากได้ความจริง ต้องการคนพูดตรงๆ ไม่อ้อมค้อม แต่มาตอนนี้ผมกลับได้รู้อะไรมากขึ้น ภายใต้ความหวังดี กลายเป็นคนละเรื่องกับคำที่พูดออกมา”
เขาไม่ได้พูดเกินจริงเลย ตลอดเวลาที่รักษาตัวจนถึงนาทีนี้ทำให้รู้ว่ามนุษย์เลือกที่จะพูดเพื่อให้ตัวเองดูดี หรือไม่ก็เลือกให้คนฟังสบายใจ หากคิดในแง่บวก แต่อีกไม่น้อยที่ทำเพื่อผลประโยชน์ การโกหกนั้นง่ายกว่าการพูดเรื่องจริงที่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน
“อย่าให้ใครรู้เรื่องนี้เป็นดีนะครับ” อิชย์เตือน
“อย่าเพิ่งบอกพ่อนะครับ ผมอยากรู้บางอย่างก่อน” พันธินขอร้อง
อิชย์พยักหน้าก่อนจะเป็นฝ่ายเดินนำออกไปจากลิฟต์ บางทีเขาก็ลืมตัวคิดในใจ ‘อย่าฟังทุกอย่างที่ผมคิดได้ไหม?’
พันธินส่ายหน้า เขาไม่ได้อยากฟัง แต่การรับรู้ของเขามันล้ำหน้าไปเกินกว่าที่จะสั่งให้ตัวเองหยุดได้ วันหลังคงต้องพกหูฟังมาด้วย การฟังทุกอย่างที่คนอื่นคิดเป็นการเสียมารยาท แต่เขาไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย
“งานสำหรับวันนี้ผมคุยกับเลขาของคุณแล้ว ทุกอย่างอยู่ในนี้ ถ้าตรงไหนไม่เข้าใจ...”
“ครับ ผมคงสนิทกับลุงอิชย์มากกว่าพ่อเสียอีก”
อิชย์ไม่ตอบและไม่คิดอะไร พันธินเลยถอนใจ เขาอยากรู้เหมือนกันว่าระหว่างพ่อกับลุงอิชย์มีความลับอะไรต่อกัน ทำไมลุงอิชย์ถึงเป็นเพียงคนเดียวที่พ่อไม่เคยบังคับให้ทำอะไร กลับกันเสียอีก ถ้าลุงอิชย์พูดอะไรไม่เคยเลยสักครั้งที่พ่อจะไม่ฟัง ขนาดบ้านหลังเล็กหลังบ้านที่พ่ออยากทุบทิ้งแล้วสร้างให้ใหญ่โตหรูหรา แค่ลุงอิชย์ไม่อนุญาต บ้านหลังนั้นก็ยังอยู่รอดปลอดภัยมาจนถึงตอนนี้
การประชุมเริ่มขึ้นทันทีที่พันธินมาถึง ในฐานะประธานโดยการแต่งตั้งของเธียรยังคงอยู่ แม้ว่าเขาจะหายหน้าไปเกือบปี การประชุมวันนี้จึงเป็นเพียงการยืนยันถึงสุขภาพที่แข็งแรงเต็มร้อยเท่านั้น หุ้นส่วนทั้งสองอันได้แก่วิรัตน์และเกียรติก้องซึ่งมีหุ้นรวมกันสามสิบเอ็ดเปอร์เซ็นต์ต่างยินดีที่พันธินกลับมา แต่ถ้ารวมหุ้นญาติของพันธินเข้าไปจะถึงสี่สิบเก้าเปอร์เซ็นต์ เขายิ้มแม้ว่าจะได้ยินอะไรที่ไม่อยากได้ยิน
วิรัตน์เก็บความเสียดายไว้ภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้ม ส่วนเกียรติก้องดูเหมือนจะดีใจจริงๆ ที่เขากลับมา ส่วนญาติๆ เริ่มไม่แน่ใจในความมั่นคงของตัวเอง น่าแปลกทำไมถึงคิดแบบนั้น ในขณะที่ผู้จัดการฝ่ายต่างๆ เข้ามาแสดงความยินดี แน่นอนว่าเสียงต่างๆ ในความคิดของควพวกนั้น ทำให้พันธินอยากเร่งให้การประชุมที่กลายเป็นเพียงการนัดพบเพื่อแสร้งยินดีจบลงเสียที
พันธินเดินมาที่ห้องทำงานพร้อมกับอิชย์ซึ่งยิ้มมาตลอดทาง ถึงฟังเสียงความคิดใครไม่ได้ แต่อิชย์พอเดาได้ไม่ยากว่าการประชุมคงสนุกน่าดู ก่อนจะขอตัวไปห้องของตัวเอง
เลขายืนรอรับเจ้านายอยู่แล้ว พอเห็นเขามองไปก็ยิ้มให้ทันที ก่อนจะเดินตามเข้าไปในห้อง ในขณะที่บอดี้การ์ดส่วนตัวต้องนั่งรออยู่หน้าห้องทำงาน
“ดิฉันดีใจที่คุณธินปลอดภัยกลับมาเหมือนเดิมนะคะ ตอนรู้ข่าว ใจหายแทบแย่”
‘ถ้าขาดคุณธินไป แล้วคนที่กลับมากลายเป็นคุณแสงบริษัทจะเป็นยังไงก็ไม่รู้”
นั่นสินะ เป็นความคิดที่เขาเห็นด้วยด้วย พันธินฝืนยิ้ม “ขอบคุณครับ วันนี้ทั้งวันผมต้องการอ่านเอกสารทำความเข้าใจงานที่ทำทั้งหมด ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญ ห้ามรบกวนนะครับ”
“ได้ค่ะคุณธิน”
เลขาเดินออกไปและปิดประตูให้ พันธินกางแขนออก คอซบกับพนักพิงก่อนจะเริ่มงานในนาทีต่อมา ความเงียบแบบนี้เองที่เขาต้องการ น่าแปลกที่พ่อตั้งทีมที่ปรึกษาให้เขาและยังมีการอนุมัติงานเอาไว้ล่วงหน้า ถ้าเขาไม่มาทำงานสักสองสัปดาห์บริษัทก็น่าจะดำเนินต่อไปได้โดยไม่ติดขัดอะไร
ภาพจากโปรเจคเตอร์ถูกปิดลง หลังจากอรอินทุ์ได้นำเสนองานมาเกือบชั่วโมง หญิงสาวถอนใจราวกับอยากอำลา ก่อนจะหันหน้ากลับมายิ้มให้เพื่อนร่วมงาน...บางคน อีกไม่ถึงสามชั่วโมง เธอจะได้ออกจากบริษัทแห่งนี้ แม้ว่าใบลาออกจะไม่ได้รับการอนุมัติจากสมพงศ์ก็ตาม
อรอินทุ์เริ่มงานนักออกแบบโฆษณาที่บริษัท Leoness ตั้งแต่เรียนจบ หนึ่งปีเศษผ่านไปอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับความรู้สึกดีๆ แน่ละว่าการทำงานต้องตัดเรื่องส่วนออกไปเพื่อความเป็นมืออาชีพ เธออยากจะทำอย่างนั้นให้ได้ตลอดรอดฝั่ง แต่หลังจากงานฉลองที่ได้รับรางวัลโฆษณาสร้างสรรค์สังคมเมื่อสามเดือนก่อน เธอก็คิดได้ว่าการมีเจ้านายฉลาด ทว่าพ่วงความเจ้าชู้ไว้ภายใต้ความสุภาพและอบอุ่นนั้นน่ากลัวกว่าการต้องตกงานหลายเท่า
“ขอบคุณสำหรับการทำงานมาด้วยกันตลอด วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่อรจะทำงานที่นี่แล้วค่ะ ขอบคุณสำหรับประสบการณ์การทำงานตลอดหนึ่งปีกับสองเดือนนะคะ” เธอเอ่ยจะเหมาว่านี่เป็นคำกล่าวลาก็คงได้
สมพงศ์สั่งให้ลูกน้องเปิดไฟเพื่อที่จะได้มองหน้าอรอินทุ์ชัดๆ
“เร็วไปหรือเปล่า พี่ยังไม่ได้อนุมัติใบลาออกให้เลยนะอร เพราะฉะนั้นนี่ไม่ใช่วันสุดท้ายของการทำงาน”
ไม่ผิดคาดนัก อรอินทุ์เลิกคิ้วกอดอกมองผู้ชายที่กำลังจะเป็นอดีตเจ้านาย ไม่รู้ตอนเรียนมหา’ลัย เธอไปแอบปลื้มได้ยังไง ยัยแพรพลอยจะรู้ไหมว่ามีแฟนเจ้าชู้มาก แต่เก็บอาการเก่งจนเกือบไหวตัวไม่ทัน
“พอเถอะค่ะ สิ่งที่ควรทำ อรทำไปหมดแล้ว ขอให้เราจากกันด้วยดีน่าจะดีกว่านะคะ”
ว่าที่อดีตเจ้านายลุกขึ้นมาหาลูกน้องเบอร์หนึ่ง สมองในการคิดโฆษณาของอรอินทุ์ทำให้เขาพอใจเสมอมา การที่เธอลาออกเพราะ ‘เรื่องนั้น’ เขาไม่มีทางยอม มือหนาคว้าข้อมือเล็กแล้วกระชากแรงๆ
“มากับพี่”
อรอินทุ์ไม่ขัดขืนยอมเดินตามไปดีๆ ไม่ใช่ว่าใจอ่อน แต่อยากให้เรื่องมันจบๆ เสียที เบญญาเบ้ปาก ค้อนใส่ วันนี้ควรเป็นวันฉลองที่ยัยอรไปได้เสียทีต่างหาก แต่เดี๋ยวนะ ถึงเกิดเรื่องแบบนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าใบลาออกจะไม่มีความหมายนี่นา โทรศัพท์ถูกกดโทรหาแพรพลอย งานนี้สนุกแน่ รับรองยัยอรไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด
แพรพลอยมาถึงออฟฟิศภายในห้านาทีเพราะออฟฟิศของเธออยู่สูงขึ้นไปสามชั้นและที่สำคัญคนที่เป็นเจ้าของตึกนี้คือเธอนั่นเอง พอแพรพลอยเข้ามาในออฟฟิศก็เห็นพนักงานพากันมุงอยู่หน้าห้องทำงานของคู่หมั้น เบญญายิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าแฟนสุดขี้หึงของเจ้านายมาเร็วกว่าที่คิด ประตูถูกเปิดไว้รอพอแพรพลอยเข้าไป พนักงานคนอื่นๆ ก็กรูตาม เมื่อเห็นสภาพของสมพงศ์ก็พากันทำหน้าสยอง
“นี่เธอ!”
แพรพลอยร้องเสียงหลงวิ่งเข้าไปคว้าตัวของคู่หมั้นมากอดไว้ในสภาพสะบักสะบอม “พี่พงศ์ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะคะ ทำไมต้องทำรุนแรงแบบนี้ด้วยยัยอร”
อรอินทุ์กอดอกมองทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีแม้รอยขีดข่วน ทั้งที่ในมือของเธอไม่มีอาวุธอะไรแม้แต่อย่างเดียว หนุ่มในออฟฟิศที่เคยเข้ามาจีบเธอพากันกลืนน้ำลายรู้สึกโชคดีที่ไม่ได้หัวแตกอย่างเจ้านาย
“เธอน่าจะดีใจนะพลอยที่เข้ามาเห็นว่าที่สามีที่แสนดีในสภาพนี้ ไม่ใช่กำลังนัวเนียกับผู้หญิงอื่น แล้วที่ฉันทำก็เพื่อตัวเองและเพื่อเธอ ไอ้ผู้ชายเจ้าชู้แบบนี้ ใครได้ไปทำพืชทำพันธุ์มีแต่ซวยกับซวย กลับตัวกลับใจไปหาใหม่ยังทันนะเธอน่ะ”
“ยัยอร! จะมากไปแล้วนะ”
แพรพลอยชี้หน้าเพื่อนพร้อมกับลุกขึ้นจะไปเอาคืนให้คู่หมั้น แต่สมพงศ์กระชากแขนไว้แล้วส่ายหน้า ขนาดเขาผู้ชายอกสามศอกยังไม่รอดจากมือมหากาฬของยัยโหดนั่นเลย
อรอินทุ์จุ๊ปาก ก้าวเข้าไปหา สมพงศ์ลากแพรพลอยถอยกรูดไปด้วยกัน ถ้ายัยนั่นปูดว่าเขาทำอะไร เผลอๆ แพรพลอยก็อาจกลายร่างเป็นยัยโหดไปอีกคนก็ได้ ทำยังไงดีวะ
“ไหนๆ เธอก็จะมาเป็นว่าที่ภรรยาของผู้ชายคนนั้นก็ช่วยบอกเขาว่าอย่าตอแยฉันอีก วันนี้ฉันมาทำงานเป็นวันสุดท้ายนึกว่าจะจบสวยๆ ที่ไหนได้ อ้อ ใบลาออกน่ะ ถึงเขาไม่เซ็นฉันก็ไม่สน”
แพรพลอยหันไปมองคู่หมั้นแทน ก่อนจะฟาดฝ่ามือไปที่อกของเขาเต็มแรง รายนั้นเจ็บแต่ไม่กล้าตอบโต้ ก็ใครล่ะให้เงินเขามาเปิดบริษัท
“ทำไมฉันไม่รู้มาก่อนว่าเธอจะลาออก”
“ฉันยื่นใบลาออกไปตั้งแต่เดือนก่อน วันนี้ก็ครบตามเวลาที่แจ้งไว้แล้ว ไม่ใช่ลาออกวันนี้ไปวันนี้ ไม่รู้หละ ฉันจะไปแล้ว ไปเคลียร์กันเองแล้วกัน”
อรอินทุ์หันหลังจะเดินออกจากห้อง พนักงานคนอื่นๆ พากันเขยิบถอย เบญญาเชิดหน้าเหมือนจะเอาเรื่องให้นาย แต่พออรอินทุ์เดินไปใกล้ก็ถอยไม่เป็นท่าเหมือนกัน
“พี่พงศ์ทำไมไม่บอกพลอยคะ”
แพรพลอยละล้าละลัง นี่ก็คนรัก โน่นก็เพื่อน แต่เรื่องที่จะยอมให้คนทำร้ายสมพงศ์เดินจากไปง่ายๆ แบบนั้นน่ะเหรอไม่มีทาง
“คิดว่าฉันจะยอมให้เธอไปง่ายๆ เหรอยัยอร ใครก็ได้โทรแจ้งตำรวจเดี๋ยวนี้”
เบญญารีบจัดการให้ทันที อรอินทุ์ไปที่โต๊ะทำงานแล้วเก็บของที่เหลืออยู่น้อยนิดเพราะทยอยเก็บมาหลายวันแล้วอย่างไม่รีบร้อน เธอไม่คิดหนี ในเมื่อเธอทำร้ายสมพงศ์จริงๆ แต่เหตุผลที่ทำร้ายนี่สิ ก็ว่าจะไม่พูดแล้วเชียวนะ
อรอินทุ์น่าจะงานเข้าแล้ว
จะมา up เรื่อยๆ นะคะ ขอบคุณสำหรับการติดตามอ่านค่ะ
อัมราน_บรรพตี
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 190
แสดงความคิดเห็น