ภาคโซมายา บทที่ 10 จักรพรรดินีโมราน่า
บทที่ 10 จักรพรรดินีโมราน่า
เกือบทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมาเชลีและกาบี้ต่างก็ทำหน้าที่พี่เลี้ยงให้เอลลานีนและฮาฟเป็นอย่างดี กิจกรรมแรกคือพาสำรวจในคฤหาสน์ ซึ่งนั้นทำให้รู้ว่าเทซนิมไม่ได้ร่ำรวยอย่างที่คิดไว้เลย ของประดับตกแต่งมีเพียงภาพวาดและรูปปั้น ถ้าเอาไปขายก็ไม่รู้จะได้ราคาสักเท่าไหร่ แต่สิ่งที่เอลลานีนถูกใจนั่นก็คือสวนด้านหลังคฤหาสน์อุดมไปด้วยพืชผักสมุนไพรนานา ทำให้เด็กสาวเริ่มเห็นช่องทางการหาเงินรำไร
ทุกๆ เย็นเชลีจะพาเอลลานีนออกมาเดินเล่นยังสวนหลังบ้าน เด็กสาวก็จะตื่นเต้นเมื่อพบพืชหน้าตาแปลกๆ ที่ขึ้นอยู่มากมาย และเชลีก็จะคอยอธิบายสรรพคุณให้ฟัง เดินเลยไปอีกหน่อยก็จะพบกับทุ่งดอกไม้ป่าละลานตา และเป็นแหล่งอาหารของฝูงผึ้งของราชาคิลบีเพื่อนบ้านขี้โมโหที่อาศัยอยู่ในป่าด้านหลังคฤหาสน์ ซึ่งกาบี้และเชลีต่างก็พยายามจะผูกสัมพันธ์กับชาวผึ้งแต่ก็ไม่สามารถเข้าใกล้พวกนั้นได้เลย เหมือนกับว่าเหล่าผึ้งไม่ยินดีที่จะคบค้าสมาคมกับคนของเทซนิมทั้งๆ ที่พวกผึ้งต้องอาศัยน้ำหวานจากดอกไม้ในคฤหาสน์ดำรงชีพ
เอลลานีนเชื่อว่าพวกผึ้งคงหวงความเป็นส่วนตัวของตน เพราะคิดว่าเทซนิมมาบุกรุกพื้นที่บ้าน แต่เธอคิดผิดเพราะเชลีบอกว่าคิลบีเพิ่งพาฝูงผึ้งมายึดครองป่าหลังคฤหาสน์เมื่อสองสามปีก่อนนี่เอง และดูเหมือนว่าพวกเขากำลังหนีอะไรบางอย่าง แรกๆ ชาวเทซนิมก็ต่างคนต่างอยู่ แต่เชลีเห็นว่าหลังๆ ราคาของน้ำตาลและน้ำผึ้งในเมืองมีราคาสูงขึ้นมาเป็นหลายเท่าตัว เธอจึงต้องการผูกสัมพันธ์กับคิลบีเพื่อที่จะขอซื้อน้ำผึ้งในราคาที่ต่ำลงกว่าท้องตลาด ดังนั้นภารกิจพิชิตน้ำผึ้งจากคิลบีของเชลีและกาบี้จึงเริ่มต้นขึ้น แต่ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า และต้องวิ่งหนีเหล็กนัยและการไล่ตะเพิดของราชาคิลบีกลับมาแทบจะทุกครั้งที่ไปป้วนเปี้ยนใกล้ฝูงผึ้ง
แรกๆ เอลลานีนก็ไม่ได้ใส่ใจกับภารกิจของทั้งคู่มากนัก ก็แค่ราชาผึ้งเอง ไม่จำเป็นต้องปฏิสัมพันธ์กันก็ได้ ต่างคนต่างอยู่ก็ดีอยู่แล้ว แต่พอได้ยินถึงสรรพคุณของน้ำผึ้งที่คิลบีครอบครองอยู่เด็กสาวจึงสมัครเข้าเป็นพรรคพวกของเชลีทันที เมื่อเห็นถึงรายได้ที่จะหลั่งไหลเข้ามาเป็นกอบเป็นกำ และถ้าเธอดิวกับราชาผึ้งได้ละก็...รายได้หรือการปลดหนี้ก็จะไม่ใช่ฝันลมๆ แล้งๆ อีกต่อไป แต่ทว่าการที่จะดิวกับราชาผึ้งนั้นช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน แม้แต่จะเข้าใกล้เขาสักน้อยก็ยากเต็มที แค่ย่างกรายไปใกล้รัศมีของทุ่งดอกไม้ที่ตนเองครอบครองอยู่ ทั้งเธอและสองภูติน้อยก็ต้องวิ่งหนีเหล็กนัยขององครักพิทักษ์ราชาหัวซุกหัวซุนกันทุกวัน ดังนั้นเอลลานีนจึงบอกกับเชลีและกาบี้ให้พักภารกิจพิชิตราชาผึ้งเอาไว้ก่อน ส่วนฮาฟนั้นเขาไม่ร่วมด้วยตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เมื่อเห็นสภาพสะบักสะบอมของทั้งสามก็เพียงส่ายหน้าอย่างระอา
หลังจากที่อยู่ร่วมกับฮาฟเด็กหนุ่มดวงตาสีมรกตที่มีบุคลิกเหมือนมีอไรในใจ ในวันหนึ่งเอลลานีนก็ได้รู้ว่าฮาฟไม่ใช่ชาวลูน่าแต่กำเนิดเหมือนกันกับเธอ แต่เขากลับเป็นชาวเผ่ามังกรที่อพยพมาอาศัยในเมืองลูน่าตังแต่เด็กแล้ว เนื่องจากเธอบังเอิญไปเห็นเขาฝึกใช้พลังเวทย์ ดังนั้นต่อมเผือกที่เด็กสาวสะกดไว้นานปีก็เริ่มทำงาน ท้ายที่สุดเด็กหนุ่มทนการซักถามของเอลลานีนไม่ไหวจึงบอกถึงแหล่งกำเนิดของตน
"ฉันจำอะไรไม่ค่อยได้แล้วล่ะ รู้ว่ามีเหตุการณ์บางอย่างในเมืองที่ทำให้คนในหมู่บ้านของฉันต้องพากันอพยพออกจากเมือง ตอนนั้นฉันเด็กมาก อีกอย่างพ่อแม่เองก็ไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังเลย แม้ว่าฉันจะพยายามถามท่านหลายครั้ง แต่ท่านทั้งสองก็ปิดปากเงียบ ฉันเลยตัดสินใจมาทำงานที่โซมายา อย่างน้อยอาจจะได้รู้อะไรบ้าง"
"ไม่เห็นต้องอยากรู้อะไรเลยนี่นนา ครอบครัวของนายก็อยู่สุขสบายกันที่เมืองลูน่าอยู่แล้ว"
"อยากรู้สิ เพราะท่านทั้งสองไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริงของฉัน ท่านเป็นคนที่พ่อแม่ฝากฉันไว้ก่อนจะหายสาปสูญไป ฉันจึงต้องการตามหาร่องรอยของพ่อแม่ อย่างน้อยก็จะได้รูว่าพวกท่านยังมีชีวิตอยู่หรือตายจากฉันไปแล้ว"
"ไม่แน่น้า นายอาจจะเป็นเจ้าชายมังกรที่พลัดพรากจากบิดามารดาอย่างซีรี่ส์ที่ฉันเคยดูก็ได้" ฮาฟมองเด็กสาวชาวมนุษย์อย่างงุนงงกับคำสัพท์ใหม่ของเธอ แม้ว่าจะอดสะดุ้งในใจกับคำเรียกขานของเธอก็ตาม ไม่นานเขาก็ปรับความรู้สึกได้
"อะไรคือซีรีส์ ทำไมฉันไม่เคยดู เธอไปดูที่ไหนมา" คำถามรัวๆ ของฮาฟทำให้เอลลานีนถึงกับสะดุ้งโหยง
"เอ่อ! ฉันก็พูดเพ้อเจ้อไปเรื่อยแหละ ว่าแต่ฉันอิจฉานายชะมัดเลยที่มีพลังวิเศษติดตัว เฮ้อ! ทำไมฉันถึงไม่มีพลังวิเศษเหมือนกันกับทุกคนน้า" เอลลานีนรำพึง
ขณะนั้นเชลีก็วิ่งตรงมายังลานหน้าคฤหาสน์ที่ทั้งคู่นั่งอยู่ สภาพของภูติน้อยมอมแมมไม่ต่างจากวันแรกที่พบกัน ยังดีที่มงกุฎดอกไม้บนศีรษะเล็กๆ ยังมีสภาพดีอยู่บ้าง รอยถลอกปอกเปิกตามแขนขาค่อยๆ สมานตัวช้าๆ ไม่นานกาบี้ก็ตามมาติดๆ และสภาพของภูติจิ้งจอกก็ไม่ต่างจากเชลีสักเท่าไหร่ ทั้งฮาฟและเอลลานีนต่างก็ส่ายหน้าพร้อมๆ กัน
"ไปซุ่มดูราชาผึ้งขี้โมโหมาอีกแล้วเหรอเชลี" เอลลานีนเห็นสภาพเอน็ดอนาดของภูติน้อยก็นึกรู้ได้ในทันที ฝ่ายนั้นเพียงพยักหน้ารับน้อยๆ เลื่อนสายตาลงต่ำก็เห็นมือเล็กๆ ของเธอถืออะไรบางอย่าง
"เผื่อว่าจะได้พบราชาสักครั้ง" เชลีว่า
"แล้วเป็นไงล่ะ หยุด...ไม่ต้องบอกหรอก จากสภาพที่เห็นคงกินแห้วกลับมาอีกแล้วล่ะซิ" เอลลานีนว่า แต่ด้วยความลืมตัวเธอก็เผลอพูดคำศัพท์แปลกๆ ออกมาอีกแล้ว ทั้งเชลีและฮาฟตางก็ปล่อยคำศัพท์แปลกๆ ที่เด็กสาวพูดทิ้งไป เพราะถามอย่างไรก็ไม่ได้รับคำตอบอยู่ดี เพื่อวามสบายใจเลยลงความเห็นว่าเธอเพี้ยนเสียเลย
"ก็เชลีคิดว่าเราน่าจะมีโอกาสนี่เจ้าคะ" ภูติน้อยรับเสียงอ่อยพลางขยับไปยืนใกล้ๆ เด็กสาว
"เอาล่ะครั้งนี้ก็แล้วไปเถอะ เชลีเชื่อฉันสักครั้งเถอะนะ เราอย่าเพิ่งไปเข้าใกล้ฝูงของราชาคิลบีเลย ไว้ให้พวกเขาหละหลวมกว่านี้แล้วเราค่อยย่องไป ตอนนี้แค่พวกเราโผล่หัวไปนิดเดียวสมุนของราชาคิลบีก็จัดการพวกเราแล้ว" ภูติน้อยพยักหน้า
"ว่าแต่เมื่อกี๊นี้ท่านเอลล่าเป็นอะไรเหรอเจ้าคะ ทำไมหน้าเศร้า" ภูติน้อยถามเมื่อสังเกตเห็นสีหน้าหม่นๆ ก่อนหน้านี้ของเด็กสาว เอลลานีนฉีกยิ้มกว้างแล้วชี้นิ้วไปทางเด็กหนุ่มดวงตาสีมรกตที่นั่งควงดาบไม้อยู่ไม่ห่าง
"ก็อิจฉาเจ้าชายฮาฟน่ะซี่ เขาเป็นถึงชาวเผ่ามังกรเลยนะเชลีรู้แล้วหรือยัง" เด็กสาวตั้งใจจะเปิดโปงความลับของเพื่อนร่วมชะตากรรม แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อได้ยินคำตอบของเชลี
"เชลีทราบตั้งแต่วันแรกแล้วเจ้าค่ะ กาบี้ก็ด้วย" เอลลานีนถึงกับอ้าปากกว้างอย่างคาดไม่ถึง
"โฮ่ง! ฮ่ง!" เสียงรับรองของกาบี้ทำเอาเด็กสาวถึงกับหน้างอ
"นี่นายทำเป็นอึกอัก ไม่ใช่ไม่อยากบอกฉันหรอกเหรอ" เอลลานีนหันไปไล้เบี้ยเอากับฮาฟที่อมยิ้มอย่างอารมณ์ดี
"อันที่จริงก็คิดว่าเธอรู้แล้ว แต่พอเธอขยั้นคยอเลยกะจะแหย่เล่นๆ เท่านั้นเอง ใครจะคิดว่าเธอจะตื่นเต้นขนาดนี้กันล่ะ ถามจริงๆ เถอะเอลล่า เธอแยกมนุษย์ต่างเผ่าไม่ออกเลยจริงๆ เหรอเนี่ย" ฮาฟถึงกับหัวเราะออกมา เอลลานีนทำหน้าบึ้ง
"ฉันไม่ได้เป็นคนช่างสังเกตนี่นา ก็คิดแต่ว่าเมืองลูน่ามีแต่มนุษย์ที่อาศัยอยู่อย่างเดียว ใครจะไปรู้ว่าคนต่างเผ่าพันธุ์จะอพยพมาอยู่ด้วยได้ หนังสือก็ไม่เขียนบอกไว้ซะด้วย" เด็กสาวหน้ามุ่ย
"สรุปว่าทุกคนในเทซนิมยกเว้นฉัน" เด็กสาวชี้นิ้วเข้าหาตัว
"เอลล่าหญิงสาวชาวลูน่าผู้อ่อนแอบอบบาง ไม่มีพลังวิเศษติดตัวเหมือนอย่างเพื่อนๆ เฮ่อ! น่าเศร้าชะมัด" เด็กสาวโอดอย่างไม่จริงจังนัก
"แหมๆ! อ่อนแอบอบบางเหรอ แล้วไอ้พลังแขนพลังขามากมายมหาศาลที่เธอมีอยู่เรียกว่าอะไรกันฮะ เห็นอย่างนี้ฉันไม่กล้าเชื่อว่าเธอจะเป็นเด็กสาวอ่อนแอบอบบางได้เลย" ฮาฟสัพยอก เอลลานีนได้แต่ส่งค้อนวงใหญ่ให้
"ท่านเอลล่าเป็นมนุษย์แต่กำเนิด ไม่มีพลังวิเศษแฝงในร่างกาย ส่วนพลังแขนขาแข็งแรงที่ท่านฮาฟว่านั้นน่าจะเกิดจากพรสวรรค์ล้วนๆ เจ้าค่ะ แม้ว่าจะไม่มีพลังวิเศษอย่างคนอื่น แต่ท่านเอลล่าไม่ต้องกังวลหรอกเจ้าค่ะ เพราะเชลีมีของวิเศษไว้ให้ท่านเอลล่าป้องกันตัวแล้ว" เชลีปลอบพร้อมกับสวมเชือกหนังที่มีวัตถุสีฟ้าใสแกะสลักเป็นรูปนกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเทซนิมลงบนลำคอของเด็กสาว เอลลานีนอมยิ้มอย่างถูกใจ
"แล้วมันจะแตกเหมือนสองครั้งก่อนไหม" เด็กสาวใช้ปลายนิ้วไล้บนเนื้อโหลหะ หวลนึกถึงกำไลหยกและนกโลหะที่เคยได้รับจากบุรุษตาสีฟ้าแล้วถูกทำลายไปทั้งสองชิ้นก็อดเสียดายไม่ได้
"ไม่แตกเจ้าค่ะ เพราะวัตถุวิเศษชิ้นนี้เชลีสัมผัสถึงจิตวิญญาณของนายท่านที่ผนึกไว้ เก็บไว้ดีๆ นะเจ้าคะ เพราะบลูเบิร์ดที่นายท่านให้ท่านเอลล่าติดตัวไว้ จะเป็นเกราะป้องกันยามที่ถูกทำร้าย มันจะสำแดงพลังปกป้องเมื่อสัมผัสถึงพลังคุกคามเจ้าค่ะ" ภูติน้อยอธิบาย เด็กสาวเพ่งพินิจวัตถุสีฟ้าใสที่อยู่ในมืออย่างพิจารณา ลายเส้นงดงามอ่อนช้อยของผู้แกะสลักทำให้อดที่จะชื่นชมในฝีมือไม่ได้
"ส่วนท่านฮาฟ นายท่านบอกว่าท่านมีพลังในตัวอยู่แล้ว เพียงหมั่นฝึกใช้พลังด้วยตัวเองบ่อยๆ ห้ามละเลยแม้แต่วันเดียว ไม่นานท่านก็จะสามารถใช้พลังที่กักเก็บในร่างกายได้อย่างใจต้องการเจ้าค่ะ" เชลีหันไปพูดกับเด็กหนุ่มที่กำลังมองบลูเบิร์ดในมือของเอลลานีนอย่างสนใจ
"ฉันรู้แล้ว ว่าแต่เอลล่าฉันยังมีของเล่นให้เธอเก็บไว้ป้องกันตัวด้วย เพราะบลูเบิร์ดถ้าเอาออกมาใช้บ่อยๆ ก็จะเป็นจุดเด่น เผื่อเธอมีศัตรูที่ต้องการจัดการเธอ คราวนี้ก็จะตามตัวเธอได้ง่าย แล้วพวกเราก็จะเดือดร้อนไปด้วย"
"เอ๊ะ! สรุปกลัวตัวเองเดือดร้อน นี่นายไม่ได้ห่วงฉันเลยรึยังไง" เอลลานีนโวยวายอย่างไม่จริงจังนัก
"ก็ร่างกายที่ฟันแทงไม่เข้าของเธอมันน่าสนใจน้อยเสียเมื่อไหร่ รู้ไหมว่าร่างกายแบบเธอเนี่ยมันยังไม่เคยมีในชาวมนุษย์ด้วยซ้ำ จะถือว่าเธอเป็นมนุษย์คนแรกที่มีร่างกายพิเศษของโลกก็ว่าได้ ดีที่ยังไม่มีใครรู้เรื่องนี้ ไม่งั้นเธอได้ถูกหมายหัวจากชาวพ่อมดแม่มดไปแล้ว แต่ก็ว่าเถอะนะ มีร่างกายพิเศษแล้วแต่ไม่มีพลังป้องกันตัวก็ลำบาก ฉันเลยเสียสละของวิเศษไว้ให้เธออีกอย่างแล้วกัน อย่างน้อยพวกเราก็ไม่ต้องกังวลกับเธอมากนัก" ฮาฟว่าพร้อมกับถอดกำไลโลหะสีเงินส่งให้เด็กสาว เอลลานีนรับมาแบบงงๆ
"ร่างกายของฉันมันเป็นที่ต้องการขนาดนั้นเลยเหรอ" ประโยคหลังเด็กสาวหันไปถามเชลี
"ใช่เจ้าค่ะ ท่านฮาฟพูดไม่ผิด ไม่ใช่แต่พ่อมดแม่มดที่ต้องการครอบครองร่างกายพิเศษของท่านเอลล่า ถ้าเผ่าพันธุ์อื่นๆ รู้เรื่องนี้ ท่านเอลล่าเองที่จะลำบาก เชลีเห็นด้วยกับท่านฮาฟว่าท่านเอลล่าควรจะมีวัตถุวิเศษติดตัวไว้เยอะๆ พยายามอย่าบาดเจ็บให้ใครเห็นเป็นดีที่สุด" เชลีสัมทับ
"แล้วทำไม...ฉันไม่เข้าใจเลย พวกเขาจะเอาร่างกายของฉันไปทำอะไรกัน พลังวิเศษอะไรก็ไม่มีสักอย่าง" เอลลานีนไม่เข้าใจจริงๆ
"เธอเคยได้ยินเรื่องเล่าของราชินีโมราน่าไหม" ฮาฟถาม เด็กสาวส่ายหัวปฏิเสธ
"ไม่เคย แล้วมันเกียวกับร่างกายของฉันยังไง" เธอว่า
"เฮ้อ! เอลล่า นี่ถ้าฉันไม่รู้ว่าเธอเป็นชาวลูน่า ฉันต้องคิดว่าเธอมาจากโลกอื่นแน่ๆ " ฮาฟบ่นอย่างระอา แต่นั่นทำให้เด็กสาวสะดุ้งวาบในใจ
'ก็ฉันมาจากที่อื่นจริงๆ นั่นแหละ' เธอได้แต่โต้เถียงในใจ
"เอาน่า ไหนๆ นายก็พูดมาขนาดนี้แล้ว ช่วยสงเคราะห์เล่าให้ฉันฟังหน่อยแล้วกันน้าฮาฟ" เธอขอร้อง
"ฉันจะเสียสละเวลาแสนมีค่าของตัวเองเล่าให้เธอฟังก็แล้วกัน" ฮาฟว่าทำให้เด็กสาวรู้สึกหมั่นไส้
"แหมๆ! เกินไปย่ะเจ้าชายมังกร จะเล่าก็รีบๆ เลย เดี๋ยวมันจะรบกวนเวลานายเกินไป" เอลลานีนเหน็บเข้าให้ ฝ่ายถูกเหน็บถึงกับวางสีหน้าไม่ถูกไปชั่วขณะ เขากระแอมก่อนจะเริ่มเล่า
"นานมาแล้ว...ในเมืองที่มีชื่อว่ามาดาฮาวาซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของโซมายา ชาวเมืองส่วนใหญ่เป็นครอบครัวของพ่อมดและแม่มดตั้งรกรากกันมาอย่างยาวนาน มาดาฮาวาจึงถูกขนานนามให้เป็นดินแดนของเหล่าแม่มด-พ่อมดไปโดยปริยาย ทั้งยังเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์ทัญญาหารส่งผลให้ชาวเมืองมาดาฮาวามีชีวิตที่ดีไม่อดอยากอย่างเมืองอื่นๆ และนั่นทำให้มาดาฮาวาเป็นที่หมายปองของเผ่าพันธุ์อื่น แต่ในขณะนั้นเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งและทรงพลัง มีอยู่สองเผ่า คือ เผ่ามังกรและเผ่าของภูติ
แต่ชาวเผ่ามังกรรักความสงบไม่ยุ่งเกียวกับโลกภายนอก เป้าหมายสูงสุดคือดำรงเผ่าพันธุ์จึงไม่ได้เปิดเมืองรับการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นชนเผ่ามังกรจึงลึกลับยากที่จะเข้าถึง ผิดจากชนเผ่าของภูติ ราชาภูติต้องการเป็นใหญ่เหนือเผ่าพันธุ์ทั้งปวง จึงทำสงครามเพื่อขยายดินแดน และเป้าหมายหลักก็คือการยึดครองเมืองมาดาฮาวามาเป็นของตน
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 329
แสดงความคิดเห็น