ตอนที่ 321 ผ่าน 3 เงื่อนไข
ตอนที่ 321 ผ่าน 3 เงื่อนไข
เซี่ยเฟยอยากจะบีบคอขนอุยให้ตายไปเลยตั้งแต่ในตอนนี้ เพราะมูลค่าของหัวใจจักรวาลสีม่วงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถประเมินค่าเป็นเงินได้
ขนอุยดูดซับพลังงานจากหัวใจจักรวาลและนอนตีพุงกลม ๆ ของมันอย่างเกียจคร้าน พร้อมกับส่งเสียงเรอออกมาเป็นระยะ ๆ
ขณะเดียวกันหัวใจจักรวาลสีม่วงที่เคยเปล่งประกายก็หม่นหมองลงไปจากเดิมพอสมควร ซึ่งถ้าหากว่าได้ประเมินจากประกายแสงที่ลดลงไปแล้ว ขนอุยก็น่าจะดูดซับพลังจากหัวใจจักรวาลไปประมาณ 1 ใน 3 ภายใต้การดูดซับพลังงานเพียงแค่ครั้งเดียว
ชายหนุ่มไม่รู้จริง ๆ ว่าเจ้าก้อนตัวน้อย ๆ ตัวนี้สามารถดูดซับพลังงานที่หนาแน่นขนาดนั้นเข้าไปได้ยังไง เพราะถึงแม้ว่าเซี่ยเฟยจะพยายามดูดซับพลังงานจากหัวใจจักรวาลสีม่วงเข้าไปเพียงแค่เล็กน้อย มันก็ทำให้ร่างกายของเขาสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างรุนแรง แต่เจ้าขนอุยตัวนี้กลับไม่ได้มีปฏิกิริยาเหมือนจะเป็นอันตรายเลยแม้แต่นิดเดียว ทั้ง ๆ ที่หัวใจจักรวาลสีม่วงมีพลังงานอัดแน่นมากกว่าหัวใจจักรวาลสีแดงนับพันเท่า
“ทำได้ดีมากขนอุย!” อันธหยอกล้อขึ้นมาอย่างมีความสุข
“ดีบ้านนายสิ! นายก็รู้ว่าหัวใจจักรวาลสีม่วงเป็นสมบัติล้ำค่า ถ้าหากว่ามันจะกินแต่สมบัติแบบนี้ฉันก็คงจะล้มละลายแม้ว่าจะคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดก็ตาม” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับกรอกตาไปหาอันธ
ในความเป็นจริงบรรดาสิ่งของที่เซี่ยเฟยวางเอาไว้บนโต๊ะมีหัวใจจักรวาลสีแดงวางอยู่ด้วย แต่ขนอุยกลับไม่แม้แต่จะหันมองหัวใจจักรวาลสีแดงเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะมันได้มุ่งตรงเข้าไปหาหัวใจจักรวาลสีม่วงโดยไม่รีรอ
เซี่ยเฟยยกนิ้วขึ้นมานับอย่างลำบากใจเพื่อพยายามคำนวณค่าอาหารมื้อนี้ที่ขนอุยได้กินเข้าไป ซึ่งตัวเลขที่เขาได้ประมาณการขึ้นมามันก็ทำให้เขารู้สึกอยากจะเป็นลม
“ฉันจะใช้มนตราอสูรสื่อสารกับไอ้ก้อนนี้แล้วนะ ฉันอยากจะรู้จริง ๆ ว่าในหัวของมันมีอะไรอยู่บ้าง?” เซี่ยเฟยกล่าวขึ้นมาอย่างก้าวร้าว เพราะมื้ออาหารของขนอุยมื้อนี้มากพอที่จะซื้อยานรบลำใหม่ได้หลายลำ
“อย่านะ! ขนอุยยังเป็นแค่ทารก ถ้าหากว่าสมองของมันได้รับผลกระทบจากวิชามนตราอสูร มันอาจจะเป็นบาดแผลที่ไม่สามารถรักษาได้เลยตลอดชีวิต ฉันว่านายควรจะรอให้มันโตมากกว่านี้ก่อน” อันธพยายามหยุดเซี่ยเฟยเอาไว้
“ฉันยังจะต้องเลี้ยงเจ้าตัวตะกละตัวนี้อยู่อีกเหรอ? ฉันจะฆ่ามันให้ตายเดี๋ยวนี้เลย!” เซี่ยเฟยกล่าวขึ้นมาอย่างดื้อรั้น
“ใจเย็น ๆ ถึงยังไงมันก็กินพลังงานจากหัวใจจักรวาลสีม่วงไปแล้ว ถ้าหากว่านายฆ่ามันในตอนนี้นายก็จะไม่ได้ต้นทุนคืนมาเลยแม้แต่เหรียญเดียว” อันธพยายามเกลี้ยกล่อม
เซี่ยเฟยตกตะลึงไปครู่หนึ่งเพราะคำพูดของอันธเป็นเรื่องที่มีเหตุผล แม้ว่าเขาจะสามารถบีบคอขนอุยให้ตายได้เลยตั้งแต่ตอนนี้ แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะบังคับให้มันคายสิ่งที่มันเพิ่งกินเข้าไปออกมาได้อยู่ดี
ฟับ!
เซี่ยเฟยยกนิ้วขึ้นมาดีดขนอุยอย่างรวดเร็ว แต่เจ้าตัวเล็กเหมือนกับรู้ว่าเซี่ยเฟยกำลังโกรธมันจึงกระโดดหมุนตัวกลางอากาศหลบการจู่โจมอย่างสวยงาม ก่อนที่มันจะตกลงมาบนฝ่ามือของเซี่ยเฟยอย่างแม่นยำ และเริ่มเลียมือของเขาอีกครั้งราวกับว่ามันกำลังขอบคุณที่เลี้ยงอาหารอันโอชะ
พฤติกรรมของขนอุยถือว่ามันเป็นสัตว์อสูรที่ฉลาดมาก เพราะมันไม่ได้ทำตัวงอแงหรืองี่เง่าเหมือนกับสัตว์อสูรโดยทั่วไป แล้วมันก็ยังรู้จักวิธีการออดอ้อนไม่ให้เจ้านายรู้สึกโกรธมันมากขึ้นกว่าเดิม
เซี่ยเฟยทำได้เพียงแต่ถอนหายใจพร้อมกับเก็บสิ่งของบนโต๊ะกลับเข้าไปในแหวนมิติอีกครั้ง จากนั้นเขาก็หยิบหัวใจจักรวาลสีม่วงขึ้นมามองเป็นเวลานาน ก่อนที่เขาจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่และเก็บมันเข้าไปไว้ในแหวนมิติ
นับตั้งแต่ที่เขาได้รับวิธีการดูดซับพลังงานจากหัวใจจักรวาล เซี่ยเฟยก็พยายามคิดเกี่ยวกับวิธีการสร้างอุปกรณ์แปลงพลังงานเพื่อที่เขาจะได้สามารถดูดซับพลังงานจากหัวใจจักรวาลสีม่วง แต่ในตอนนี้เขาก็คงไม่จำเป็นจะต้องคิดหาวิธีการพวกนั้นอีกต่อไปแล้ว เพราะพลังงานในหัวใจจักรวาลสีม่วงคงจะหมดลงในไม่ช้า
ที่สำคัญกว่านั้นคือเซี่ยเฟยยังไม่รู้ว่าขนอุยมันจะกินอะไรเป็นอาหาร ถ้าหากว่าเขาได้ให้พลังงานจากหัวใจจักรวาลสีม่วงไปจนหมดแล้ว
“ไอ้ตัวเจ้าเล่ห์!” เซี่ยเฟยสาปแช่งขนอุยเบา ๆ แต่เจ้าตัวเล็กก็ยังคงเลียมือของชายหนุ่มอย่างประจบประแจงราวกับว่ามันไม่รู้สึกถึงคำสาปแช่งที่เขากำลังด่าตัวมันเลย
“จากข้อมูลในบันทึกจารึกมนตราอสูรมีข้อความตอนหนึ่งได้บอกว่ายิ่งระดับของสัตว์อสูรสูงมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งพิถีพิถันในเรื่องการกินมากขึ้นเท่านั้น ฉันว่าการที่ขนอุยเลือกกินหัวใจจักรวาลสีม่วง มันก็แสดงว่าระดับของสัตว์อสูรชนิดนี้น่าจะสูงเกินกว่าที่พวกเราได้จินตนาการกันเอาไว้” อันธกล่าว
“ฉันรู้ว่านายพยายามจะสื่ออะไรและระดับของมันคงจะสูงมากอย่างไม่ต้องสงสัย แต่อาหารที่มันกินก็ยังทำให้ฉันรู้สึกหงุดหงิดอยู่ดี” เซี่ยเฟยนั่งลงบนเก้าอี้พร้อมกับจุดบุหรี่ขึ้นมาสูบ
“ใครจะรู้บางทีเจ้าขนอุยนี่อาจจะเติบโตขึ้นมากลายเป็นราชาสัตว์อสูรก็ได้” อันธกล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ
“ราชาสัตว์อสูร? แล้วมันต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่ามันจะเติบโตจนกลายเป็นราชาสัตว์อสูร แล้วนายลองคิดดูสิว่ากว่ามันจะโตได้เท่านั้นฉันจะต้องหมดเงินกับมันไปเท่าไหร่?” เซี่ยเฟยกล่าว
“เอาน่า ยิ่งมันกินของดีมันก็ยิ่งเติบโตขึ้นมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เรื่องนี้มันก็เหมือนกับการลงทุนนั่นแหละ มันไม่สำคัญหรอกว่าเราจะลงทุนไปมากเท่าไหร่ แต่มันสำคัญว่าพวกเราจะได้รับอะไรตอบแทนกลับมามากกว่า”
“ตอนนี้ขนอุยยังเด็กมากและเมื่อมันโตขึ้นนายก็จะสามารถทำสัญญาให้มันกลายเป็นสัตว์อสูรรับใช้นายได้ ในเวลานั้นมันจะไม่มีวันทรยศนายได้อีกต่อไป และถ้าหากว่ามันสามารถเติบโตกลายเป็นราชาสัตว์อสูรได้จริง ๆ ผลประโยชน์ที่นายจะได้รับมันย่อมสูงเกินกว่าเงินที่นายใช้ลงทุนอย่างแน่นอน” อันธกล่าว
“ฉันขอล่ะ แกอย่ากินแบบนี้ทุกวันเลย ไม่อย่างงั้นฉันอาจจะต้องล้มละลายจริง ๆ ก็ได้” เซี่ยเฟยพยักหน้ารับก่อนที่จะยัดเจ้าขนอุยกลับไปในกระเป๋าที่หน้าอก
—
หลังจากที่เวลาได้ผ่านพ้นไปสิ่งที่เซี่ยเฟยกังวลก็ไม่ได้เกิดขึ้น เพราะหลังจากที่ขนอุยได้ดูดซับพลังจากหัวใจจักรวาลสีม่วงมันก็นอนหลับเป็นตายอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าเซี่ยเฟยจะพยายามเอานิ้วไปแหย่เจ้าตัวเล็กแต่มันก็จะตื่นขึ้นมาเลียนิ้วชายหนุ่มเบา ๆ เท่านั้น ก่อนที่มันจะกลับไปนอนหลับสนิทในเวลาเพียงแค่ไม่นาน ราวกับว่าการย่อยพลังงานจากหัวใจจักรวาลสีม่วงก็ค่อนข้างจะเป็นเรื่องยากสำหรับมันอยู่เหมือนกัน
เหตุการณ์นี้ทำให้เซี่ยเฟยนึกถึงประสบการณ์ตอนที่เขาเคยเลี้ยงลูกสุนัขเมื่อตอนที่เขายังเด็ก ซึ่งในตอนแรกเกิดลูกสุนัขจะไม่รู้ว่ามันควรกินมากน้อยแค่ไหน และถ้าหากว่าเขาไม่ควบคุมอาหารให้มันก็อาจจะนำมาซึ่งปัญหามากมายในอนาคต เขาจึงแอบตัดสินใจกับตัวเองอย่างลับ ๆ ว่าหลังจากนี้เขาจะต้องคอยควบคุมปริมาณอาหารไม่ให้ขนอุยดูดซับพลังงานเข้าไปมากเกินไป
หลังจากสังเกตุดูอาการมา 2-3 วัน เซี่ยเฟยก็พบว่าถึงแม้ขนอุยจะนอนหลับสนิทในทุก ๆ วัน แต่สภาพร่างกายของมันก็ยังคงปกติสมบูรณ์ดี โดยเฉพาะขนบนร่างกายของมันที่กลับมาเงางามเหมือนเดิม แต่ร่างกายของมันยังคงเป็นไข่ใบน้อย ๆ ที่ไม่มีวี่แววจะขยายขนาดขึ้นมาเลยสักนิด
แม้ว่าเซี่ยเฟยจะรู้ดีว่าสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งไม่จำเป็นจะต้องมีร่างกายที่ใหญ่โต แต่ร่างกายของสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งก็ไม่ควรจะตัวเล็กเหมือนขนอุยเช่นเดียวกัน เพราะด้วยขนาดตัวของมันก็สามารถถูกดีดกระเด็นออกไปไกลได้อย่างง่ายดายแบบนี้ มันก็คงจะถูกสัตว์อสูรตัวอื่นกลืนเข้าไปภายใต้การงับเพียงแค่ครั้งเดียวด้วยเช่นกัน
เมื่อมีเวลาว่างเซี่ยเฟยก็ตัดสินใจที่จะเริ่มศึกษาหนังสือวิชาต้องห้ามที่เงาสูญมอบให้กับเขา ซึ่งหนังสือฉบับนี้ได้บันทึกวิชาแปลก ๆ เอาไว้อย่างมากมาย และเซี่ยเฟยก็ยังไม่ได้มีโอกาสเรียนรู้วิชาเหล่านี้เลยนับตั้งแต่ที่เขาได้รับมันมา
ก่อนหน้านี้ชีวิตของเขายุ่งมาก เพราะเขาทั้งต้องเข้าร่วมการแข่งขันโกลเดนฟิงเกอร์, ตามแอวริลไปยังสถานที่ต่าง ๆ, ฝึกฝนวิชามนตราอสูร, วิจัยกระดิ่งนรก, อ่านความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการเข้ารหัสหุ่นยนต์, จัดการเรื่องต่าง ๆ ภายในบริษัทควอนตัม, ทำการเจรจากับกรมทหารและยังต้องจัดการเรื่องราวต่าง ๆ อีกอย่างมากมาย
โชคดีที่สมองของเซี่ยเฟยแข็งแกร่งมากเพียงพอ เขาจึงทุ่มเทให้กับการจัดการเรื่องต่าง ๆ โดยพักผ่อนเพียงแค่วันละ 2 ชั่วโมง ซึ่งถ้าหากว่าเขาเป็นคนธรรมดาเขาก็คงจะบ้าตายเพราะความเหนื่อยล้าไปนานแล้ว
โดยในช่วงสัปดาห์นี้เซี่ยเฟยก็ตัดสินใจที่จะพักเรื่องต่าง ๆ เอาไว้ก่อน เพื่อที่เขาจะได้ทุ่มเวลาทั้งหมดไปให้กับการศึกษาวิชาภายในหนังสือต้องห้าม
เซี่ยเฟยเดินถือชามผัดหมี่เข้ามาภายในห้องขณะพลิกดูหนังสือระหว่างที่เขากำลังรับประทานอาหาร โดยห้องพักที่เขากำลังนั่งอยู่นี้ได้รับการตกแต่งอย่างเรียบง่ายและสะอาดตา ซึ่งไม่ใช่การตกแต่งห้องในสไตล์ของชายหนุ่มเลย
ท้ายที่สุดนิโคลก็เป็นคนจัดการดัดแปลงเบโอเนทให้เซี่ยเฟยตามคำสั่ง ซึ่งสิ่งที่ชายหนุ่มทำเพียงอย่างเดียวคือการนำชิพโอเวอร์โหลดจากแวมไพร์มาติดตั้งให้กับยานลำนี้
ในบางครั้งชายหนุ่มก็อยากจะมีชิพโอเวอร์โหลดมากกว่านี้ เพราะการสลับชิพไปมาก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเสมอไป แต่โชคไม่ดีที่ชิพโอเวอร์โหลดใช้เทคโนโลยีของอารยธรรมโบราณ ดังนั้นเขาจึงยังไม่สามารถลอกเลียนแบบเทคโนโลยีเพื่อผลิตซ้ำในช่วงเวลานี้ได้
ผัดหมี่ชามใหญ่หมดลงอย่างรวดเร็วและถึงแม้ว่าฐานะทางการเงินในปัจจุบันจะทำให้เซี่ยเฟยรับประทานอาหารที่ดีกว่านี้ได้ แต่เขาก็ยังชอบกินผัดหมี่อยู่เสมอ เพราะมันทำให้เขานึกถึงช่วงเวลาที่เขายังอาศัยอยู่บนโลก
บางทีอาจจะกล่าวได้ว่าการที่เขาชอบกินผัดหมี่นั่นก็เพราะเขาคิดถึงบ้านก็ได้
“วิชาเจาะเกราะ! วิชานี้ดูดีนะ นายสนใจอยากจะเรียนมันดูไหม?” อันธกล่าวขึ้นมาจากด้านข้าง
“นายลองดูเงื่อนไขของวิชานี้ให้ดี ๆ การจะเรียนวิชานี้จำเป็นจะต้องงดเว้นเรื่องเพศ ฉันคิดว่าฉันไม่อยากจะเป็นพระหรอกนะ” เซี่ยเฟยส่ายหัวพร้อมกับชี้นิ้วไปยังคำอธิบายบรรทัดล่างของวิชา
“ความสัมพันธ์ระหว่างนายกับแอวริลกำลังพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด ฉันว่าถึงนายอยากจะเป็นพระแต่แอวริลก็คงจะไม่ยอมหรอก” อันธพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
เซี่ยเฟยมองไปที่อันธด้วยสายตาอันว่างเปล่า แต่หัวใจของเขาก็กำลังรู้สึกปั่นป่วนอยู่เช่นกัน
แม้ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่มาเกือบ 20 ปีแล้ว แต่เขาก็ยังคงเป็นหนุ่มพรหมจรรย์ที่ยังไม่เคยแตะต้องร่างกายของหญิงสาวเลยสักครั้ง ดังนั้นการพูดถึงเรื่องนี้จึงทำให้เขารู้สึกอายอยู่เล็กน้อย
ในความเป็นจริงเขาก็ยังคงเป็นมนุษย์ที่มีอารมณ์ในทุก ๆ ด้านเหมือนกับผู้ชายปกติ เพียงแต่เขารู้สึกว่าแอวริลเป็นผู้หญิงที่ดีมาก เขาจึงตัดสินใจรอเธออีกนิดก่อนที่จะคิดพัฒนาความสัมพันธ์ให้ลึกซึ้งมากขึ้นกว่านี้
หลังจากคิดได้ดังนั้นเซี่ยเฟยก็พยายามรวบรวมสติเพื่ออ่านหนังสือตรงหน้านี้ต่อไป
ความเป็นจริงเซี่ยเฟยเคยอ่านหนังสือเล่มนี้ผ่านตามาแล้วครั้งหนึ่ง แต่เขาไม่ได้สังเกตรายละเอียดของวิชาทุกวิชาเหมือนในวันนี้ ท้ายที่สุดภายในหนังสือก็มีวิชาต้องห้ามอยู่นับพัน และการพยายามเลือก 1-2 วิชาภายในหนังสือเหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะตัดสินใจได้ง่าย ๆ
ในความเป็นจริงเซี่ยเฟยก็เคยคิดที่จะฝึกฝนวิชาทุกวิชาในหนังสือเล่มนี้เช่นเดียวกันเพียงแต่เขาไม่ได้มีเวลามากมายขนาดนั้น เพราะการฝึกฝนวิชาใดวิชาหนึ่งให้ชำนาญก็จำเป็นจะต้องใช้เวลาในการฝึกฝนนานพอสมควร
ปัจจุบันเซี่ยเฟยมีวิชามนตราอสูรที่ใช้ในการจู่โจมความคิดของศัตรูที่เป็นสัตว์อสูร รวมถึงวิชาเล่ห์สังหารและวิชาพรางจิตอยู่ในมือ ดังนั้นวิชาที่เขายังขาดจึงไม่ใช่วิชาเกี่ยวกับการโจมตี แต่มันจะต้องเป็นวิชาอะไรบางอย่างที่ช่วยเข้ามาชดเชยข้อบกพร่องของเขาเอง
ในหนังสือมีวิชาต้องห้ามที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนอยู่อย่างมากมาย ซึ่งวิชาเหล่านั้นก็มีความแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการร่ำเรียนแต่ละวิชาก็ถือว่าเป็นสิ่งที่เจ็บปวดอยู่เหมือนกัน
เซี่ยเฟยไม่เคยกลัวที่จะต้องเสียสละอะไรบางอย่างเพื่อให้เขาได้รับผลประโยชน์กลับมาอยู่แล้ว เพราะโอกาสย่อมมาพร้อมกับความเสี่ยงอยู่เสมอ เพียงแต่ยังไม่มีวิชาใดในหนังสือเล่มนี้ที่ทำให้เขารู้สึกอยากร่ำเรียนเลยแม้แต่วิชาเดียว
“อะไรกัน นี่นายไม่ชอบสักวิชาเลยเหรอ?” อันธถามอย่างสงสัย
“ฉันรู้อยู่ตลอดว่าการต่อสู้ของฉันยังมีจุดอ่อนที่ต้องปรับปรุง แต่สัญชาตญาณของฉันบอกว่าวิชาพวกนี้ยังไม่ใช่วิชาที่ฉันตามหา เท่าที่ฉันได้อ่านวิชาพวกนี้มาฉันก็คิดว่าวิชาที่น่าสนใจที่สุดน่าจะเป็นวิชากระตุ้นจิต”
“ในความเป็นจริงผลลัพธ์ของการใช้วิชากระตุ้นจิตเป็นสิ่งที่ดีมาก แต่การใช้วิชานี้ไม่เพียงแต่จะเสี่ยงเสียชีวิตเท่านั้น แต่การใช้วิชาแต่ละครั้งยังทำให้สมองได้รับบาดเจ็บแบบถาวรอีกด้วย” เซี่ยเฟยกล่าว
“นักฆ่าเดนตายของสำนักทุกคนต่างก็มีดวงตาอันหมองคล้ำและใบหน้าที่ไร้อารมณ์ ตอนแรกฉันคิดว่าสิ่งที่ทำให้พวกเขาเป็นแบบนั้นเป็นเพราะผลจากการที่พวกเขาแยกตัวออกไปใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว แต่หลังจากที่ฉันได้อ่านคำอธิบายในหนังสือ ฉันก็ได้รู้แล้วว่าสิ่งที่ฉันเห็นเป็นผลข้างเคียงจากการฝึกวิชาทำให้พวกเขากลายเป็นคนที่มีนิสัยไม่ต่างไปจากซากศพที่เดินได้”
“ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าศิษย์พี่ศิษย์น้องที่ได้ถูกรับเลือกให้กลายเป็นนักฆ่าเดนตายจะไม่สามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติได้แบบนี้ และพวกเขาก็คงจะต้องอุทิศชีวิตทั้งชีวิตเพื่อรับใช้สำนักอย่างไร้อารมณ์” อันธกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ
“ทุกสิ่งทุกอย่างมีราคาที่ต้องจ่ายเพื่อแลกเปลี่ยนมันอยู่แล้ว เพียงแต่ฉันรู้สึกว่าอัตราส่วนของราคาที่ต้องจ่ายกับสิ่งที่ได้รับมาจากวิชาต้องห้ามมันยังไม่ค่อยเหมาะสม การพยายามเลือกวิชาใดวิชาหนึ่งจากวิชาพวกนี้เป็นการตัดสินใจที่ยากจริง ๆ” เซี่ยเฟยกล่าว
ทันใดนั้นเซี่ยเฟยก็นึกถึงสิ่งที่เงาสูญได้พูดกับเขาเป็นครั้งสุดท้าย ว่าวิชาทั้งหมดในหนังสือต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นวิชาต้องห้าม ดังนั้นถ้าหากว่าเขาสามารถเรียนรู้ได้ก็ให้เขาเรียนรู้มัน แต่ถ้าหากว่าเขารู้สึกว่ายอมรับวิชาพวกนี้ไม่ได้ก็ให้ทำลายหนังสือเล่มนี้ลงไปซะ
คำพูดของเงาสูญดูแปลกประหลาดมาก เพราะมันเหมือนกับชายชราไม่ต้องการให้เขาฝึกฝนวิชาจากหนังสือเล่มนี้เลย แต่ถ้าหากว่าเงาสูญไม่ต้องการให้เขาเรียนรู้วิชาจากหนังสือเล่มนี้จริง ๆ แล้วทำไมเงาสูญถึงจะต้องให้หนังสือเล่มนี้เป็นของขวัญต้อนรับศิษย์ใหม่อย่างเขาด้วย?
เซี่ยเฟยลุกขึ้นยืนเดินไปเดินมาอย่างใช้ความคิด และยิ่งเขาได้พยายามคิดถึงเรื่องนี้มากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าเงาสูญไม่ต้องการให้เขาเรียนรู้วิชาในหนังสือเล่มนี้มากขึ้นเท่านั้น
“เอาล่ะในเมื่อฉันไม่ต้องการเรียนรู้วิชาจากหนังสือเล่มนี้ มันก็ถึงเวลาที่ฉันจะต้องทำลายมันแล้วสินะ” เซี่ยเฟยกล่าวขึ้นมาเบา ๆ หลังจากที่เขาตัดสินใจที่จะไม่เลือกเรียนวิชาใดเลย
“ไม่นะ! นี่คือของสิ่งเดียวที่ปรมาจารย์เงาสูญทิ้งไว้ให้ อย่างน้อยถ้านายไม่เรียนนายก็สามารถเก็บมันเอาไว้เป็นของดูต่างหน้าได้” อันธพยายามพูดเกลี้ยกล่อมขึ้นมาจากด้านข้าง
“นายอย่าลืมสิว่าอาจารย์เคยบอกฉันว่าถ้าฉันไม่ต้องการฝึกฝนวิชาในหนังสือให้ฉันทำลายหนังสือเล่มนี้ซะ นายก็น่าจะรู้ว่าวิชาในหนังสือเป็นวิชาต้องห้ามที่จะล่อลวงผู้ฝึกให้มุ่งหน้าสู่เส้นทางแห่งความมืด หากฉันเลือกฝึกฝนวิชาใดวิชาหนึ่งจากหนังสือพวกนี้จริง ๆ สักวันหนึ่งฉันก็คงจะกลายเป็นปีศาจขึ้นมาก็ได้ ฉันลองพิจารณาคำพูดของอาจารย์แล้วฉันจึงคิดว่ามันคงเป็นเรื่องที่ดีที่สุดที่เราจะทำลายหนังสือเล่มนี้ตามความต้องการของเขา” เซี่ยเฟยกล่าวอย่างจริงจัง
คำพูดของเซี่ยเฟยทำให้อันธพูดไม่ออก เพราะท้ายที่สุดเขาก็เป็นคนที่เคารพคำสั่งจากอาจารย์อยู่เสมอ ดังนั้นเมื่อเซี่ยเฟยพูดถึงความปรารถนาของเงาสูญอันธจึงไม่คิดที่จะพยายามหยุดเขาอีกต่อไป
ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ!
เซี่ยเฟยโยนหนังสือขึ้นไปในอากาศก่อนที่จะใช้เดือยกระดูกฟันหนังสือจากมุมต่าง ๆ ด้วยความรวดเร็ว
“น่าเสียดายจริง ๆ …” อันธถอนหายใจและส่ายหัวไปมาอย่างรู้สึกเสียดาย
ในความเป็นจริงอันธแอบชื่นชมเซี่ยเฟยอยู่ภายในใจ เพราะสมบัติล้ำค่าเช่นนี้เป็นสิ่งที่ยากจะลงมือทำลายได้จริง ๆ แต่ถึงกระนั้นเซี่ยเฟยก็ยังทำลายหนังสือตามความปรารถนาของเงาสูญทั้ง ๆ ที่หนังสือเล่มนี้ไม่ต่างไปจากของดูต่างหน้าที่เขาได้รับมาจากอาจารย์ของตัวเอง
สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับคนคนหนึ่งคือการพยายามทำในสิ่งที่ฝืนกับความต้องการของตัวเอง เพราะมันมีคนเพียงแค่ไม่กี่คนที่จะหยุดในสิ่งที่ชอบเพื่อทำในสิ่งที่จำเป็น
เซี่ยเฟยหยิบกองกระดาษขึ้นมาจากพื้นเพื่อจะนำกระดาษพวกนี้ไปเผาในเตาเผาขยะ แต่ทันใดนั้นนิ้วของเขากลับสัมผัสได้ถึงสิ่งแปลกปลอมที่ให้ความรู้สึกเย็นราวกับน้ำแข็ง
“หือ!?” เซี่ยเฟยอุทานพร้อมกับพยายามใช้มือค้นหาสิ่งแปลกปลอมท่ามกลางเศษกระดาษ และหลังจากนั้นเพียงแค่ไม่นานเขาก็ได้หยิบผ้าโปร่งใสบาง ๆ ขึ้นมาจากเศษกระดาษ
ผ้าผืนนี้มีความบางราวกับปีกของจักจั่น ซึ่งมันก็ดูเหมือนจะมีตัวอักษรถูกเขียนอยู่บนผ้าผืนนั้นเพียงแต่เขายังไม่รู้ว่ามันระบุเนื้อหาอะไรเอาไว้
เซี่ยเฟยพยายามฉีกผ้าด้วยกำลังแขนของตัวเอง แต่ผลที่ได้กลับทำให้เขารู้สึกประหลาดใจมากขึ้นกว่าเดิม เพราะกำลังแขนของเขาไม่สามารถฉีกผ้าผืนบางผืนนี้ได้คล้ายกับว่ามันเป็นโลหะแข็งมากกว่าผืนผ้าที่พบเห็นได้โดยทั่วไป
“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเดือยกระดูกถึงไม่สามารถตัดผ้าผืนนี้ให้ขาดได้” เซี่ยเฟยพึมพำออกมาเบา ๆ พร้อมกับหยิบผ้าผืนนี้ขึ้นมาดูด้วยความสนใจ
ชายหนุ่มพยายามปัดเศษขยะออกไปจากบนโต๊ะพร้อมกับนำผ้าผืนนี้มาวางเอาไว้ ซึ่งมันก็ทำให้เขาได้มองเห็นข้อความบนผืนผ้าอย่างชัดเจน
“พับและขยี้” เซี่ยเฟยพึมพำพร้อมกับขมวดคิ้ว โดยมีอันธยืนมองจากด้านข้างอย่างตกตะลึง
ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะพับผ้าเข้าด้วยกันและเริ่มถูผ้าทั้งสองด้านด้วยความเร็วเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
ทันใดนั้นผ้าผืนบางก็เริ่มเปล่งแสงสว่างขึ้น!
‘ผ้าชนิดนี้จะตอบสนองก็ต่อเมื่อมันเสียดสีกันงั้นเหรอ?’ เซี่ยเฟยคิดกับตัวเองพร้อมกับเร่งความเร็วมากขึ้นเรื่อย ๆ
ผ้าผืนบางเริ่มสว่างมากขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับความร้อนที่เพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน ซึ่งในขณะที่เซี่ยเฟยกำลังจะไม่สามารถทนความร้อนของผืนผ้าได้นั้น ผ้าผืนเล็กก็ระเบิดออกมาโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว
เซี่ยเฟยหลับตาเนื่องจากแสงสว่างที่รุนแรงเกินไป และเมื่อเขาได้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเขาก็ได้พบกับหน้าจอแสงขนาดใหญ่ที่ได้ลอยอยู่กลางอากาศ
หน้าจอแสงกลางอากาศค่อย ๆ หายไปตามกาลเวลา เซี่ยเฟยจึงต้องรีบอ่านข้อความที่ปรากฏออกมาอย่างระมัดระวัง
“ข้าภูมิใจมากที่เจ้าไม่ได้ฝึกฝนวิชาต้องห้ามเหล่านั้นอย่างโง่เขลา เจ้าควรจะรู้ว่าอันตรายที่ได้รับจากการฝึกฝนวิชาต้องห้ามไม่ได้มีเพียงแค่ที่ระบุเอาไว้ในหนังสือ ดังนั้นข้าจึงถือว่าเจ้าสามารถผ่านเงื่อนไขข้อแรกของการเป็นศิษย์ของข้าได้แล้ว นั่นก็คือเจ้าเป็นคนฉลาดและรู้จักประเมินข้อดีและข้อเสีย”
“แม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะบันทึกวิชาอันตรายเอาไว้ แต่ถ้าหากเจ้านำหนังสือไปขายข้าก็เชื่อว่าเจ้าจะได้รับเงินกลับมาเป็นจำนวนมาก แต่เจ้าเลือกที่จะทำลายหนังสือตามที่พวกเราได้พูดคุยกันเอาไว้ ดังนั้นเจ้าจึงผ่านเงื่อนไขที่ 2 คือการรักษาคำพูด”
หลังจากอ่านข้อความเซี่ยเฟยก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะอันที่จริงเขาไม่ได้ทำเรื่องนี้ตามข้อตกลงที่เขาได้ให้ไว้กับเงาสูญเลยเขาเพียงทำเรื่องทุกอย่างตามสัญชาตญาณ ดังนั้นคำชมจากเงาสูญจึงทำให้เขารู้สึกเขินอายอยู่เล็กน้อย
“นอกจากนี้เจ้ายังไม่ได้ทำลายหนังสือด้วยการเผาหรือการโยนมันทิ้ง เจ้าจึงผ่านเงื่อนไขในข้อที่ 3 นั่นก็คือความโชคดี และเจ้าก็ได้ทำตามเงื่อนไขของข้าอย่างครบถ้วนทั้งสามข้อแล้ว”
***************
จะซับซ้อนไปไหนก่อนอาจารย์!!! ช่วงนี้มีแต่ตอนยาว ๆ ทั้งนั้นเลย เหนื่อยจนจะหมดแรงแล้วนะ ขอคอมเมนต์อะไรก็ได้เพื่อแทนการให้กำลังใจหน่อยได้ไหม (>﹏<)
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 174
แสดงความคิดเห็น