ตอนที่ 250 ประเด็นสำคัญ
ตอนที่ 250 ประเด็นสำคัญ
“ตั้งแต่ที่เจ้าอยู่ในสำนักมา เจ้าประทับใจในเรื่องอะไรของสำนักแห่งนี้บ้าง?” เงาสูญถามเซี่ยเฟยขึ้นอย่างกะทันหัน
“เรียนอาจารย์สำนักเงาสังหารสมควรได้รับยกย่องว่าเป็นสำนักนักฆ่าอันดับ 1 ในจักรวาลแล้ว เพราะไม่เพียงแต่ศิษย์ในสำนักจะได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มงวดเท่านั้น แม้แต่ดาวเคราะห์นิรนามก็ยังเป็นดาวเคราะห์ที่สวยงาม ถ้าไม่ติดว่าผมมีเรื่องราวมากมายให้ต้องกลับไปจัดการผมก็อยากจะพักอยู่ที่ภูเขาลูกนี้ด้วยเหมือนกัน” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลังจากนั้นเซี่ยเฟยก็เริ่มพูดจายกยอสำนักในทุก ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกินไปจนถึงเรื่องเจ้าสำนักเงากระเรียน ซึ่งตลอดเวลาทั้งเงาสูญและเงากระเรียนก็ส่ายหัวไปมาเพราะชายหนุ่มคนนี้พรรณนาอย่างเว่อร์วังมากจนเกินไป
หลังจากร่ายคำชมออกมายาวเหยียด เซี่ยเฟยก็รู้สึกคอแห้งขึ้นมาเล็กน้อย เขาจึงรีบยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบก่อนที่จะสูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ ราวกับว่าเรื่องทั้งหมดที่เขาเล่าออกมาต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องจริง
การแสดงของเซี่ยเฟยจัดอยู่ในระดับที่ยอดเยี่ยม เพราะไม่ว่าจะเป็นสีหน้า, น้ำเสียงหรือแม้แต่การเต้นของหัวใจก็ถูกเขาควบคุมเอาไว้อย่างสมบูรณ์ทั้งหมด
“เจ้าศิษย์คนนี้เจ้าไปเรียนรู้ความกะล่อนพวกนี้มาจากที่ไหน ข้าคิดว่าเจ้าไม่ควรเรียนรู้เรื่องศิลปะการต่อสู้แต่ควรจะไปเรียนรู้เรื่องการทูตเสียมากกว่า เอาล่ะหลังจากนี้เจ้าช่วยบอกตามตรงว่าเจ้ามีอะไรจะเสนอแนะเกี่ยวกับเรื่องกฎในสำนักของเราหรือเปล่า?” เงาสูญกล่าวพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดัง
คำถามนี้ทำให้เงากระเรียนซึ่งนั่งอยู่ใกล้ ๆ ขมวดคิ้วขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ และถึงแม้ว่าเซี่ยเฟยจะเป็นลูกศิษย์ลับของเงาสูญ แต่ลำดับความอาวุโสของเขาภายในสำนักก็เป็นรองเพียงแค่ตัวของเขากับศิษย์พี่ของเขาเท่านั้น แต่ถ้าไม่ใช่เพราะสถานการณ์ที่บีบบังคับชายหนุ่มคนนี้ก็คงจะไม่มีสิทธิ์ได้มานั่งร่วมโต๊ะน้ำชาโต๊ะเดียวกันกับเขาด้วยซ้ำ
หัวข้อบทสนทนาเมื่อไม่กี่วันก่อนยังเป็นพวกเขาจะทำการสังหารเซี่ยเฟยหรือไม่ แต่ใครจะไปคิดว่าในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ สถานะของเซี่ยเฟยจะกระโดดข้ามขั้นจนมาอยู่เหนือกว่าสามผู้อาวุโสใหญ่ของสำนักแบบนี้
ถึงแม้ว่าเซี่ยเฟยจะได้มาเป็นศิษย์ของเงาสูญ แต่เงากระเรียนก็ยังไม่ไว้ใจชายหนุ่มคนนี้อยู่ดี แต่ในตอนนี้เงาสูญกลับถามหาคำแนะนำจากเซี่ยเฟยซึ่งมันเกินกว่าความคาดหมายของเขาไปอย่างแท้จริง
เคยมีคนกล่าวเอาไว้ว่าในตอนที่ใกล้ตายบุคลิกของคนจะเปลี่ยนไป เงากระเรียนจึงคิดภายในใจว่าบุคลิกของศิษย์พี่ของเขาคงเปลี่ยนไปหลังจากรู้ว่าความตายกำลังใกล้เข้ามา
เนื่องมาจากเงาสูญเหลือชีวิตอยู่เพียงแค่ไม่กี่วัน เงากระเรียนจึงตัดสินใจปล่อยให้ศิษย์พี่ของเขาได้ทำตามแต่ใจตัวเอง ทุกวันนี้คนรุ่นราวคราวเดียวกับเขาเหลือเพียงแค่ศิษย์พี่ของเขาเท่านั้น และเมื่อไหร่ที่ศิษย์พี่ของเขาจากไปเขาก็คงจะรู้สึกเดียวดายมากกว่านี้
แค่นึกถึงเรื่องนี้มันก็ทำให้เงากระเรียนรู้สึกเศร้าใจขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนที่มันจะมีน้ำใสเอ่อล้นออกมาจากตาโดยไม่รู้ตัว
เซี่ยเฟยคิดคำถามของเงาสูญอยู่ครู่หนึ่ง แต่เนื่องมาจากมันยังมีอีกหลาย ๆ แง่มุมที่เขายังไม่เข้าใจเรื่องราวภายในสำนัก ดังนั้นเขาจึงพยายามหลบเลี่ยงไม่แสดงความคิดเห็นของตัวเองออกไป เพราะไม่ว่ายังไงตัวของเขาก็ยังถือว่าเป็นคนนอก
“อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าวางแผนจัดการกับฟางหยวนตั้งแต่ก่อนที่เจ้าจะเริ่มทำการต่อสู้แล้ว ทุกการเคลื่อนไหวของเจ้าต่างก็ล้วนแล้วแต่มีความหมายอย่างลึกซึ้ง ไม่ว่าจะมองยังไงเจ้าก็ไม่มีทางเป็นคนที่โง่เขลา เว้นแต่ว่าเจ้าไม่ต้องการจะแสดงความคิดเห็นของตัวเองออกมา” เงาสูญกล่าวขึ้นมาเบา ๆ หลังจากได้เห็นเซี่ยเฟยพยายามหลบเลี่ยงที่จะตอบคำถาม
ทุกการเคลื่อนไหวของเซี่ยเฟยอยู่ภายใต้สายตาของเงาสูญตลอดเวลา และถึงแม้ว่ามันจะเป็นการเคลื่อนไหวที่ดูธรรมดาแต่มันคือการปูทางไปสู่การลงมือเพื่อพิชิตศัตรู
อันดับแรกเซี่ยเฟยได้พยายามขู่เพื่อให้ศัตรูรู้สึกไม่มั่นใจ จากนั้นเขาก็เปิดเผยความอ่อนแอออกมาเพื่อล่อให้ศัตรูทำการโจมตี ก่อนที่เขาจะทำการโต้ตอบกลับไปแล้วได้รับชัยชนะกลับมาในที่สุด
คนที่สามารถวางแผนอย่างละเอียดได้เช่นนี้ย่อมเป็นคนที่ไม่ธรรมดา เพราะมันจำเป็นจะต้องใช้ความคิดและการตัดสินใจที่เฉียบคม
นอกจากนี้เงาสูญยังรู้ว่าชีวิตของเขาเหลือเวลาไม่มากแล้ว เขาจึงไม่สนใจกฎของสำนักในอดีตอีกต่อไป เพราะเขารู้สึกว่าคนนอกอย่างเซี่ยเฟยจะช่วยให้มุมมองที่ดีกลับมา เขาจึงถามชายหนุ่มอย่างตรงไปตรงมาแบบนี้
การบีบคั้นจากชายชราทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย และเขารู้ว่าถ้าหากเขาไม่ได้พูดอะไรออกไปเขาก็อาจจะไม่สามารถหลุดจากสถานการณ์นี้ไปได้
ชายหนุ่มคิดคำตอบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพยายามเรียบเรียงคำพูดภายในหัว
“ในเมื่ออาจารย์อยากจะรับฟังความคิดเห็นของผม ถ้าอย่างนั้นผมก็จะพูดสิ่งที่ผมเห็นออกไป แต่ถ้าหากว่าผมพูดอะไรผิดไปก็ขอได้อย่าถือสาความไม่รู้ของผมด้วยนะครับ”
“ไม่มีปัญหา เชิญเจ้าพูดต่อไปได้เลย” เงาสูญกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
“เด็กรับใช้ที่เอาอาหารมาให้ผมทุกวันชื่อว่าพยูนและถึงแม้ว่าเขาจะเหนื่อยจากการทำงานในทุก ๆ วัน แต่เขาก็ยังอยากที่จะฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ แต่น่าเสียดายที่เขาไม่มีโอกาสนั้น เพราะไม่มีอาจารย์คนไหนคิดว่าเขามีคุณสมบัติที่เหมาะสม ผมเลยคิดว่าศิษย์นอกของสำนักทุกคนควรมีสิทธิ์ได้เรียนรู้การต่อสู้จากอาจารย์” เซี่ยเฟยกล่าวโดยสายตาของเขายังคงจับจ้องมองไปยังการแสดงออกของเงาสูญและเงากระเรียน
“เซี่ยเฟย นายไม่ใช่ศิษย์ของสำนัก นายจึงอาจจะยังไม่รู้ว่าการพยายามฝึกวิชาการต่อสู้ของสำนักเงาสังหารจำเป็นจะต้องใช้พื้นฐานในระดับที่สูงมาก ถ้าผู้เรียนรู้มีพื้นฐานที่ต่ำมากจนเกินไปพวกเขาก็ไม่มีทางฝึกวิชาของสำนักให้สำเร็จได้เลย ดังนั้นพวกเราจึงจะทำการคัดเลือกแต่เด็กที่มีความสามารถ เพื่อไม่ให้อาจารย์แต่ละคนเสียเวลาในการฝึกฝนศิษย์ของพวกเขามากจนเกินไป” เงากระเรียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“สิ่งที่เจ้าสำนักพูดมีเหตุผลว่าพื้นฐานของแต่ละคนมีมาไม่เท่ากันจริง ๆ แต่คุณอาจจะมองข้ามอะไรบางอย่างไป ยกตัวอย่างเช่น หากศิษย์คนนั้นมีพื้นฐานที่ยอดเยี่ยมแต่เขามีนิสัยที่ไม่ชอบเรียนรู้ทักษะการต่อสู้ แต่ชอบเรื่องการทำอาหารหรือเรื่องปรุงยา พวกเขาก็จะเรียนรู้วิชาการต่อสู้ตามคำสั่งเท่านั้น และมันก็จะทำให้พวกเขาไม่สามารถเติบโตจนกลายเป็นนักสู้ระดับสูงได้”
“นอกจากนี้ถึงแม้ศิษย์บางคนจะมีพื้นฐานไม่ดี แต่ในจักรวาลนี้มันก็มีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องลองถึงจะรู้ มันยังมีศิษย์นอกสำนักอีกหลายคนที่ชื่นชอบวิชาการต่อสู้จริง ๆ และมันก็ไม่ใช่ทุกคนที่ชื่นชอบการทำงานบ้าน ดังนั้นการให้พวกเขาไปเรียนรู้วิชาการต่อสู้อาจจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าศิษย์พื้นฐานดีที่ไม่ได้ชื่นชอบวิชาการต่อสู้ก็ได้”
“สิ่งที่ผมเห็นจากศิษย์ส่วนใหญ่คือพวกเขาพยายามทำตามคำสั่งเพื่อความอยู่รอดไม่ใช่ความชื่นชอบจากก้นบึ้งภายในใจของตัวเอง มันจึงทำให้พวกเขาไม่สามารถพัฒนาฝีมือได้ดีอย่างที่ควรจะเป็น”
ความเห็นของเซี่ยเฟยไม่ได้ทำให้สีหน้าของเงาสูญเปลี่ยนไป แต่เงากระเรียนกำลังขมวดคิ้วขึ้นมาให้เห็นอย่างชัดเจน
“ไม่ใช่ว่าฉันไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ แต่ข้อเท็จจริงได้พิสูจน์แล้วว่าศิษย์ที่มีพื้นฐานอ่อนแอไม่เหมาะสำหรับการเรียนวิชาของสำนัก ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่ความเห็นของตัวฉันเองแต่มันคือความจริงที่เคยถูกพิสูจน์ภายในสำนักของเรามาแล้ว”
“ถูกต้อง วิชาเฉพาะของสำนักเราล้วนแล้วแต่เอาไว้ใช้สำหรับการลอบสังหาร เจ้าก็น่าจะรู้ว่าการลอบสังหารจำเป็นจะต้องใช้ประสาทสัมผัสความไวสูงและจะต้องตัดสินใจให้ได้อย่างเฉียบขาด มันจึงเป็นเรื่องยากที่คนไม่มีพรสวรรค์จะสามารถฝึกฝนวิชาของสำนักพวกเราได้” เงาสูญกล่าวพร้อมกับพยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับคำพูดของเงากระเรียน
“เรียนอาจารย์สิ่งที่คุณพูดทำให้ผมนึกถึงสิ่งที่ผมเคยเจอสมัยอยู่ในโรงเรียน ตอนนั้นคุณครูภายในโรงเรียนบอกพวกผมเสมอว่าการเรียนคือทุกอย่างในโลกของผม ทำให้เด็กที่ได้เกรดเฉลี่ยดีจะได้รับคำชมจากคุณครู แต่เด็กที่เรียนไม่เก่งก็มักที่จะถูกกดให้ดูต่ำต้อยกว่าผู้อื่น”
“ตอนนั้นผมสงสัยว่าทำไมคนเก่งถึงมีแต่คนที่เรียนเก่งเท่านั้น แล้วคนที่เล่นกีฬาเก่งหรือต่อสู้เก่งไม่เรียกว่าคนที่มีพรสวรรค์เหมือนกันหรือยังไง ทำไมคนเราถึงชอบใช้มาตรฐานเพียงเรื่องเดียวไปตัดสินว่าคนคนนั้นเป็นคนที่ไม่มีพรสวรรค์ด้วย”
เซี่ยเฟยจงใจหยุดชั่วคราวเพื่อให้ชายชราทั้งสองได้คิดตาม
“เจ้ากำลังหมายความว่าพวกเราตั้งมาตรฐานขึ้นมาไม่ถูกต้องอย่างนั้นเหรอ?” เงาสูญกล่าวถามด้วยความสงสัย
“เรียนอาจารย์ถึงแม้ว่าสำนักเงาสังหารจะเป็นสำนักนักฆ่าที่ดีที่สุดของพันธมิตรมนุษย์ แต่อย่าลืมว่าพวกเราก็ถือว่าเป็นองค์กรนักสู้แห่งหนึ่งเหมือนกัน แม้ว่าคนคนหนึ่งจะไม่เหมาะสมในเส้นทางของนักฆ่าแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นนักสู้ที่เก่งกาจขึ้นมาไม่ได้ ผมคิดว่าสำนักเงาสังหารก็ต้องการนักสู้ที่มีความโดดเด่นในเรื่องต่าง ๆ เช่นเดียวกัน เพราะมันก็จะช่วยทำให้สำนักสามารถรับภารกิจได้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น”
ข้อเสนอของเซี่ยเฟยในครั้งนี้ทำให้ทั้งเงาสูญและเงากระเรียนรู้สึกตกตะลึงอย่างแท้จริง
พวกเขาพยายามมองหาต้นตอของปัญหามาเป็นเวลานาน แต่พวกเขากลับไม่สามารถค้นหาต้นตอที่แท้จริงของปัญหาในสำนักได้เลย แต่คำพูดของเซี่ยเฟยในไม่กี่นาทีกลับทำให้พวกเขาตระหนักได้ในทันทีว่าต้นตอของปัญหามันอยู่ตรงไหน ท้ายที่สุดพวกเขาก็ถูกเลี้ยงดูขึ้นมาเป็นนักฆ่าจนทำให้พวกเขาหลงลืมไปแล้วว่าท้ายที่สุดพวกเขาก็คือองค์กรนักสู้
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาสำนักเงาสังหารใกล้จะเดินทางมาถึงการล่มสลายเต็มทนแล้ว มันจึงมีเพียงแต่ผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้นที่จะเข้าใจถึงสถานการณ์ภายในของสำนัก เพราะท้ายที่สุดด้วยกฎเกณฑ์ที่สำนักได้ตั้งขึ้นมา มันจึงทำให้เหล่าบรรดาผู้น้อยไม่มีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นของพวกเขาออกมาเลย
หากพูดถึงองค์กรนักสู้ที่ยิ่งใหญ่ในพันธมิตร ทุกคนก็จะนึกถึงสมาพันธ์จัสทิสและสมาพันธ์เฮอร์มิทซึ่งเป็นสองสมาพันธ์นักสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
องค์กรนักสู้ทั้งสององค์กรนี้ต่างก็ตั้งอยู่มาอย่างยาวนาน แล้วพวกเขาก็ได้พัฒนานักสู้ที่มีความหลากหลายและมีความเชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ ที่แตกต่างกันออกไป ขณะเดียวกันแม้ว่าในอดีตสำนักเงาสังหารจะเป็นองค์กรนักสู้ที่รุ่งเรือง แต่พวกเขายังคงยึดติดกับกฎเกณฑ์เดิม ๆ จนทำให้สำนักของพวกเขาหยุดการพัฒนา
ด้วยความก้าวหน้าของอารยธรรมและเทคโนโลยี มันจึงทำให้เส้นทางของนักฆ่าแคบลงไปเรื่อย ๆ และถึงแม้ว่าพวกเขาจะให้อิสรภาพกับศิษย์ภายในสำนักมากขึ้น แต่มันก็เป็นเพียงแค่การแก้ไขปัญหาชั่วคราวที่ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของสำนักได้
ในทางกลับกันข้อเสนอแนะของเซี่ยเฟยกลับเป็นเรื่องที่ตรงประเด็น และสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของสำนักที่กำลังร่อแร่แห่งนี้ได้เลย
“แล้วนายคิดว่าพวกเราควรจะแก้ไขปัญหานี้ยังไง?” เงากระเรียนกล่าว
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่อยากยอมรับ แต่สิ่งที่เซี่ยเฟยพูดออกมาก็เป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถจะปฏิเสธได้จริง ๆ
อย่างไรก็ตามทันทีที่คำพูดได้หลุดออกมาจากปากของตัวเอง เงากระเรียนก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่มีความผิดปกติ เพราะน้ำเสียงของเขาเหมือนกับว่าเขากำลังขอคำแนะนำจากศิษย์พี่ของตัวเอง
“ผมพอจะมีวิธีอยู่บ้างครับ แต่ผมก็ไม่รู้ว่าผมควรจะพูดมันออกไปดีหรือเปล่า” เซี่ยเฟยกล่าว
“เชิญพูดมาได้เลย ที่นี่ไม่มีคนนอกถือว่าพวกเรากำลังพูดคุยกันอย่างสบาย ๆ” เงาสูญกล่าว
“วิธีการของผมเป็นวิธีการที่ง่ายมาก ผมรู้ว่าศิษย์ส่วนใหญ่ของสำนักเป็นเด็กกำพร้าที่สำนักรับเลี้ยงเข้ามา ก่อนที่พวกเขาจะต้องเข้ามาตกอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของสำนักโดยที่ไม่สมัครใจ”
“ตราบใดก็ตามที่สำนักปฏิบัติต่อศิษย์ทุกคนเหมือนกับการเลี้ยงลูกหลานของตัวเอง ผมมั่นใจว่าปัญหาของสำนักจะได้รับการแก้ไขอย่างแน่นอน” เซี่ยเฟยกล่าว
***************
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 155
แสดงความคิดเห็น