STARCIN ภาคที่ 6 OverThrow ตอนที่ 12 เย้าหยอก
คฤหาสน์หลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมืองหลวงของอาณาจักรนอดเป็นทั้งที่พักของจักรพรรดินี ศูนย์กระจายข่าวและยังเป็นค่ายทหารอีกด้วย
“ท่านกินสักหน่อยก็ดีนะคะ” หญิงสาวผู้ไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกเอ่ยออกมาด้วยความเป็นห่วงจากใจ
“ช่างฉันเถอะ ตอนนี้งบประมาณเหลืออยู่เท่าไร?”
ใบหน้าอันทรุดโทรมแห้งเหี่ยวอย่างกับคนไม่มีอันจะกินฝืนสังขารทำงานไม่หยุด ทำไมเธอถึงเป็นเช่นนั้นแม้แต่สาวใช้คนสนิทก็ไม่อาจทราบได้
“ค่ะ ตอนนี้เราเหลือเหรียญทองกษัตริย์ในคลังสี่หมื่นเหรียญถ้าไม่มีปัญหาอะไรเข้ามาก็สามารถหมุนเงินไปได้เรื่อย ๆ” ขณะที่รายงานเธอก็ยังมองเข้าไปในดวงตาของแคทเทอรีนเห็นถึงความทุกข์ทรมานที่ไม่อาจบอกใครได้
“ท่านแคทเทอรีนคะ?” สาวใช้หยิบผลไม้ที่วางไว้พุ่งเข้าหาจักรพรรดินีไม่เกรงกลัวเลยแม้แต่น้อยอีกทั้งยังยื่นผลไม้ในมือกดดันด้วยสายตาเคร่งขรึม
“อะไรของเธอ ออกไป !” ด้วยความโมโหแคทเทอรีนจึงผลักสาวใช้ไปจนชกกับขอบเก้าอี้
"ฉะฉันขอโทษ” เธอลุกจากที่นั่งอย่างร้อนรนเข้าไปดูอาการทุกซอกทุกมุมของสาวใช้คนนั้นทำอย่างกับจะเป็นจะตาย
“ดิฉันสบายดีค่ะ”
“ขอโทษจริง ๆ ช่วงนี้ฉันมีเรื่องให้คิดเยอะ” แววตาไม่สู้ดีเหมือนคนกำลังจะหมดสติแต่ก็ยันตัวเองไว้ได้
“บอกดิฉันมาเถอะค่ะว่ามีเรื่องอะไร?” สาวใช้คอยช่วยประคองไปยังโซฟาตัวใหญ่ตรวจอาการเบื้องต้นทั้งอัตราการเต้นหัวใจและดวงตา
แคทเทอรีนถอนหายใจช้า ๆ เต็มไปด้วยความทุกข์โศกก่อนจะเอ่ยออกมา “ฉันกินอะไรก็ไม่อร่อยไม่ว่าจะเป็นอาหารฝีมือของเธอหรือของข้างทางก็ตาม”
อาการเบื่ออาหารไม่สิเท่าที่ดูก็ไม่ได้มีอาการอื่นแทรกเลย หรือที่ร่างกายทรุกโทรมจะไม่ใช่แค่อดอาหาร
“ท่านเป็นมานานแค่ไหนแล้วคะ?”
“อืม จริง ๆ ฉันก็เป็นตั้งแต่กลับมาจากเมืองยองยองแล้ว ตอนแรกก็คิดว่าเป็นเพราะอากาศเปลี่ยนแปลงแต่ก็ไม่ใช่”
“ท่าน...อาจจะ” เดี๋ยวสิเรื่องแบบนี้มันจะเป็นไปได้ด้วยเหรอ ถ้านับจากเมืองยองยองก็จะมีอยู่สามอย่างที่เป็นไปได้ หนึ่งการทดสอบของดันเจี้ยนแผ่มานาแปลก ๆ ออกมา สองอากาศในเมืองยองยองร้อนขึ้นซึ่งท่านแคทเทอรีนไม่ชอบอากาศร้อน และสามอาหารแปลก ๆ จากพ่อครัวลึกลับ
“ฉันคิดว่าเป็นเพราะอาหารนั่นแน่ ๆ รสชาติล้ำลึกจนยากที่จะบรรยาย ความกลมกล่อมสมบูรณ์แบบทุกด้านไม่ว่าจะรูป รส กลิ่น เพียงแค่ได้ชิมคำเดียวก็รับรู้ได้ถึงความจริงใจของผู้ทำ เพียงแค่คำเดียวก็สัมผัสได้ถึงวัตถุที่เลือกมาอย่างดี เพียงคำเดียวก็ไม่อาจหาอาหารที่ไหนเทียบได้”
ชัดเจนเลยเป็นเพราะอาหารแน่ ๆ นี่ไม่ใช่อาการเบื่ออาหารแบบปกติแต่เพราะได้ลิ้มรสอาหารที่ดีเกินไปจนอย่างอื่นไม่อร่อยไปเลย
“คงมีทางเดียวก็คือตามหาพ่อครัวคนนั้นให้ได้ ดิฉันว่าเรียกนักดมกลิ่นกลับมาดีกว่านะคะ”
“เหรอ? แต่คนที่แอบฟังอยู่ออกมาซะดี ๆ ก่อนที่ฉันจะเป็นคนลากคอแกออกมา” ทันใดนั้นแคทเทอรีนก็ตะเบ็งเสียงดังแววตาอารมณ์เปลี่ยนไปราวฟ้ากับเหวเพื่อให้ผู้คนเกรงกลัว
“ผมเองครับ” คาร์เตอร์เปิดประตูเข้ามาหน้าตาเฉยไม่ได้เกรงกลัวจักรพรรดินีเลยสักนิดหรือเพราะร่างโทรม ๆ ของเธอ
“มีธุระอะไรถึงมาทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ตรงนี้” เธอส่งสัญญาณมือเรียกให้มานั่งใกล้ ๆ
“ผมสงสัยว่าทำไมจักรพรรดินีถึงแปลก ๆ ก็เลยแอบมาดูเพราะความเป็นห่วงครับ”
“แหม ๆ เป็นห่วงซะด้วย จะตีหน้าซื่อต่อไปได้สักแค่ไหนกัน” แม้ใบหน้าจะแห้งเหี่ยวแต่ก็ยังยิ้มเยาะกวนประสาทคาร์เตอร์ได้ไม่มีพัก
ได้ยินแล้วใช่ไหมคูเปอร์ ตอนนี้เธออ่อนแอลงมากเป็นการดีที่จะทำอะไรสักอย่าง
“เอายังไงดีพี่กิ” เขาหันกลับไปถามซึฮากิหลังจากที่เล่าเรื่องทางฝั่งโน้นให้ฟัง
“พ่อครัวลึกลับคงหมายถึงยูกิ แล้วนายทำอะไรลงไปในอาหารล่ะจักรพรรดินีถึงเป็นแบบนั้น” ซึฮากิส่งสายตาสงสัยขณะที่ยูกิกำลังทำอาหารเพลิน ๆ
“เหอะ ก็แค่เพิ่มสมุนไพรแบบพิเศษลงไปนิดหน่อยมันทำให้ผู้กินเสพติดมัน แต่ถ้าใส่เยอะเกินไปเธอก็น่าจะรู้ตัวก็เลยใช้พลังเพิ่มผลของมันแทน หรือเพราะอาหารของข้ามันดีเกินไปก็แค่นั้น” ท่าทางยิ้มอย่างภาคภูมิใจของเขาจะทำคนอื่นหมั่นไส้ก็ไม่แปลก
“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เราก็เป็นคนคุมเกมแทนแล้วสิ ให้คาร์เตอร์บอกว่ามีวิธีติดต่อกับพ่อครัวลึกลับได้”
“ครับ”
เอาตามนั้นเลยนะพี่ ยังไงเธอก็ยังไม่รู้พลังของเราแค่บอกไปว่าพี่ติดต่อกับพ่อครัวลึกลับได้
“ผมได้ยินเรื่องนั้นแล้ว แล้วก็พอจะมีวิธีติดต่อพ่อครัวคนนั้นได้อยู่”
แคทเทอรีนลุกจากที่นั่งพุ่งเข้าหาตัวคาร์เตอร์ทันที “แกทำได้จริง ๆ สินะ?”
“ผมมีวิธีอยู่แต่ก็บอกไม่ได้เหมือนกัน” การถือไพ่ที่เหนือกว่าไว้เป็นตัวช่วยในการต่อรองได้ดีจริง ๆ
“ก็ได้ ๆ อยากได้อะไรก็บอกมาเลย ทีนี้ก็ช่วยเรียกพ่อครัวคนนั้นมาด่วน”
วิธีที่บอกไม่ได้สินะหรือจะเกี่ยวกับพลังเดอะของมันแต่จะจริงหรือเท็จขอแค่ได้กินอาหารพวกนั้นอีกก็พอใจแล้ว
“ขอเวลาสักครู่นะครับ”
ทางนั้นจะเอายังไงล่ะ
“พี่กิทางนั้นอยากได้ตัวพ่อครัวด่วน ๆ เลย” คูเปอร์ส่งต่อคำถามขณะที่คาร์เตอร์นั่งนิ่ง ๆ ทำเป็นร่ายเวทมนตร์
“พร้อมไหมยูกิ?” แม้จะถามเช่นนั้นแต่ซึฮากิก็ดันเตรียมอุปกรณ์ข้าวของพร้อมออกเดินทางก่อนได้คำตอบเสียอีก
“เหอะ กำลังทำเมนูใหม่อยู่พอดีเลย” ยูกิฉีกยิ้มอย่างมีเลศนัยพร้อมกับตักอาหารที่มีหน้าตาดุดันเข้มข้นดูแล้วน่าจะรสจัดจ้าน
แผนการได้เปลี่ยนใหม่เนื่องจากตัวแปรที่เพิ่มขึ้นทำให้ทางฝั่งซึฮากิสามารถชักจูงจักรพรรดินีได้ พวกเขาเก็บอาหารไว้ในกล่องและนำไปฝากไว้ที่ประตูเมืองหลวงฝั่งตะวันออกใช้เวลาเดินทางอยู่พักหนึ่ง
“พ่อครัวลึกลับได้นำอาหารไปฝากไว้กับทหารยามที่ประตูฝั่งตะวันออกแล้วครับ เนื่องจากยังไม่อยากแสดงตัวจึงทำได้เพียงแค่ฝากไว้”
เมื่อแคทเทอรีนได้ยินเช่นนั้นเธอก็รีบไปที่ประตูเมืองทันทีจนใครเห็นก็นึกว่ามีเรื่องใหญ่โต
“เฮ้ ! พวกนายมีใครฝากของอะไรไว้บ้างไหม?”
“ทำความเคารพ”
“ไม่ต้องก็ได้แค่บอกมาว่ามีใครฝากของไว้ไหม?” เธอพูดขัดทันทีท่าทางร้อนรนอย่างกับคนขาดของทั้งสายตาล่อกแล่กและการหายใจถี่ ๆ
“คะครับ มีคนมาฝากกล่องอาหารไว้บอกว่าจะมีคนมารับไป”
“เอามันมาเดี๋ยวนี้”
“ครับท่าน”
เธอรีบเอากล่องอาหารกลับไปยังห้องพักทันทีโดยที่มีคาร์เตอร์และสาวใช้เฝ้ารออยู่ เมื่อเปิดกล่องออกมาก็มีกลิ่นหอมฟุ้งกระจายจนแสบจมูก อาหารที่ใช้เนื้อหมีภูเขาและงูจ้าวภูผาสีขาวเป็นวัตถุดิบหลักอีกทั้งยังมีผักสมุนไพรมากมายเหมือนใส่ไว้มั่ว ๆ แต่กลับเต็มไปด้วยคุณค่าทางอาหารและกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์
“นะนี่มัน” แคทเทอรีนรีบร้อนใช้มือหยิบกินทันทีและเพียงแค่คำเดียวมันก็ทำให้น้ำตาไหล ไม่ว่าจะความเผ็ดร้อนหรือความเค็ม เปรี้ยว หอม หวาน ทุกอย่างช่างลงตัวเสียเหลือเกินจนไม่อาจทราบได้ว่าเพราะความเผ็ดร้อนหรือรสชาติที่ทำให้จักรพรรดินีผู้เยือกเย็นร้องไห้หน้าแดงได้
“ท่านสำรวมสักหน่อยก็ดีนะคะ” แม้เธอจะกล่าวเช่นนั้นแต่กลับยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อเห็นใบหน้าอันสดใสฉีกยิ้มกว้างของแคทเทอรีนที่ไม่ได้เห็นมานาน
ท่านทำหน้าแบบนั้นดีกว่าเยอะเลย แววตาจริงใจ รอยยิ้มที่ไม่แส่แสร้ง กิริยาท่าทางที่ไม่แข็งทื่อ
“พวกเธอก็ลองกินดูสิเดี๋ยวจะได้เห็นสวรรค์เลย”
ความคุ้นเคยก่อนที่เธอจะได้เป็นจักรพรรดินี ใบหน้าของหญิงสาวที่ตามหาความสนุกแม้จะเสี่ยงอันตรายก็ตาม
“เลอะหมดแล้วนะคะท่าน” เธอยื่นหน้าเข้าไปใกล้แคทเทอรีนและใช้มือเช็ดเศษอาหารที่แก้มออกก่อนจะดูดนิ้วชิมรสชาติของอาหารนั่น
“ธะเธอ” แคทเทอรีนเสียงสั่นทำตัวไม่ถูกไม่สนใจสายตาของคาร์เตอร์ที่เฝ้ามองอยู่เลยสักนิดทำอย่างกับเขาไม่มีตัวตน
เฮ? นี่พวกเธอมีความสัมพันธ์แบบนี้กันสินะ ก็คิดอยู่ว่าทำไมตัวติดกันตลอดเวลา
“ผมขอออกไปก่อนแล้วกันไม่อยากเป็นก้างขวางคอ”
“เดี๋ยวสิคาร์เตอร์ก้างขวางคออะไรกัน” แม้จะปฏิเสธเสียงแข็งแต่ท่าทีเขินอายของเธอไม่อาจโกหกสายตาของคาร์เตอร์ได้
เขาเดินออกจากห้องไปทันทีทิ้งให้แคทเทอรีนและสาวใช้อยู่ด้วยกันสองต่อสอง เป็นเวลาดีที่จะติดต่อกับคูเปอร์
เห็นผ่านตาและหูแล้วใช่ไหม?
ครับพี่ ผมเล่าให้คนทางนี้ฟังหมดแล้วที่เหลือก็รอคิดแผนการ
“ถ้าเป็นแผนนี้ก็พอจะขโมยข้อมูลได้” ซึฮากิเอ่ยขึ้นหลังจากฟังเรื่องทางโน้นไม่นานทำเอาคูเปอร์ตกใจในความสามารถของชายผู้นี้
“ปล่อยให้เธอหิวอีกครั้งถ้าเจรจาตอนนี้มีโอกาสล้มเหลวสูง จำเป็นต้องให้ความอดทนของเธอเหลือน้อยที่สุด”
หลังจากนัดแนะแผนการคร่าว ๆ ที่ซึฮากิจะเป็นคนเข้าไปล้วงข้อมูลมาด้วยตัวเองโดยมีคาร์เตอร์เป็นตัวช่วย
ห้องอันแสนเงียบสงัดมีเพียงหญิงสาวสองคนโดยที่สาวใช้กำลังถักเปียให้กับแคทเทอรีน ผมสีขาวราวกับย้อมไปด้วยสีหิมะทั้งขาวสะอาดและบริสุทธิ์ไร้สีเจือปนถักทอด้วยมือสองข้างที่ทำช้า ๆ เต็มไปด้วยความอ่อนโยน
“ไม่เห็นท่านยิ้มแบบนั้นมานานมากแล้วนะคะ” สาวใช้กล่าวพร้อมกับยิ้มพึงพอใจ
“เหอะก็แค่หิวเท่านั้นแหละ ว่าแต่เธอเองก็ด้วยไม่เห็นยิ้มมานานแล้วเหมือนกัน” สายตาหยอกล้อกระตุกยิ้มมุมปาก
สาวใช้หัวเราะชอบใจเมื่อถักเปียเสร็จก็ยื่นกระจกให้ดู “เป็นยังไงบ้างคะ? เมื่อก่อนท่านแคทเทอรีนเคยชอบไว้ผมทรงนี้ทำเอาคิดถึงตอนนั้นเลยนะคะ”
“อยู่กันสองคนไม่ต้องเรียกท่านก็ได้หรือจะไม่เรียกตลอดเลยฉันก็ไม่ว่า” แววตาอันอ่อนโยนที่ไม่มีใครได้เห็นของจักรพรรดินีผู้ทรงอำนาจที่ใคร ๆ ต่างก็เกรงกลัวแต่บัดนี้กลับเหมือนหญิงสาวปกติทั่วไป
“ก็ได้ค่ะแคทเทอรีน ถ้าอย่างนั้นช่วยเรียกดิฉันด้วยชื่อได้ไหมคะ?”
ก่อนที่สาวใช้จะพูดจบแคทเทอรีนก็พูดแทรกขึ้นมา “ทีโอน่า ชอบใช่ไหม? ทีโอน่า”
“อย่าเอาแต่เล่นสิแคทเทอรีน” ทีโอน่าจับตัวหญิงสาวผมสีขาวไว้แน่นจ้องเข้าไปในดวงตากลมโตคู่นั้นราวกับอยากจะกลืนกิน
“แหม ๆ ทีเป็นเธอล่ะ”
“ทำความเคารพท่านแคทเทอรีน” ขณะที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มจู่ ๆ ก็มีนายทหารเปิดประตูเข้ามาแม้คาร์เตอร์จะยืนเฝ้าอยู่แต่ก็ไม่คิดจะห้ามเลยสักนิด
“อะแฮม มีเรื่องอะไรถึงได้มายันห้องของฉัน” พวกเธอแยกกันด้วยความรวดเร็วจนนายทหารคนนั้นเห็นผ่าน ๆ ไม่ทันสังเกต
“คือว่ากระผมมีรายงานจากหน่วยสอดแนมเซีย”
“รายงานมา” แววตาดุดันจริงจังจ้องมองนายทหารผู้นั้นราวกับราชสีห์ก้มมองดูเหยื่อของตน
“ผู้กล้าของอาณาจักรเซียพัฒนาไปถึงเลเวลเจ็ดแล้วครับแถมเทคโนโลยีก็สามารถสร้างสิ่งที่บินบนฟ้าเหมือนนกได้อีกต่างหาก ยังมีการเดินทางด้วยรถไฟที่ช่วยให้คนไปไหนมาไหนได้ไวกว่ารถม้าหลายเท่าตัว”
“ให้ตายสิพวกมันจะเก่งเกินไปไหม? เราพยายามหาหนทางต่อสู้มากแค่ไหนพวกมันก็ยังคงทิ้งห่างเราไปอยู่ได้”
“แล้วก็มีอีกเรื่องครับ”
“อะไรอีก?” เธอถอนหายใจแรงนั่งลงที่โซฟาท่าทางฉุนเฉียว
“มีรายงานอีกฉบับจากหน่วยข่าวกรองอาฟ ในช่วงเวลาไม่กี่เดือนได้มีการฟื้นฟูเมืองเอลโฟเรียขึ้นมาอีกครั้งแถมยังพัฒนาได้แบบก้าวกระโดดยิ่งกว่าอาณาจักรเซีย”
“เหอะรายงานขยะพรรค์นั้นใครมันกล้าเขียนขึ้นมา”
“ยังมีข้อความระบุเพิ่มเติมว่าสิ่งที่กล่าวมาเป็นเรื่องจริง ผมบังเอิญได้ยินข่าวลือเรื่องเมืองเอลโฟเรียจึงได้เดินทางมาค้าขายที่แห่งนี้แต่มันกลับไม่ใช่เมืองทั่ว ๆ ไป ทั้งระบบการจัดการและข้าวของเครื่องใช้ล้ำหน้ากว่าทุกเผ่าในอาณาจักรอาฟและที่สำคัญเมืองพึ่งก่อตั้งได้ไม่ถึงปีด้วยซ้ำ”
ไม่ถึงปีก็สามารถก้าวข้ามทุกเผ่าในอาณาจักรอาฟ ยากที่จะเชื่อหรือจะเป็นกลอุบายของอาณาจักรเซียที่ส่งคนมาสร้างเมืองที่อาณาจักรอื่นแต่พวกมันชาตินิยมจะตาย
“เอาไว้ฉันจะไปด้วยตัวเองให้จับตาดูต่อไป”
“ครับท่าน”
เมื่อรายงานจบนายทหารก็ก้าวออกจากห้องไปทันทีเหลือเพียงใบหน้าครุ่นคิดสงสัยของแคทเทอรีน
ไม่ว่าจะทำยังไงกองทัพของเราก็ตามพวกมันไม่ทันหรือเพราะเทคโนโลยีของเราล้าหลังเกินไป
“พักบ้างเถอะค่ะแคทเทอรีน ถ้าเธอเป็นอะไรไปอาณาจักรของเราคงไม่รอดแน่” ทีโอน่าเอ่ยทักเข้ามานวดคอและไหล่ให้แคทเทอรีนผ่อนคลายก่อนจะโน้มเข้าหาจนลมหายใจสัมผัสกับต้นคอ
“ก็ได้ ๆ พักสักวันสองวันก็แล้วกัน” แคทเทอรีนยิ้มฉีกกว้างไม่หยุดอย่างกับคนบ้าแต่ภายในห้องที่มีแค่สองคนกลับเป็นภาพที่เติมเต็มกำลังใจซึ่งกันและกัน
ไปดีกว่าปล่อยให้ใช้เวลาด้วยกันไปเถอะ คาร์เตอร์ถอนหายใจกลับไปยังที่พักของตน ภาพบาดตาบาดใจที่คนโสดเห็นแล้วต้องหลีกหนีทำให้คาร์เตอร์นึกถึงอนาคตที่จะมีคู่ครองเหมือนคนอื่นบ้าง
ขณะเดียวกันลักซ์ที่อาศัยอยู่ในเมืองเอลโฟเรียพึ่งเคยพูดคุยอย่างสบายใจกับแฟนหนุ่มรวมทั้งพ่อแท้ ๆ เนื่องจากความสัมพันธ์ตอนอยู่ในอาณาจักรเซียถือว่าแตกต่างกันสุดขั้ว ชายสองคนผู้เป็นนักโทษและหญิงสาวผู้เป็นทหารยศใหญ่ขั้วตรงข้ามระหว่างผู้ใช้กฎหมายและผู้ฝ่าฝืนแต่ทั้งสองฝั่งกลับยังรักและห่วงใยซึ่งกันและกัน
“เก่งขึ้นอีกแล้วสินะลูกพ่อ” โทลกระตุกยิ้มมุมปากจ้องมองออร่ามานารอบ ๆ ตัวของลักซ์
“ลูกสาวพ่อเชียวนะต้องเก่งอยู่แล้ว” เสียงออดอ้อนทำตัวเหมือนเด็กน้อยทำเอาผู้คนรอบข้างมองตาไม่กะพริบไม่ว่าจะเพราะความแปลก งดงาม น่ารักน่าชังหรือเพราะความสนิทสนมกับโทลกันแน่
“ยังไงก็เถอะเธอมาทำอะไรที่นี่? หรือจะมาตามจับพวกเรา” นาธายิงคำถามต่อทันที
“อืม จะว่าอย่างนั้นก็ได้แต่ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว”
“พูดกำกวนเข้าใจยาก ขอแบบสรุปสั้น ๆ หน่อยสิ”
“ก็ได้ ๆ พวกเบื้องบนรู้ว่ากบฏยังมีชีวิตอยู่จึงให้ฉันมาตามจับแต่ก็ไม่ได้เพ่งเล็งมาที่พ่อกับนายนะคงไม่เห็นในสายตาไปแล้วแหละ ว่าแต่นายรู้จักกับพวกกบฏใช่ไหม?”
“เรียกแต่กบฏอยู่ได้พวกเขาก็มีชื่อนะเธอ” ท่าทางฉุนเฉียวทำอย่างกับผู้หญิงช่วงประจำเดือนมาแต่ลักซ์กลับยิ้มชอบใจพร้อมแหย่เล่นได้ทุกเมื่อ
“ซึฮากิ เซนแล้วก็คานะฉันรู้อยู่แล้วน่า อีกอย่างพวกนายรอดมาจากทะเลได้ยังไง?”
นาธาถอนหายใจให้ได้ยิน “เธอก็นะ ทหารชั้นแนวหน้าของอาณาจักรเซียแต่มาลอยหน้าลอยตาไม่เกรงกลัวใครเลยแบบนี้คงมั่นใจสินะ”
“แน่นอน” ลักซ์ตอบกลับเสียงสูงพร้อมด้วยรอยยิ้มเยาะ
“คนมีพรสวรรค์แบบเธอกับพวกซึฮากินี่มันดีจริง ๆ ไอ้เราก็ฝึกแทบตายสุดท้ายเลเวลก็ไม่เพิ่มขึ้นเลย”
“อย่าน้อยใจไปเลยน่าลองหาอะไรอย่างอื่นทำนอกจากฝึกเวทมนตร์ดูสิ ก่อนหน้านี้ฉันได้เจอพระเจ้าด้วยล่ะเขาบอกว่าให้ออกไปที่ที่ไม่เคยไปและทำสิ่งที่ไม่เคยทำ ฉันว่านายก็น่าจะทำได้เหมือนกัน”
“โอ๊ย ! ลุงโทล” เสียงคนงานตะโกนมาแต่ไกล
“ว่าไงพวก !”
“เหมือนจะมีพวกกองโจรโผล่มาใกล้ ๆ ป้อมแต่คนเฝ้าแค่สองคนคงลำบากก็เลยจะให้ลุงไปช่วยดูให้หน่อย”
“เอาสิ แต่ฉันจะส่งคนไปแทนแล้วกัน”
“โถ่ลุงโทลอย่าล้อเล่นสิครับ ถ้าพวกมันมากันเยอะคงมีแค่ลุงโทลกับคุณชิมม่อนเท่านั้นแหละครับที่ต่อกรได้”
โทลหัวเราะลั่นแต่ดันตบหลังนาธาไปด้วยแทบจะกระอักเลือดออกมา “ฉันมีคนที่เก่งกว่านั้นอีก” เขาส่งสายตาให้กับลูกสาวผู้น่ารักขยิบตาบอกเป็นนัย ๆ ว่านี่เป็นโอกาสสร้างความเชื่อใจของเธอ
“ก็ได้ค่ะคุณพ่อ…เดี๋ยวหนูจะไปเอง”
ชายหนุ่มแปลกหน้าจ้องมองใบหน้าอันงดงามไปยันเครื่องแต่งกาย สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยแต่ก็ต้องยอมพาเธอไปยังป้อมปราการ
“สามนาฬิกาห้าคนอาวุธครบมือ ระวังตัวด้วย !” เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายจากสองหนุ่มผู้เป็นเวรเฝ้ายามครั้งนี้ การใช้เวทมนตร์ยิงสกัดเพื่อควบคุมระยะห่างไว้ถือเป็นวิธีที่ดีที่สุด
ขณะที่กำลังจดจ่อกับศัตรูตรงหน้าจู่ ๆ ก็มีศรเวทมนตร์ทะลวงเข้าที่หน้าอก “เฮ้ย ! เพื่อน ไอ้พวกเวรเอ๊ย” แม้จะอยากพาเขาไปรักษามากแค่ไหนแต่เพราะศัตรูที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุดจึงไม่อาจละสายตาไปได้
“ตายก็ตายวะ !” แม้ป้อมปราการจะแข็งแกร่งแค่ไหนแต่ก็ไม่อาจต้านทานพลังทำลายของเวทมนตร์ได้นอกเสียจากมีการร่ายเวทประทับไว้
“จริงสิเปิดใช้งานเวทประทับ ถึงจะใช้ได้แค่ครั้งเดียวแต่ค่อยทำใหม่ก็ได้” ชายหนุ่มมุดลงใต้โต๊ะคว้าหาหินเวทที่สลักเวทประทับไว้ เพียงแค่ปล่อยมานาลงไปมากพอมันก็ทำให้เวทประทับทำงานอีกครั้ง
“ได้ผลทีเถอะ” มานากระจายตัวออกไปโดยรอบสร้างเกราะกำบังที่เหมือนกับกำแพงยักษ์สูงสิบเมตร
“[รักษา] อย่างน้อยต้องยืดเวลาไว้รอให้กำลังเสริมมา” เพื่อนของเขานั้นนอนนิ่งไม่ขยับไปไหนพยายามไม่ให้แผลฉีกไปมากกว่านี้ ศรเวทมนตร์ประเภทวายุสามารถเจาะทะลวงได้ง่ายแต่ก็ไม่ได้สร้างความเสียหายมากนัก
“ห้ามเลือดเท่าที่ทำได้ เราไม่รู้เลยว่ากำแพงพวกนี้จะยื้อได้นานแค่ไหน” ไม่ทันไรก็มีกำปั้นหินพุ่งกระแทกกำแพงมานาพังเป็นรูใหญ่
“เมืองมันพึ่งฟื้นได้ไม่นานเล่นมันเลย !” กองโจรกว่ายี่สิบชีวิตกรูกันเข้ามาทางรูของกำแพงมานาเสียงตะโกนโหร้องอย่างบ้าระห่ำ
“เอลฟ์สาวเนี่ยแหละของดี !” กองโจรที่รวมอมนุษย์ไว้หลากหลายเผ่าไม่ใช่แค่ความหลากหลายแต่เลเวลยังสูงมากเมื่อเทียบกับยามเฝ้าเมือง
“พวกเรากองโจรนภาโลหิตจะกวาดทุกสิ่งไปไม่ให้เหลือ” การประกาศศักดาเป็นเสมือนวัฒนธรรมของพวกเขายิ่งมีคนจดจำชื่อได้มากเท่าไรก็ยิ่งฮึกเหิมมากเท่านั้น
งานนี้คงไม่ยากเท่าไรขนาดคนเฝ้ายามยังแค่เลเวลสี่เอง พวกเราทุกคนเลเวลห้าแถมยังมีเลเวลเจ็ดอีกสามคนไม่มีทางที่เอลฟ์หน้าโง่พวกนั้นจะรับมือได้แน่
“ใครจัดการได้ก่อนก็เป็นของคนนั้นนะเว้ย !” เสียงหัวเราะเยาะสะใจราวกับได้รับชัยชนะไปแล้วแต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อได้เห็นหญิงสาวผมบลอนด์ทองขวางทางไว้
“ดูนั่นสิแม่สาวสวยกำลังรอพวกเราอยู่”
ลักซ์ถอนหายใจสมเพชกับสายตาแทะโลมที่พวกเขามองเธอ “เหมือนกันจริง ๆ ไม่ว่าอมนุษย์หรือมนุษย์” เธอสะบัดแส้ลงพื้นทำเหมือนขู่แต่มันก็คือการเตรียมพร้อม
“เฮ้ย ๆ คนนั้นข้าจอง !” คำพูดคำจาและสายตาที่ต้องการร่างกายของเธอยังคงดังมาไม่หยุดจนลักซ์หน้านิ่วคิ้วขมวด
จะใช้เดอะตรง ๆ ไม่ได้เดี๋ยวคนอื่นจะรู้ว่าเราเป็นใคร
ทุกครั้งที่สะบัดแส้จะมีออร่ามานากระจายไปทั่วก่อนจะสร้างเปลวเพลิงห่อหุ้มแส้ทั้งเส้น
“รีบจัดการให้มันเสร็จ ๆ ดีกว่า” เธอร่ายเวทเสริมกำลังได้ทันทีโดยไม่ต้องเอ่ยออกมาและใช้เวลานั้นพุ่งเข้าหากองโจรพวกนั้น แส้เส้นยาวสะบัดฟาดเข้าไปที่ท้อง หลังและส่วนที่ไม่ทำให้ถึงตายอีกทั้งยังถูกเวทเพลิงเผาไปด้วยทำให้เจ็บแสบทรมานแทน
“ไม่เลวเลยนี่” อมนุษย์ครึ่งวัวควงหอกยาวปัดแส้ของลักซ์ออกไปได้และยังโจมตีกลับด้วยเวทหอกวารีพิฆาตที่ทำให้ป่าด้านหลังถูกเป่าหายไป
เลเวลเจ็ดแถมยังมีอาวุธระดับกลางอีก ลักซ์ก้มลงต่ำหลบเวทวารีนั้นได้หากโดนเข้าไปคงเจ็บหนักสาหัสเป็นแน่ และเธอก็ใช้ช่วงเวลาหน่วงหลังจากร่ายเวทหมุนตัวเตะขาจากด้านล่างทำให้อมนุษย์ตนนั้นเสียหลักล้ม
“หน็อยนังนี่” มันใช้มือยันตัวเองไว้ยกขาขึ้นสูงและถีบลักซ์กระเด็นไปไกลหลายเมตรจนเสริมกำลังแตกกระจายไปด้วย
พละกำลังสมกับเป็นเผ่าวัวจริง ๆ
“มัวเหม่ออะไรอยู่แม่หนู” ขณะที่กำลังสังเกตการณ์อมนุษย์ครึ่งวัวอยู่จู่ ๆ ก็มีเผ่าออร์คโผล่มาข้างหลังเหวี่ยงดาบหวังตัดแขนของเธอ
เผ่าออร์คเหรอ? ทั้ง ๆ ที่ควรจะเชื่องช้าแท้ ๆ แต่กลับรวดเร็วกว่าที่คิด เธอชักดาบอีกเล่มขึ้นปัดป้องการฟันของออร์คตัวนั้นได้ไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด
“ข้าต้องได้เล่นกับเธอคืนนี้ !” อมนุษย์อีกตนกระโจนเข้ามาพร้อม ๆ กับกองโจรหลายสิบคนอย่างกับซอมบี้
“ว่าจะไม่ใช้แล้วแท้ ๆ แต่กลัวป่ารอบ ๆ จะเละไปเสียก่อน... [จงหยุด]”
ดาบ เส้นผม น้ำลายที่กำลังกระเด็นออกมาหรือแม้แต่ลมหายใจ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งไหนที่เธอต้องการให้หยุดมันก็จะหยุดด้วยหนึ่งในพลังเดอะที่แข็งแกร่งที่สุด
“นะนี่มัน” ชายหนุ่มผู้นำทางลักซ์มาถึงกับยืนอ้ำอึ้งขาแข็ง
“ช่วยเก็บเป็นความลับด้วยนะ” เธอส่งสายตาอ้อนวอนพร้อมกับเอานิ้วแตะปากเป็นสัญญาณให้เก็บเรื่องเงียบไว้
วิธีการจับก็คือมัดเชือกให้แน่นที่สุดจากนั้นก็คลายพลังเดอะแล้วก็ชกเข้าหน้าจนกว่าจะหมดสติจริง ๆ หลังจากนั้นไม่นานก็มีกำลังเสริมมานำตัวกองโจรเหล่านั้นไปขัง
“ใครกัน? ถ้าเป็นคนที่สุดยอดขนาดนั้นทำไมเราถึงไม่รู้จัก” ชายหนุ่มที่เฝ้ามองการต่อสู้จากบนป้อมปราการได้แต่ตั้งคำถามสงสัยแต่ก็ต้องพาเพื่อนของเขาไปรักษาเสียก่อน
ไม่เกินชั่วโมงลักซ์ก็กลับไปหานาธาและโทลเพื่อพูดคุยถามสารทุกข์สุกดิบกันต่อ
“กลับมาแล้วจ้า !” เธอกระโจนกอดนาธารัดจนกระดูกซี่โครงเกือบหักแต่ก็ได้ลุงโทลช่วยไว้อีกแล้ว
“เจ้าลูกสาวคนนี้ไม่คิดจะข่มจิตใจเลยหรือยังไง?” ผู้เป็นพ่อถึงกับถอนหายใจส่ายหัว
“แหม ๆ ก็นิดหน่อยเองน่าคุณพ่อ แล้วคุณพ่อต้องทำงานอีกนานแค่ไหน?”
“อืม...ก็เย็นนั่นแหละ ไปรอพ่อที่บ้านหลักก็ได้เดี๋ยวเราค่อยไปคุยกัน”
“ได้ค่ะ…” เสียงตอบรับลากยาวเห็นถึงความบ้าจี้หยอกล้อกับพ่อของตัวเองใครเห็นก็รู้ว่าสนิทกันแค่ไหน
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 257
แสดงความคิดเห็น