ep 5 จารึกคะนึง
Ep 5 จารึกคะนึง
คุณรำเพยตื่นเช้าเหมือนทุกวัน แม้สี่สิบจวนจะห้าสิบ แต่ริ้วรอยผิวพรรณยังกระชับเรียบเนียน ก่อนเดินเล่นในสวนหย่อมหน้าบ้าน ครอบครัวเธอแม้ฐานะร่ำรวย แต่น้อยครั้งจะฟุ้งเฟ้อ เมื่อตระการสามีเสียด้วยโรคหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ลูกชายช่วงนั้นติดเรียน บ้านหลังนี้จึงตกทอดถึงเธอคอยดูแลรับผิดชอบ จำปีและบุศราแม่บ้านเก่าแก่ซึ่งสถานภาพเหมือนส่วนหนึ่งในครอบครัวเป็นเพื่อน ตลอดเวลาจึงไม่เงียบเหงาโดดเดี่ยว ขณะรดน้ำต้นไม้เพลินๆ ละอองไอหมอกระคนลมเฉื่อยเอื่อยกลิ่นมะลิลาจรุงจิต
"คุณผู้หญิงจะให้จำปีขึ้นไปเรียกคุณประดุจลงมาทานข้าวเลยไม๊คะ"
"ก็ดีแหมพักนี้ เจ้าประไม่รู้ว่าคุยกับใคร"
หัวหน้าครอบครัวในปัจจุบันเปรยทำท่าครุ่นคิด
"จริงด้วยค่ะคืนก่อนโน้นหนะ อีฉันได้ยินเหมือนคุณประดุจทะเลาะกับใครก็ไม่รู้ แหมไฟในห้องก็ไม่เปิด พึมพำพึมพำหรือว่า...เอ่อ...คุณประดุจจะคืนดีกับหนูมะลิก็ได้นะคะ"
บุศราเบิกตาตื่นเต้นขณะจัดแจงสำรับอาหารชั่งจ้อตามนิสัยรื่นเริง
"หึๆประเดี๋ยวรบกวนจำปีขึ้นไปเรียกที ระยะนี้ตื่นสายพิลึก เห้อเจ้าประคนนี้"
คุณรำเพยหัวเราะอย่างเอ็นดู ก่อนจะช่วยบุศราตักข้าวจากในครัว
............
นิ้วเรียวจิ้มข้างแก้มแผ่วเบา ชายหนุ่มรูปงามหลุดจากภวังค์ฝันแห่งห้วงนิทรา ต่อเมื่อลืมตาอารามงัวเงียจึงกระจ่างวะวับ กรุ่นน้ำอบเย็นซาบหอมชื่นเอื่อยอวน
"ตื่นเถอะค่ะ แม่ของคุณให้ป้าจำปีขึ้นมาเรียกสักประเดี๋ยว"
เสียงพริ้งเสนาะใสริมโสต ร่างสูงทวนคำสลัดหัวงัวเงียระคนฉงนฉงาย
"ไม่จริงละมั้ง"
จงใจพึมพำลากหางเสียงยกยิ้มมุมปากไว้เชิง
"คอยดูสิเจ้าคะ คร้านจะเถียง"
เมื่อมองเข็มนาฬิการิมผนัง แปดโมงเช้าแล้วหรือนี่ เขานัดกับกลุ่มเพื่อนที่บ้านวิจิต ขณะอาบน้ำแต่งตัวฉับไว ความฝันเมื่อคืนยังวนเวียน ชะรอยผิมีคนเสาะหาทางลงสู่กรุสมบัติตามเอกสารDoctorละติจูดพบกระมัง เหตุทีละฉากๆผ่านแว้บแจ่มชัดห้วงความคิด แค่ฝัน...ไฉนดั่งเขาร่วมอยู่ในเหตุการณ์กันหนอ
"เรื่องจริงค่ะ คุณไม่ได้ฝันหรอก"
น้ำเสียงพลิ้วผะแผ่วยังแว่วริมโสต
"คุณรู้ได้ยังไง"
"เรื่องของคุณอกหัก...ฉันรู้มากกว่านั้น"
คำถามซึ่งไม่ควรจะถาม เพราะเจ้าหล่อนอยู่กับเขาแทบตลอดเวลา หากประดุจไม่แม้แต่จะมองเห็น รู้สึกถึงการคงอยู่ของหญิงสาวเจ้าของเสียงเสนาะพริ้ง ถอนใจยืดยาว ขณะเสียงเคาะประตูทำให้ประดุจต้องเลิกล้มคำถาม
"คุณคะคุณ...คุณผู้หญิงให้ลงไปทานข้าวด้วยกันค่ะ"
ประดุจตะลึงนิ่งอึ้ง ขณะเสียงเคาะเรียกยังดังซ้ำสองและสาม...สี่...ต้นแขนด้านหลังเจ็บแปล๊บ เจ้าของกำไลเล่นงานเขาให้เสียแล้ว
"โอ๊ย...เออปะ...ป้าจำปีแป๊บนะครับผมจะลงไปเดี๋ยวนี้แหละ"
"ค่ะๆ แหมรีบๆหน่อยนะคะ"
แม่บ้านเก่าแก่แม้แคลงคลางเหลืออด หากไม่กล้าซักถามมากนัก ประดุจหันขวับรอบตัวเขาว่างเปล่า กัดฟันกรอดก้มสายตามองกำไลข้อมือซ้าย รัตนชาติสูงค่าเปล่งประกายเมลืองปลั่ง ลายเส้นลำตัวพญานาคกระหวัดเกี่ยวดุจเลื้อยมีชีวิต
............
ห้องอาหารหากพร้อมหน้าแม้บรรยากาศยังระรื่น คุณรำเพยยิ้มแย้มเบิกบาน เมื่อเห็นบุตรชายทรุดนั่งลงร่วมโต๊ะ
"เจ้าจิตเป็นไงบ้าง"
คำถามของคุณรำเพยหมายถึงวิจิต ชายหนุ่มยกแก้วน้ำขึ้นจิบกวาดมองผู้เป็นแม่
"ก็สบายดีครับ เรื่องของอาโหราแม่คิดว่ามันแปลกรึเปล่า"
"เอกสารแผนที่กรุพุทธรูปหนะรึ"
"ใช่"
ประดุจพยักหน้า
"กรมศิลปากรสั่งลงมาอีกทีมั้ง Doctorละติจูดเป็นเพื่อนกับคุณฤทธิเดช คงจะอยากวิจัยพลังงานกับกลไกทางจิต"
คุณรำเพยบอกตามข้อมูลที่ล่วงรู้
"หรือแกถูกโหราดึงเข้าไปช่วยงานด้วยหละ"
ชายหนุ่มพยักหน้าสำทับพลางอธิบาย
"ครับ ก่อนกลับจากกรุงเทพสองสัปดาห์ เหมือนคุณอาจะพูดถึงคัมภีร์ใบลาน เมื่อครั้งสมเด็จพระบรมไตรโลกนาททรงปรับเปลี่ยนนโยบาย สเด็จขึ้นไปประทับครองราชสมบัติณเมืองพิษณุโลก เพื่อสะดวกในการจัดทัพยกพลต่อตีเมืองเชียงใหม่"
"คัมภีร์โบราณพระพุทธรูป แม่ถามแกเผื่อผิดพลาดตอนหลังจะได้แก้ไขทัน"
มารดาเม้มริมฝีปาก ประดุจสังเกตุเห็นแวววิตกฉายผ่านดวงตา
"ผิดพลาด ผมไม่เข้าใจ"
"เมื่อสองสามปีก่อนคณะขุดกรุจากกรุงเทพยกขบวนมาทั้งอาจารย์พิธีกรรม ทั้งทีมงานนักสำรวจ สุดท้ายคว้าน้ำเหลว แม่แค่ห่วงเสียแกไปอีกคน ธุรกิจวัตถุโบราณโหราจะให้ใครดูแลแทน"
คุณรำเพยถอนใจวางแก้วน้ำ ด้วยแท้จริงเธอหากเสียลูกชายตามสามีอีกคน เท่ากับทำลายดวงใจและเส้นใยชีวิตเพียงใยเดียวขาดผึง ก่อนจะเสเปลี่ยนเรื่องขมวดคิ้วมุ่น
"จริงสิพักนี้เห็นบุศราเขาว่า แกหนะพึมพำคุยคนเดียวกลางค่ำกลางคืน มีแฟนใหม่ที่ไหนแนะนำให้แม่รู้จักบ้างสิ"
ส่ายหน้าเน้นเสียง
"คนเก่ายังไม่หลาบไม่จำ"
ขณะชายหนุ่มตีหน้าซื่อ กวาดมองป้าจำปีและบุศราสลับกัน
"แหะๆ อ๋อผมติดเกมนะครับแม่ เล่นกับเพื่อนคลายเหงาเพลินเชียว แหม่รบกวนป้าทั้งสองรึเปล่า"
"โอ๊ะไม่เลยค่าไม่"
ทั้งสองเลิ่กลั่กประสานเสียงแทบพร้อมเพรียง
"ป้าทีแรกนึกว่าผีหลอก เงี่ยหูฟังเลยรู้ว่าเป็นเสียงคุณประดุจ โฮ้ยใจหายใจคว่ำ"
จำปียกมือลูบอก หากคุณรำเพยโคลงศีรษะบ่นอุบอิบ
"ตายๆ งานการไม่ทำ กลับมาพักนี้พิลึกนะตาประ"
เป้าสนทนาลนลานหน้าเจื่อนหัวเราะแก้เก้อ รีบกุลีกุจอรวบถ้วยเก็บจานแทนป้าบุศรา
"ไม่ต้องหรอกจ้ะ เดี๋ยวป้าจัดการเอง"
จำปีปรามชำเลืองหางตากับคุณรำเพยอย่างรู้ที
"ปล่อยให้เขารอเสียมารยาท มีธุระอะไรก็รีบไปทำเสีย"
"จริงฮะ คงจะกลับดึกโน่นเลย คุณแม่ไม่ต้องรอนะครับ ขี้เกียจกลับค่ำ สองสามวันนี้รถติดยืดเชียว...เห้อ"
ชายหนุ่มเลิกคิ้วนึกยินดีสามารถเบือนอารามสงสัยจากคนทั้งสามพ้นตัว ฉวยกระเป๋าโดยผู้เป็นมารดาเดินออกมาส่งถึงรถ เก๋งคันงามคู่ใจแล่นฉิว เครื่องยนต์ครางกระหึ่ม บึ่งฝ่าถนนจากตัวเมืองถึงพรหมพิราม
............
แผล็บเดียวรั้วบ้านวิจิตเขาก็เลี้ยวเข้ามาจอด เพื่อนสองคนล่วงหน้ารออยู่ก่อนแล้ว
"คุณลุงพงศ์สรรค์สบายดีนะครับ"
ทำความเคารพเจ้าบ้านตามมารยาท พงศ์สรรค์หากอายุอานามเข้าวัยชราท่วงทียังแข็งแรง มองดูเขาแววรำลึกเด่นชัดบนใบหน้าชราภาพ
"สังขารมันก็เสื่อมลงทุกวัน แต่จิตใจหนะยังผ่องแผ้วหลานเอ๊ย"
ชายชราทอดถอนใจยาว ก่อนวกเข้าประเด็น
"เจ้าจิตเล่าให้ลุงฟังหมดแล้ว กิจการคุณโหรายังสะดวกราบรื่นเหมือนเดิมไหม"
ชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้ ขณะวิจิตกับเกริกเกียรติยังช่วยกันค้นหาบางอย่างในห้องชั้นบน
"รายงานใหม่ของDoctorละติจูด สร้างความตื่นเต้นให้คุณอามากครับ หลังการสำรวจเปิดกรุ ท่านจะลงมาดูด้วยตัวเอง"
"ประวัติศาสตร์คงไม่ซ้ำรอยนะ ลุงเป็นห่วงแม่ของแก"
พงศ์สรรค์พึมพำ การขุดกรุล่าสุดตระการรับหน้าที่โดยตรง ภายหลังจากเสียชีวิตกะทันหันจึงตกเป็นภาระงานของโหรา
"จะเริ่มเมื่อไหร่หละ"
"อาจสองสามวันครับ Doctorละติจูดประสานงานทางคุณฤทธิเดชหัวหน้ากรมศิลปากรหมวดโบราณคดีแล้ว"
วิจิตเดินลงมาจากชั้นบน มือของชายหนุ่มยังถือถุงผ้าเล็กๆ เม็ดเหงื่ออาบชุ่มรุมยังความสนเท่ห์แก่ประดุจจนย่นคิ้ว
"พวกแกค้นบ้าอะไรวะ สภาพไม่จืดเลยนะโว้ยฮ่าหะๆ"
เกริกเกียรติยกมือปาดหน้าผาก ขณะวิจิตครางโฮเหลือบมองวัตถุบนโต๊ะ
"หนังสือเก่า เก็บได้ในที่ขุดกรุหวะ ไม่เชื่อลองถามพ่อฉันดู"
ขณะประดุจปรายตาแก่เจ้าบ้านเชิงขอความเห็น พงศ์สรรค์หัวเราะหึๆ แก้ห่อผ้าออกหยิบหนังสือเล่มเล็กก่อนส่งให้
"ลองอ่านดูสิ เนื้อหาประวัติศาสตร์ ลุงว่าแกคงจะชอบ"
พลิกเปิดช้าๆ แผ่นกระดาษยังใหม่เอี่ยม ดูท่าคงเก็บรักษาไว้อย่างดี เนื้อหาดึงดูดสายตาชายหนุ่มเสียแทบหมกมุ่น สองเกลอและคุณพงศ์สรรค์ชักชวนกันขึ้นไปยังห้องชั้นบน ช่วยกันรื้อค้นจัดของต่อ กล่าวถึงครั้นพระยายุทธิษฐิระ เมื่อขึ้นครองเป็นเจ้าเมืองพิษณุโลกณขณะนั้น ทรงมีใจออกห่างราชธานีกรุงหลวง เดิมพิษณุโลกเป็นหัวเมืองภายใต้อำนาจกรุงศรีอยุธยา หากพระองค์แปรสวามิภักดิ์ขึ้นตรงต่อเจ้าเมืองเชียงใหม่ เมื่อนั้นพระยาติโลกราชครองเมืองเชียงใหม่ ผิทราบจึงรับเอาพระยายุทธิษฐิระเป็นราชบุตรบุญธรรม แลถูกพระยายุทธิษฐิระนั้น ชักชวนให้ยกพลจากเชียงใหม่เข้าตีพิษณุโลก
หลังจัดทัพกะเกณฑ์คัดเลือกตรวจตราทั้งขุนพลนายทัพนายกอง อันเสบียงช้างม้าพาหนะทแกล้วทหารครบหมวดหมู่ อีกพิธีกรรมนิมนต์พระสงฆ์สวดรดน้ำพุทธมนตร์ เหล่าพรามปุโรหิตบ่นสาธยายบริกรรมทางไสย์ตามตำหรับตำราได้สามราตรี บำรุงระเริงขวัญไพร่พลนั้นฮึกเหิมแก่สงครามเป็นอันดี จึ่งกระทำตัดไม้ข่มนาม กำหนดเคลื่อนทัพเมื่อวันพฤหัสบดีที่สามกุมภาพันธ์พุทธศักราช 1995 ศักราช 813 มะแมศก ครั้งนั้นมหาราชมาเอาเมืองชากังราวได้ แลจึงมาเอาเมืองสุโขทัย หากเข้าปล้นเมืองนั้นมิได้จึ่งเลิกทัพกลับ
ข่าวแว่วถึงอยุธยาราชธานีหลวง สมเด็จพระบรมไตรโลกนาทเป็นเจ้า ทรงเรียกประชุมทั้งแม่ทัพนายกอง เหล่าอำมาตย์ราชการผู้ใหญ่ ด้วยพ่อเจ้าอยู่หัวทรงเล็งเห็น แม้นษึกครานี้ใหญ่หลวงหนักหนา ผิบัญชาการรับแต่ในกรุงเล่า เกรงจะไม่ถนัดนัก ทั้งสถานการณ์ระส่ำระสาย เหล่าไพร่ฟ้าราษฎรยามนี้เสียขวัญ จำเป็นต้องผ่อนครัวแลยกพลออกรับยังพิษณุโลก จึ่งจะเล่นษึกได้เต็มมือ
เมื่อตกลงพระทัยแน่วแน่ ได้รับการเห็นพ้องจากขุนทัพนายกองผู้ใหญ่ ครั้นแล้วทรงแต่งตั้งสถาปนาพระบรมราชา พระราชโอรสจึ่งขึ้นเสวยราชสมบัติแทนณกรุงศรีอยุธยา เถลิงนามเป็นสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่สามแต่บัดนั้น ส่วนพระองค์หลังจากตระเตรียมเสร็จสรรพ กำหนดวันแลดูฤกษ์ยามมงคล ยกพลเคลื่อนจากราชธานีหลวงเมื่อพุทธศักราช 1999 เมืองพิษณุโลกถูกยกฐานะเป็นเมืองเอก และกรุงศรีอยุธยานั้น ถูกลดฐานะเป็นเมืองโท
ประดุจเลื่อนสายตาหน้าแล้วหน้าเล่า รู้สึกคุ้นเคย...คุ้นเคยแทบสนิทแนบชิด ภวังคจิตดิ่งลึกวูบ
............
เมฆดำเคลื่อนคล้อย ละอองเม็ดฝนโปรยหนัก ฟ้าแลบฟ้าร้อง ลมพัดแรงหอบใบไม้หมุนวนเป็นเกรียว บุรุษหนึ่งก้าวดุ่มหันรีหันขวาง ลดเลี้ยวทางสวนปลูกไม้พุ่มเรียงราย เรือนไม้ยกสูงอยู่ไม่ไกล ชะรอยคงต้องขออาศัยหลบฝนชั่วคราว ต่อเมื่อแอบชิดใต้ชายคา จึงถอนใจโล่งอก
"นั่นใครตะคุ่มตะคุ่มเล่าหนอ ฝนลงหนักเชิญขึ้นเรือนมาหลบก่อนสิ"
เสียงเสนาะพริ้งกังวานนัก หากเจ้าของร่างระหงโปร่งบางชะเง้อมองจากหลังประตู
"เนื้อตัวข้าเปียกโชกฉะนี้เกรงจักทำเรือนแม่หญิงสกปรก สักประเดี๋ยวคงขาดเม็ดดอก"
บุรุษองอาจทั้งแฝงสง่าในที ใบหน้าคมเข้มหากเหี้ยมฮึก เงยหน้ามองตามเสียง ดวงหน้าสวยหวานงดงามโดยปราศจากเครื่องประทินโฉม หมดจดกระจ่างกลมกลืน ตากลมใสดั่งดวงแก้วจ้องมองลงมาก่อนแล้ว ต่างฝ่ายยืนนิ่งขึงภายใต้อำนาจสะกดประหลาดแล่นแปล๊บ
"มณีพราว พายุบ้าไม่ลืมหูลืมตา เจ้ายังมีกะจิตกะใจดูอะไรรึ ประเดี๋ยวจะไม่สบายเป็นหวัดเป็นไข้"
"อ๋อ แม่ดูนั่นสิจ๊ะ ฉันเรียกขึ้นเรือนมาหลบฝน แต่เขาปฏิเสธกลัวเรือนเปื้อน"
"เอ้า!ยังจะยืนทนหนาวอยู่ทำไม ดูรึฟ้าดำฟ้าแดงออกจะอย่างนั้น เกรงพ่อจะป่วยเสียก่อน...เชิญขึ้นมาสนทนาเถิด"
สตรีกลางคนเปิดประตูออกรับบนขั้นกระได เจ้าหนุ่มยกมือไหว้หากตนปฏิเสธซ้ำสอง ฉะนั้นเป็นการขัดน้ำใจเปล่าๆ ย่อตัวใช้ขันตักน้ำในโอ่งล้างเท้า จึงก้าวขึ้นบันไดสู่เรือนชาน
"ขอบน้ำใจจ้ะ พึ่งใบบุญสักประเดี๋ยวเถิดแม่หญิง"
บนเรือนจุดคบไต้สว่างวับแวมทุกมุม โถงหน้ากว้างขวางเนื้อไม้สักทองเรียบเป็นเงางาม ทรุดนั่งเรียบร้อย ก้มกราบทำความเคารพเจ้าบ้าน สตรีทั้งสองเห็นลักษณะแต่งกายทั้งเครื่องแบบส่อยศบรรดาศักดิ์ กลางหลังเล่าขัดดาบพร้อมฝัก ในคอยังแขวนตะกรุดทองคำร้อยรวมกลักงาช้างเครื่องรางพะรุงพะรังถักเชือกดำ หญิงผู้สูงวัยรับไหว้เอ่ยถามด้วยฉงนสนเท่ห์หนักหนา
"เอ๊ะ!ขุน ไฉนไม่เคยคุ้นหน้าค่าตา ลองบอกให้เราทีรึ ชะรอยคนต่างเมืองต่างถิ่นหรือกระมังหนอ"
เจ้าหนุ่มผู้ถูกถามเม้มปากนิ่งเงียบ ก่อนตอบเสียงขรึม
"กระผมตามสเด็จพ่ออยู่หัวแต่อยุธยาโน้นขอรับ"
"ผู้ใดตามสเด็จรึแม่ภูษา"
บุรุษผอมเกร็งก้าวฉับจากเรือนชั้นใน หญิงสูงวัยรีบกวักมือเรียก
"อ้าวพ่อกฤดา"
ชำเลืองมองเจ้าหนุ่มแว้บ
"ขุนผู้นี้ตามสเด็จพ่ออยู่หัวแต่อยุธยา หนูมณีพราวพอดีเห็นยืนตากลมหลบใต้ชายคาจึงเรียกให้ขึ้นเรือนหลบฝนเสียก่อน"
กฤดาทรุดนั่งพลางเขม่นหน้า เจ้าหนุ่มรีบยกมือไหว้แนะนำตัวว่า
"กระผมมหิทธิตามสเด็จพ่ออยู่หัวแต่กรุงศรีลงมาต่อษึกกับเชียงใหม่ พ่อท่านกรุณาทำกุศล ขออาศัยพึ่งพิงหลบฝนสักประเดี๋ยวเถิดขอรับพระคุณ"
พ่อเฒ่าชราอนึ่งก็เคยรับราชการรนณรงค์สงครามแต่คราวสมเด็จพระบรมไตรโลกนาททรงสเด็จลงมาครองราชอยู่ณพิษณุโลกเมืองสองแคว ก็บัดนี้แม้ปลดเกษียณงานราชการแล้ว หากกินตำแหน่งหมื่นนพคุณมีความดีความชอบลือชานัก รับไหว้เจ้าหนุ่มมหิทธิหัวเราะก๊ากยื่นมือตบไหล่แล้วว่า
"เออแหน่ะ แกล้วกล้าหนักหนาพ่อเอ๋ย บอกชื่อเสียงให้ทราบทีรึ ยังหนุ่มยังแน่นกินตำแหน่งขุน อันฝีมือแลสติปัญญานั้นคงรุ่งเรืองเชียวหละ"
ใบหน้าเคร่งขรึมคลายลงแลสังเกตุสังกา เจ้าบ้าน ทั้งกิริยามารยาทนั้นกันเองวางตัวเหมาะควร จึงเจ้าหนุ่มแต่อยุธยาสิ้นกระดากอายบอกเล่าคร่าวๆ รับใช้ราชการแผ่นดินแต่ยังเยาว์ วิทยาการตลอดจนตำหรับตำราพิชัยสงคราม อันร่ำเรียนสืบจากพระครูบูรพาอรุณครั้นสมัครสอบคัดฝีมือขุนวังสนองพระโอษฐ์ต้องตา ให้บรรจุไว้ในหมวดทหารเดินเท้า กระทั่งพ่ออยู่หัวทรงทอดพระเนตรเห็น ความซื่อสัตย์แข็งขันทั้งยังจงรักรบเคียงข้างหาญกล้าผิดผู้อื่นครั้นต้องพระทัย ทรงพระราชทานของมงคลบำเหน็จเลื่อนตำแหน่งแต่นั้น
มณีพราวนิ่งเงียบอึดอัดอยู่ในที เรียกหญิงรับใช้สองสามคนเข้ามานั่งด้วย เพียงขณะเวลาหนึ่งนั้น ลมฝนเบื้องนอกค่อยขาดหาย มหิทธิสนทนากับหมื่นนพคุณแลนางภูษาถูกอัชฌาสัยอันดี เหลือบตามองด้านนอกเห็นดั่งนั้น จึงกล่าวขอบคุณทำท่าจะอำลาด้วยเกรงรบกวนเพลา
"ฝนขาดเม็ดแล้ว กระผมใคร่ขอลาไปเสียเดี๋ยวนี้เลย หากอยู่นานรบกวนพระคุณจะมิควรขอรับ"
"อย่าเลยขุน ดูสิท้องฟ้ามืดค่ำฉะนี้ ทานข้าวทานปลาด้วยกันเสียก่อน"
หมื่นนพคุณพยักหน้าคล้ายนึกเรื่องใดจึงเอ่ยถามแทรกนางภูษา
"เรือนพำนักอยู่ไกลไหมเล่า"
เจ้าหนุ่มมหิทธิหรือขุนแกล้วหาญณลือชา นิ่วหน้าขมวดคิ้วแล้วว่า
"กระผมอาศัยเรือนท่านออกญาสองแควชั่วคราว"
"ตายๆ!อย่างนั้นเจียว จะเกรงใจทำไมกันนะฮึ รอสักเดี๋ยวค่อยกลับเถิด"
นางภูษาเบิกตากว้างน้ำเสียงตกใจ อันเขตเรือนเจ้าหนุ่มบอกนั้น หนทางยังอีกไกลโข โบกมือเรียกบ่าวไพร่จัดเตรียมหุงข้าวหาอาหาร เจ้าหนุ่มแม้กระอักกระอ่วน ทว่ามิอาจขัดน้ำใจเจ้าบ้าน แลแต่นั้นยามว่างจากเพลาเข้าเวรยามราชวังแล้ว จึ่งแวะเวียนมาเรือนหมื่นนพคุณเนืองๆ...
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 269
แสดงความคิดเห็น