STARCIN ภาคที่ 5 Elforia ตอนที่ 14 แลลับ
เสียงชาวเมืองเดินกันคึกคักจับจ่ายใช้สอย บางคนก็เที่ยวเล่นสนุกไปกับสุรานารีโดยไม่ได้สนใจเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างกันเป็นภาพที่ซึฮากิอยากเห็นมาโดยตลอด ความทุกข์สุขที่ไม่ขึ้นกับชาติกำเนิดรวมไปถึงอิสระในการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งแต่เมื่อเขาย่างก้าวเข้ามาในเมืองก็ต้องพบกับความวุ่นวายเสียอย่างงั้น
ทำไม ๆ เซน คานะ พวกนายหายไปไหนกัน
ซึฮากิวิ่งว่อนไปทั่วตรวจจับมานาอันน้อยนิดเพื่อตามรอยพวกเขาไปแต่ออร่ามานาพวกนั้นก็กระจัดกระจายไปทั่วเมืองยากที่จะระบุตำแหน่งได้ชัดเจน
ตรงนี้น่าจะใช่ที่สุดแล้ว ซึฮากิกวาดสายตามอง ณ ลานกว้างที่เป็นดั่งตลาดขายของแต่ไม่มีคนตั้งขายปรากฏเพียงคราบสีแดงที่พื้น
"ช้าชะมัดเลย ฮ่า ๆ ๆ" เสียงเด็กตัวเล็ก ๆ วิ่งพล่านกันเจี๊ยวจ๊าวแม้ตอนแรกซึฮากิจะไม่สนใจแต่เมื่อมองดูดี ๆ กลับสัมผัสมานาของเซนจากตัวพวกเขาได้
"เดี๋ยวก่อนเจ้าหนู" ซึฮากิเดินเข้าไปขวางทางทักทายด้วยใบหน้านิ่งเฉยยิ้มที่ดูเป็นมิตรที่สุดเท่าที่ทำได้
"เหวอ- มีอะไรครับ?" พวกเด็ก ๆ เดินถอยห่างเว้นระยะท่าทางหวาดระแวงที่มีต่อซึฮากิราวกับเขาเป็นจอมโจรที่จะมาลักพาตัว
"พวกเธอเคยเห็นผู้ชายเผ่ามนุษย์ตัวสูงผมสีทองไหม? แล้วก็ชอบพูดอะไรเพ้อเจ้อเสียงดัง ๆ ด้วย"
"เอ่อ..ถ้าคนที่ผมสีทองชอบพูดอะไรแปลก ๆ แถมยังชอบถามหาของกินซะด้วยละก็...เราพึ่งเจอเขาก่อนหน้านี้ไม่นานเอง"
"แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?"
"ผมก็ไม่รู้เหมือนกันแต่เขาก็มาเล่นกับเราอยู่พักหนึ่งแล้วก็มีพี่สาวลากเขาไป"
ซึฮากิก้าวเท้าเดินเข้าหาด้วยท่าทางสงสัยใคร่รู้จ้องแววตาของเด็กน้อยพวกนั้น
ไม่ได้โกหกสินะ "เห็นพวกเขาครั้งล่าสุดที่ไหน?"
"อืม...ผมเห็นเขาอยู่ที่บาร์ตรงนั้น" เธอชี้ไปยังสำนักงานกิลด์เก่าที่เคยเป็นของโฟลแต่ปัจจุบันมันได้กลายเป็นบาร์เล็ก ๆ ที่นักผจญภัยมาสังสรรค์หรือประชุมการออกล่ากัน
"ไอ้หน้าหล่อไม่ธรรมดาเลยนี่นา...ไหนลองนี่หน่อยสิ" ชายหนุ่มเผ่าหมีตบโต๊ะเสียงดังแต่ทุกคนที่รายล้อมโต๊ะอยู่ต่างก็ยิ้มหัวเราะลั่นท่าทางสนุกสนาน
"เหอะ มีเท่าไหร่ก็จัดมาเลย" เซนยิ้มเยาะจับแท่งเหล็กทรงห่วงยางพามันเคลื่อนที่ลอดเส้นแม้เหล็กไม่ให้โดน หากโดนจะเกิดเสียงแพ้พนันทันทีแต่เซนก็สามารถพาแท่งเหล็กนั่นไปยังจุดมุ่งหมายได้สำเร็จ
"แกนี่มันเจ๋งจริง ๆ รู้ไหมว่าเหล็กนั่นมันหนักยี่สิบกิโลกรัมเลยนะมีคนน้อยมากที่ใช้มือเดียวคุมมันได้ขนาดนี้"
"ฮ่า ๆ ๆ ให้มันรู้ว่าใครเป็นใคร"
"เห...นายเองก็มีดีเหมือนกันนี่นึกว่าสมาธิสั้นซะอีก" คานะที่เฝ้ามองยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่หยุดอย่างกับคุณแม่ที่ดูลูกชายสอบได้ที่หนึ่ง
เหอะกำลังสนุกเลยนะ "ทำอะไรกันอยู่?" ซึฮากิเอ่ยทักทันทีเมื่อได้ก้าวเท้าเข้ามาในที่แห่งนี้
"กิ! โอโฮนึกว่าจะหายไปไหน"
"ก็เอ็งไม่ใช่หรือไงที่หาย" ซึฮากิแบะปากสวนทันควัน
"ฮ่า ๆ ๆ ตอนแรกฉันเห็นพวกเด็ก ๆ มีเรื่องกับพ่อค้าขายผักน่ะก็เลยเข้าไปช่วยเจรจาสักหน่อย" เซนลุกออกจากที่นั่งของเหล่านักผจญภัยตรงมาหาซึฮากิกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
"ตอนแรกฉันตกใจสุด ๆ เลยที่เห็นเลือดแต่มันก็แค่มะเขือเทศ" คานะหัวเราะในลำคอพลางนึกถึงใบหน้าของเซนที่เต็มไปด้วยน้ำมะเขือเทศสีแดงสดเกือบคิดว่าจะตายแล้ว
"จะรีบไปไหนเล่าเซนมาเล่นเกมต่อกันดีกว่า" เหล่าชายฉกรรจ์ต่างก็ชอบอกชอบใจในตัวเซนเป็นพิเศษราวกับเจอพวกเดียวกัน
“เอาอย่างงั้นเหรอต้องขออนุญาตจากหัวหน้าซึฮากิก่อน”
“หัวหน้าของเซนเหรอจะเก่งสักแค่ไหนกันนะ” ชายหนุ่มร่างหนาสูงมากกว่าสองเมตรเดินเข้ามาใช้ร่างกายนั้นยืนค้ำหัวข่มขวัญตั้งแต่แรกที่เจอ
“เดี๋ยวนี้เซนหาเพื่อนสมองกล้ามได้เพิ่มแล้วสินะ”
“ปากดีใช้ได้เลยฉันยิ่งชอบเลย” เขาใช้เสียงสูงยิ้มเยาะพยายามยั่วโมโหซึฮากิแต่เขาก็ตอบรับด้วยใบหน้าที่เฉยชาสร้างความประหลาดใจให้กับเหล่านักผจญภัยไม่หยุด
“เซน...เอาเพื่อนสมองกล้ามของนายออกไปสิ ถ้ามันยังกวนใจฉันอยู่คงจะลงไปนอนจูบพื้นเร็ว ๆ นี้แหละ”
“ฮ่า ๆ ทำเป็นจริงจังไปได้เขาก็แค่แหย่เล่นเท่านั้นแหละ”
“เหรอ...งั้นฉันจะออกไปรอข้างนอกนะ”
ชายหนุ่มผู้นั้นจับไหล่ของซึฮากิไว้ก่อนจะเดินอ้อมตัวไปขวางทางออกแทน
“อยู่เล่นกับลุงก่อนสิพ่อหนุ่ม...ก็แค่เกมไม่กี่เกมเอง” รอยยิ้มยียวนกวนประสาทอีกทั้งยังกระตุกคิ้วไปด้วยระหว่างที่พูด
“งั้นเกมแรกก็คือรสชาติของพื้นไม้”
ทันใดนั้นชายหนุ่มตรงหน้าก็เข่าทรุดลงไปกองกับพื้นทันทีไม่ทันได้ตั้งตัวมีเพียงเสียงร้องลั่นออกมาทำให้เหล่านักผจญภัยพรรคพวกของเขาหยิบอาวุธชี้ใส่ซึฮากิเต็มไปด้วยจิตสังหาร
“เปิดจุดอ่อนทุกจุด ลิ้นปี่ ตับ ระหว่างขา หัวใจ ปอดแถมระยะหมัดก็พอดีกับคาง ความว่องไวต่ำไม่อาจป้องกันการโจมตีในระยะประชิดได้ ความรอบคอบต่ำกว่าที่คาดโดยเฉพาะกล้ามเนื้อพวกนี้ที่ไม่อาจป้องกันจุดอ่อนได้”
“หน็อยไอ้เด็กนี่”
“ใจเย็น ๆ กันก่อนสิครับ” เซนเอาตัวเข้าขวางระหว่างซึฮากิกับพวกนักผจญภัย
พวกเขาจ้องตากันอยู่พักหนึ่งก่อนที่ชายหนุ่มเผ่าหมีจะลุกขึ้นเองท่าทางจุกแน่นขยับตัวไม่สะดวก
“โอย ๆ เจ็บใช้ได้เลยพ่อหนุ่ม” เขากระตุกยิ้มพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้ไม่ได้รู้สึกโกรธอะไรขนาดนั้น
“โดนเตะของลับไปยังยิ้มออกอีกนะ คงจะอึดถึกใช้เล่นเลย” ซึฮากิเงยหน้ามองชายหนุ่มเผ่าหมีด้วยท่าทางอันสงบนิ่งราวกับตนไม่ได้ทำอะไรผิด
“ฮ่า ๆ ๆ พอดีว่าทางบ้านให้ฝึกมาน่ะ ไม่คิดเลยว่าจะมีวันได้เห็นประโยชน์ของมัน”
“เหอะ แล้ว...เมื่อไหร่จะหลบออกไป”
“ก็ได้ ๆ ฉันไม่ขวางแล้ว กะจะแค่แกล้งเล่นนิดหน่อยแต่ใจนายมันได้ผิดจากที่คาด”
ซึฮากิพยักหน้าตอบรับอารมณ์ขันที่เขามีก่อนจะเดินผ่านตัวไปตามด้วยเซนและคานะ
“ไว้คราวหน้าผมจะแวะมาใหม่นะครับ !” เซนตะโกนบอกลาโบกมือไม่พอยังกระโดดไปพร้อม ๆ กันด้วย
“โทษทีนะกิที่เกือบจะเกิดเรื่องเพราะฉัน” เซนขอโทษด้วยน้ำเสียงร่าเริงไม่ได้รู้สึกผิดนักชะเง้อคอมองสอดสายตาไปทั่วทุกแห่งที่เดินไป
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่าเซน เจ้าพวกนั้นไม่คณามือกิแน่นอน...แล้วเราจะไปไหนต่อดีล่ะ?”
“อืม...เอาของสำคัญก่อนแล้วกัน”
ซึฮากิตรงไปยังร้านขายวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้าง การเดินซื้อของอย่างยากลำบากเพราะเซนมักจะเดินเล่นไปทั่วเกือบจะทำของพังแต่ยังดีที่มีคานะคอยควบคุมตัวไว้อย่างกับคุณแม่และลูกชายไม่มีผิด
“นั่นมันอะไรน่ะแท่งยาว ๆ อย่างกับกระบองหงอคง”
“เฮ้ !กลับมานี่เดี๋ยวนี้เลยนะ”
ซึฮากิที่เห็นได้แต่ถอนหายใจพลางนึกคิดในใจว่าไม่น่าเอาเซนมาด้วยเลย
“ผมอยากได้แท่งเหล็กดำขาวครับ” ซึฮากิเหลือบตามองมือของเจ้าของร้านที่กำลังคว้าอะไรบางอย่างจากด้านหลัง
“เชิญด้านในเลยครับ” เขาหยิบกุญแจสีดำออกมาและนำพาซึฮากิเข้าไปหลังร้าน
“พวกนายรอข้างนอกนะ”
“อืม ! ไว้ใจฉันได้เลยเซนจะไม่หายไปไหนอีก” คานะตะโกนตอบกลับขณะที่อีกมือก็ดึงเสื้อเซนไว้
ห้องลับที่ซ่อนอยู่ข้างใต้เตียงภายในห้องส่วนตัวของเจ้าของร้าน เขายกเตียงขึ้นและใช้กุญแจสีดำเปิดประตูที่วางราบกับพื้นพาลงไปยังห้องใต้ดินที่มืดทะมึนก่อนจะจุดไฟที่ตะเกียงใช้มันเป็นแสงสว่างนำทาง
“ต้องการแบบไหนเหรอครับ?”
“ขอผมเดินดูรอบ ๆ ก่อน”
เจ้าของร้านพยักหน้ายิ้มอ่อนแสดงความนอบน้อมเป็นอย่างดีก่อนจะยื่นตะเกียงให้กับซึฮากิ
“ไม่เป็นอะไรครับผมพอมองเห็นอยู่”
ห้องใต้ดินที่ดูร้างเหมือนไม่มีใครเข้ามาหลายเดือนหลายปีทั้งฝุ่นที่จับกันแน่นและใยแมงมุมราวกับพวกมันกำลังสร้างอาณาจักรในที่แห่งนี้
อุปกรณ์เวทผิดกฎหมายที่ลักลอบและจัดเก็บไว้ขาย มีเพียงวงในเท่านั้นรู้แหล่งซื้อขายและหนึ่งในนั้นก็คือร้านขายวัสดุก่อสร้าง ดูจากรอยเท้าแล้วคงมีคนเข้ามาเมื่อเร็ว ๆ นี้แต่หยิบไปเพียงชิ้นเดียว
“ราคาของแต่ละชิ้นมีเท่าไหร่บ้างครับ” แผงที่แขวนอาวุธหลากหลายรูปแบบถึงมันจะโดนฝุ่นจับแต่เมื่อซึฮากิหยิบมันขึ้นมาดู ความคงทนและสภาพโดยรวมของมันยังสามารถใช้งานได้ปกติ
“ราคาสำหรับอาวุธเล็กคือห้าสิบเหรียญเงิน อาวุธหนักราคาสามเหรียญทองและของประเภทสวมใส่เจ็ดสิบเหรียญเงิน”
แม้มันจะอยู่ในระดับต่ำไปถึงกลางแต่ถ้าเทียบกับอาวุธที่เราใช้มาก่อนหน้านี้ก็คงไม่ต่างนัก
“ผมเอาอย่างละห้าชิ้น คุณช่วยหยิบสุ่ม ๆ มาก็ได้เดี๋ยวผมจะไปรอข้างบน”
“ได้ครับคุณลูกค้า”
พวกเขาเป็นเหมือนองค์กรใต้ดินของพวกนักผจญภัย ทั้งการค้าของเถื่อน อาวุธ ชิ้นส่วนมอนสเตอร์ การแลกเปลี่ยนภารกิจหรือการรับภารกิจแทนก็มีแต่ส่วนใหญ่ก็จะไม่ทำอันตรายคนทั่วไป
ซึฮากิกวาดสายตามองห้องที่ดูเรียบง่ายตกแต่งด้วยผ้าลายลูกไม้ไม่เหมาะกับชายสูงวัยผู้เป็นเจ้าของร้านสักเท่าไร
“นี่ครับของทั้งหมดสิบห้าชิ้นรวมเป็นเงินทั้งสิ้นยี่สิบเอ็ดเหรียญทองครับ ส่วนกระเป๋าใส่ผมแถมให้ครับ”
“นี่ครับ” ซึฮากินับเหรียญทองแล้วยื่นให้กับตาลุงเจ้าของร้าน
ซึฮากิแบกกระเป๋าขนาดใหญ่ทั้งสองขึ้นหลังหนึ่งใบและสะพายไหล่อีกหนึ่งใบเดินกลับไปหาพวกเซน
“ไหนบอกว่ามาซื้อวัสดุก่อสร้างไง” เซนเอ่ยทักถามทันทีที่ได้เห็น
“ก็นี่แหละคือวัสดุก่อสร้าง เราไปหาของจำเป็นอย่างอื่นกันดีกว่า”
เซนถึงกับต้องหันไปสบตากับคานะได้แต่หยักไหล่ตามน้ำไปไม่ได้ถามซอกแซก หลังจากที่พวกเขาเดินทางไปทั่วเมืองซื้อข้าวของเครื่องใช้รวมทั้งอาหารที่หากินไม่ได้ในป่าอย่างขนมปังและข้าว
“ได้ออกมาเดินเหินข้างนอกบ้างก็ดี วัน ๆ วิ่งอยู่แต่ในป่าเห็นต้นไม้ใบหน้าจนเบื่อ...ว่าไหมคานะ?”
“อืมฉันก็ว่าอย่างงั้น เห็นหรือทำอะไรซ้ำ ๆ มันน่าเบื่อมากเลยนะ”
“ฉันก็ลืมนึกถึงการฝึกของพวกนายไปเลย” ซึฮากิเงี่ยหูฟังเล็งเห็นว่าพวกเขาเบื่อเกินไปจึงพูดทักขึ้นมาทันที
“ฝึกอะไร? มานาโดนัทของนายฉันยังทำไม่ได้เลยนะ” เซนแบะปากยิ้มพลางนึกถึงการฝึกมานาที่ตนทำไม่สำเร็จ
“หมายถึงอันนี้เหรอ?” คานะใช้มีดสั้นสร้างมานาบิดรูปร่างของมันเป็นห่วงยางให้เซนได้ดู
“คานะ ! เธอไปฝึกมาตอนไหนเนี่ย” เซนตกใจอุทานออกมาเล่นเอาคนรอบข้างจ้องไม่พัก
“ฮึ ๆ ๆ ไม่บอกหรอกน่า แน่จริงก็ตามให้ทันสิ” เธอส่งเสียงหัวเราะยิ้มเยาะกวนประสาทก่อนจะหยุดร่ายมานา
“ตอนนี้มีคนที่ผ่านการปรับเปลี่ยนมานามาได้สองคนก็คือคานะกับสเตล่า ฉันอยากจะให้พวกนายฝึกจนชินสามารถสร้างและกำหนดรูปแบบได้ทันทีเมื่อต่อสู้ ไม่อย่างงั้นมันก็เป็นเพียงการละเล่นเท่านั้น”
“ฉันก็อยากทำแบบนั้นเหมือนกันแต่พอมีอะไรมาเร่งก็ดันเผลอใช้เวทมนตร์เดิม ๆ เพราะเคยชิน มันอาจจะซ้ำซากแต่เราก็อาศัยการพลิกแพลงสถานการณ์แทน” คานะส่ายหัวถอนหายใจสั้น ๆ พลางคิดพินิจถึงพัฒนาการของตัวเองในช่วงเวลาที่ผ่านมา
“ว่าแต่กิใช้มานาได้ระดับไหนแล้วล่ะ? ฉันเห็นนายสู้แต่ละครั้งไม่เคยร่ายเวทให้ได้เห็นเลยแถมฉันเห็นนายบินอยู่บนฟ้าด้วย…ทำได้ยังไง?”
“ระดับการใช้มานาจะแบ่งเป็นสี่ระดับ หนึ่งสามารถเรียกใช้มานาได้ สองสามารถควบคุมมานาได้ สามปรับเปลี่ยนมานาได้ดั่งใจ ส่วนระดับที่สี่ยังคงไม่ได้ยืนยันว่าเป็นเช่นไรแต่จากคำนิยามสั้น ๆ ก็คือเป็นหนึ่งเดียวกับมานา ทั้งหมดนี่ฉันอ่านมาจากบันทึกของแอลตั้งแต่ตอนอยู่ค่ายทหารและแน่นอนว่าฉันก็อยู่ระดับปรับเปลี่ยนมานาได้ดั่งใจ”
“ล-แล้วเรื่องเวทบินล่ะนายทำยังไง? เผื่อจะได้ลองทำบ้าง” เซนยิ้มเล็กยิ้มน้อยพูดติดตลก
“มันค่อนข้างยากสักหน่อยแต่ถ้าได้ลองแล้วก็คงทำได้ หลักการของมันก็คือการสร้างโครงข่ายมานาที่เลียนแบบมาจากใบพัดเฮลิคอปเตอร์ การหมุนวน องศา ขนาดทุกอย่างจะต้องคำนวณออกมาพอดีไม่อย่างงั้นมานาจะชนกันเองจนพังทลายลง”
“หา? ใบพัดเฮลิคอปเตอร์ที่สร้างจากมานาเนี่ยนะ นี่นายไปถึงขั้นนั้นแล้วเหรอ...พวกเรากับแค่การสร้างโดนัทยังยากเลย” เซนจ้องหน้าซึฮากิไม่หยุดสงสัยในการกระทำที่ดูเหมือนง่ายสำหรับตัวเขาเองแต่สำหรับพวกเซนนั้นดูโหดหินยิ่งนัก
“ถ้าอยากทำได้ฉันจะสอนให้ตั้งแต่พื้นฐานเรื่องโครงสร้างและการทำงานของใบพัด โอะ ! แต่ลืมไปว่าคนที่จะทำได้ต้องมีเวทลมนะ”
“เยี่ยมไปเลย...อะไรนะ?” เซนหยุดชะงักนิ่งไปครู่หนึ่ง
“เดี๋ยวฉันจะหาทางบินโดยไม่ต้องใช้เวทลมแล้วกัน...กว่าจะถึงตอนนั้นพวกนายก็คงใช้มานาได้คล่องพร้อมทำตาม”
“อย่างงั้นเหรอ ! ฉันจะพยายามฝึกฝนการปรับเปลี่ยนมานาจนแซงหน้าคานะให้ได้เลยคอยดู”
“เหรอ ๆ คิดว่าฉันจะอยู่เฉยรอนายแซงหน้าหรือยังไง” ทั้งคานะและเซนต่างก็จ้องหน้าตาเขม็งยิ้มฉีกกว้างประกาศศักดาด้วยความมั่นใจเต็มร้อย
พวกเขาช่วยกันแบกข้าวของเครื่องใช้จำนวนมากกลับไปยังเมืองเอลโฟเรียระหว่างทางก็มีอุปสรรคบ้างกับพื้นดินโคลนและแอ่งน้ำแต่ก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไรขนาดนั้น เมื่อไปถึงเมืองใบหน้าอันยิ้มปริ่มเหมือนรอพวกเขามานานหลายปีแต่ในความเป็นจริงพวกเขาไปข้างนอกไม่ถึงวันด้วยซ้ำ
“โยน ! เจ้าทำงานพลาดกี่ครั้งแล้วนะรู้ไหม ข้าจ่ายให้สำนักของเจ้าไปมากมายแต่งานกลับไม่เดินเสียที”
เสียงโหวกเหวกโวยวายเดินลงเท้าเสียงดังราวกับพยายามให้คนอื่นได้รับรู้ถึงความโกรธเกรี้ยว
“ต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่ง ตัวข้านั้นส่งหน่วยลอบสังหารออกไปมากถึงสามหน่วยแต่ก็ไม่มีหน่วยไหนได้กลับมาเลย แสดงว่าพวกเขาต้องมีกลุ่มคนหนุนหลังอยู่แน่ ๆ”
“เหอะ ไหนว่าพวกเจ้าเป็นถึงสำนักมนต์ดำที่เต็มไปด้วยนักฆ่ามากฝีมือ ทั้งเส้นสายและธุรกิจมืดหลาย ๆ อาณาจักรก็มีแต่ทำไมกะอีแค่ฆ่าเอลฟ์คนเดียวถึงทำไม่ได้”
“ทางเราจะรีบเร่งจัดการให้โดยไวที่สุด” โยนก้มหน้าลงโค้งคำนับแสดงความเคารพตลอดการสนทนา
“ดี ! ฉันให้เวลาพวกเจ้าอีกหนึ่งเดือน หากยังทำไม่สำเร็จข้าจะไปหานักฆ่าจากที่อื่น...ทีนี้ก็ออกไปกันได้แล้ว”
“ครับ” เสียงตอบรับอันเฉยชาอย่างกับเป็นหุ่นยนต์ที่มีไว้ตอบรับเท่านั้น
ราชาแห่งเหล่าเอลฟ์ ‘คากิ’ เขาพยายามจะสังหารยูกิเพื่อเป็นการตัดไฟตั้งแต่ต้นลมก่อนที่ยูกิจะรวบรวมผู้ร่วมอุดมการณ์และทำสงครามกัน
“บัดซบเอ๊ย !” กำปั้นขวาของโยนกระแทกกับกำแพงคฤหาสน์แตกยุบเป็นรอยก่อนจะค่อย ๆ หายใจเข้าออกสงบสติอารมณ์
“พวกนายไปตามหน่วยที่สองมา”
“ครับ” เสียงตอบรับจากทุกทิศทางของลูกน้องที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดก่อนจะกระจายตัวหายกันไป
แม้หน่วยลอบสังหารที่ส่งไปจะไม่ได้แข็งแกร่งมากนักแต่พวกเขาก็เคยฆ่าคนใหญ่คนโตมาหลายคนแล้ว แถมเอลฟ์ยูกิที่มีประวัติไม่ดีนักชอบทำอาหารมากกว่าการฝึกฝน เขาจะต้องมีกองกำลังที่แข็งแกร่งมาก ๆ คอยหนุนหลังอยู่ ยิ่งกับพวกที่มีตรวจจับระดับสูงก็ยิ่งยากต่อการลอบสังหาร
ขณะเดียวกันโฟลก็กำลังแฝงตัวเข้าไปทำงานภายในกลุ่มคนของคากิ เขามีเอลฟ์ทำงานอยู่ด้วยไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันคนที่อยู่ภายในเมืองนี้และยังมีกองทัพที่ประจำตำแหน่งอยู่ที่อื่นอีกหลายแห่ง
“นายโล !” พ่อหนุ่มเอลฟ์สูงยาวผิวกายเรียบเนียนขานเรียกเอลฟ์คนงานทีละคน
“มาครับ !” โฟลตะโกนตอบรับหนักแน่นขณะที่เขานั้นใช้ชื่อปลอมเพื่อแฝงตัวเข้าไปแต่ใบหน้าที่อาจมีคนจำได้จึงจำเป็นต้องซื้อหน้ากากหนังและผ้าปิดตาเพื่อสร้างความแตกต่างบ้าง
เขาทำงานมาเป็นเดือนเพื่อให้เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจและระหว่างนั้นก็สังเกตพฤติกรรมและการเคลื่อนไหวของราชาคากิ ตกดึกเขาก็มักจะลักลอบเข้าไปในเขตราชวังเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม
พวกสำนักมนต์ดำส่งหน่วยลอบสังหารไปตั้งหลายหน่วยแต่ก็ล้มเหลว องค์ชายยูกิเก็บไพ่ตายอะไรไว้กันแน่
“โลฉันไปอ่างน้ำก่อนนะเดี๋ยวสักเที่ยงคืนกลับ” เพื่อนร่วมห้องของเขายิ้มทักโบกมือลาอย่างเป็นมิตร
ถ้าบอกว่าไปอ่างน้ำแสดงว่าไปที่นั่นสินะ ที่ที่มีสาวสวยเยอะ ๆ เราก็จะมีโอกาสออกไปสอดแนมอีกครั้ง
โฟลเดินลัดเลาะไปตามทางเล็ก ๆ ที่ไม่ค่อยมีคนผ่านไปมา เขามักจะใช้เส้นทางนี้ลักลอบเข้าไปในเขตราชวัง ทหารยามส่วนใหญ่ไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้นอย่างกับมาตรฐานการคัดคนของคากิไร้ซึ่งประสิทธิภาพเลือกคนมาตามใจตน
อีกครึ่งชั่วโมงทหารยามด้านหน้าจะเดินมาเปลี่ยนกับกำแพงฝั่งนี้พร้อม ๆ กัน ทำให้เกิดช่องว่างช่วงเวลาที่ไม่มีคนเฝ้าประมาณห้านาทีแต่แค่นาทีเดียวก็พอแล้ว
หลังจากรอมาครึ่งชั่วโมงทหารตรงหน้าก็เปลี่ยนเวรยามตามเสียงระฆังสั่นพลอง ทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาคิดคำนวณไว้อย่างกับรู้ล่วงหน้า
“ของที่ขอไว้เป็นยังไงบ้าง?” เสียงอันริบหรี่จากห้องนอนของคากิอาจจะเพราะโฟลอยู่ไกลเกินไป
“ยาเสริมกำลังและยามานาทั้งหมดกว่าหนึ่งตันกำลังมาส่งแล้วครับ คาดว่าใช้เวลาไม่เกินหนึ่งสัปดาห์”
“ดี ๆ แค่มันหนึ่งกิโลก็มากพอที่จะเสริมกำลังกองร้อยแล้ว ถ้าได้มามากขนาดนั้นอำนาจทางการทหารก็จะเบนมาทางเรา...แล้วทีนี้คนจากเผ่าอื่นก็จะหันมาสนับสนุนพวกเราแทนไอ้พวกนั้น” รอยยิ้มเยาะหัวเราะด้วยความสะใจเหมือนเก็บกดมาช้านานก่อนจะกระดกเหล้าเข้าปาก
“ถึงเราจะไม่รู้ต้นทางว่าใครเป็นคนผลิตยาพวกนี้...แต่ผมเชื่อนะครับว่าต้องเป็นผู้ที่มีเลเวลเก้าแน่นอนหรือไม่ก็อาจจะเป็นหนึ่งในจอมมารก็ได้”
“ฮ่า ๆ ๆ นี่เจ้าเชื่อเรื่องจอมมารด้วยเหรอ? จอมมารที่ก้าวข้ามเลเวลเก้าได้น่ะมันไม่มีอยู่จริงหรอก ถ้าก้าวข้ามเลเวลเก้าได้ก็ต้องมีคนอื่นทำได้บ้างแล้วสิวะ” คากิหัวเราะลั่นจนน้ำตาไหลเมื่อได้ยินคำว่าจอมมารฟังดูเป็นเรื่องน่าขบขันยิ่งนัก
“แต่ผมเชื่อนะครับว่าจอมมารมีอยู่จริง...” เขาอ้ำอึ้งเหมือนอมคำพูดไว้ไม่กล้าเอ่ยออกมา
“เหอะ ฉันอยากจะเห็นจริง ๆ ว่าจอมมารจะเก่งสมคำร่ำลือหรือเปล่าโดยเฉพาะจอมมารอะไรสี ๆ”
“จอมมารแห่งเสียงครับ”
“เออ ๆนั่นแหละ เคยมีข่าวลือที่ว่าเธอสามารถฆ่าคนหมื่นคนได้ด้วยมหาเวทของตัวเอง ถ้าเป็นเช่นนั้นพวกเราต้องใช้ทหารสักกี่คนถึงจะต่อกรกับเธอได้ล่ะ?”
“ถ้าเป็นทหารเลเวลไม่เกินสามก็คงไม่มีทางทำอะไรเธอได้แน่ อาจจะต้องใช้ทหารตั้งแต่เลเวลห้าขึ้นไปสักหนึ่งแสนนาย”
“ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่ถ้าให้ผู้ที่มีเลเวลเก้ามาสู้ล่ะ สามารถล้มได้ไหม...จะต้องใช้กี่คนกันนะ?”
นี่พวกเขากำลังคุยอะไรอยู่เนี่ย เสียเที่ยวจริง ๆ ที่ต้องมาฟังเรื่องไร้สาระแบบนี้
โฟลชักจะเริ่มหงุดหงิดขมวดคิ้วจ้องมองเข้าไปในห้องนอนของคากิไม่เพียงแค่ใบไม้ใบหญ้าที่ทำให้คันแต่ยังมีแมลงไต่ยั้วเยี้ยไม่หยุด
“ว่าแต่ท่านครับ...นักฆ่าพวกนั้นจะทำสำเร็จไหมครับ?”
“เจ้าพวกนั้นตอนแรกข้าก็นึกว่าไว้ใจได้...แต่มันก็ทำพลาดตั้งกี่ครั้งไม่รู้ยังจะมีหน้ามาขอโอกาสอีกครั้งเสียด้วย” คากิกัดฟันกรอดบีบแก้วแตกคามือทำเสียงดังอย่างกับอยากจะให้ทหารยามข้างนอกได้ยิน
“ไม่แน่นะครับท่านพวกยูกิอาจจะมีใครคอยช่วยก็ได้ ลำพังตัวเขาเองไม่มีทางรับมือกับนักฆ่ามืออาชีพได้แน่นอน” เขายังคงนิ่งสงบไม่สะทกสะท้านความโกรธของคากิเลยแม้แต่น้อยราวกับเขาเคยชินกับเรื่องเช่นนี้ไปเสียแล้ว
“ให้ตายสิอย่าบอกนะว่ามันหาคนเข้าร่วมได้แล้ว ถึงขั้นไปหาคนที่เก่งขนาดนั้นได้พวกเราคงจะรีรอไม่ได้แล้ว นายไปจัดการเตรียมพร้อมแผนการได้เลย...ภายในเดือนนี้เราจะต้องเริ่มแล้ว”
“ครับ” หลังจากคุยกันเสร็จสรรพพวกเขาก็แยกย้ายกันไปก่อนจะมีหญิงสาวเดินเข้ามาบริการคากิจนหนำใจ
คงจะไม่มีเรื่องอะไรแล้วต้องรีบกลับ โฟลใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วโมงกว่าจะหาจังหวะหนีกลับมาได้
20 ธันวาคม พ.ศ.2575
ราว ๆ สามชั่วโมงก่อนพระอาทิตย์ขึ้นหน่วยลอบสังหารชุดใหม่ก็ถูกส่งมาแต่ก็ไม่อาจรอดพ้นการตรวจจับของชิมม่อนไปได้ทุกคนล้วนแต่มีจุดจบก็คือความตาย
“ส่งมาไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเลยนะเนี่ย? สูญเสียไปขนาดนี้ยังไม่ล้มเลิกอีก”
ชิมม่อน โทลและพวกซึฮากิกำลังช่วยกันจัดการทำลายหลักฐานไม่ให้เด็ก ๆ รู้ วีด้าเองก็มาช่วยด้วยได้แต่จำใจลากศพของคนที่รู้จักมากองรวมกันพลางนึกคิดแค้นแต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 272
แสดงความคิดเห็น