บทที่ 3...3/3
มีนาทำงานที่บริษัทรักษ์บ้านมา 2 เดือนกว่าแล้ว เธอคิดว่าการทำงานช่วยให้ฝึกตัวเองในหลายๆ ด้าน อย่างตอนทำงานส่งอาจารย์เพื่อให้ได้คะแนนหรือผ่านการสอบมันมีความยากก็จริง แต่พอมาทำงานเธอถึงได้รู้ซึ้งว่าการต้องรับผิดชอบงานเพราะมันเป็นอาชีพ ทำให้รู้สึกกดดันอยู่ไม่น้อย แต่มันเป็นสิ่งที่เธอต้องรับมือให้ได้ เพราะฉะนั้นแม้เธอจะเครียดในเรื่องงาน แต่งานก็ทำให้เธอมีความสุขด้วยเช่นกัน
วรการเป็นเจ้านายที่ดีคนหนึ่งและใจดีมาก ทำให้มีนาไม่หนักใจเมื่อต้องนำงานมาส่งให้เขาตรวจอีกครั้งก่อนส่งให้ลูกค้าในบ่ายวันนี้ งานชิ้นนี้ผ่านการแก้ไขมาแล้ว 3 ครั้ง จากคำแนะนำของวรการนั่นเอง ทำให้มีนายิ้มออกเมื่องานผ่าน ลูกค้าพอใจ เธอออกมาจากห้องของวรการด้วยความรู้สึกเหมือนสอบผ่านครั้งแรก แน่ละเธอคงต้องเจอบททดสอบที่เรียกว่าความต้องการของลูกค้าอีกมากมาย
มีนาเดินมาที่โต๊ะทำงานของวนัทซึ่งอยู่ตรงข้ามกับโต๊ะทำงานของเธอ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาจากโน้ตบุ๊กที่กำลังเขียนแบบอยู่ เขายิ้มให้อย่างเป็นมิตรเหมือนเคย แต่มีนารู้เสมอว่าอย่าล้ำเส้นไปเด็ดขาด วันก่อนแฟนของวนัทมาที่นี่ราวกับต้องการประกาศให้ทุกคนในบริษัทรักษ์บ้านรู้ว่าเขามีแฟนแล้ว ซึ่งเธอไม่ได้สนใจอะไรนักเพราะไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับรุ่นพี่ร่วมมหา’ลัยเลยสักครั้ง แต่สายตาของมุกดาทำให้เธอรู้สึกเหมือนแมวที่ถูกจับตามองว่าจะไปขโมยปลาย่างที่เจ้าของหวงมาก
“พี่การให้มีนเอาแฟ้มลูกค้ามาให้ค่ะ” มีนาวางแฟ้มงานให้วนัทบนโต๊ะแทนการส่งให้กับมือ
“ไหนดูหน่อยสิว่าคราวนี้พี่ได้โปรเจคอะไรมา” วนัทหยิบแฟ้มมาเปิดดู ก่อนที่จะคิ้วขมวด “ตกแต่งเรือนหอเสียด้วย สงสัยงานนี้พี่คงต้องขอให้มีนช่วยเสนอไอเดียอีกทาง ตกแต่งเรือนหอไม่ใช่แนวถนัดของพี่เท่าไหร่”
“ได้ค่ะ” ถ้าเป็นเรื่องงานมีนาคงไม่ปฏิเสธ “ถ้างั้นมีนไปออกแบบล็อบบี้โรงแรมต่อก่อนนะ”
“ถ้าอยากได้คำแนะนำอะไร มาหาพี่ได้นะ”
“ขอบคุณล่วงหน้าไว้เลยค่ะ” แม้จะพูดไปแบบนั้น แต่มีนาคงเลือกไปแก้งานกับวรการน่าจะปลอดภัยกว่า
วนัททำงานของเขาต่อ มีนาก็เช่นกัน มีเสียงเพลงในสำนักงานคลอเบาๆ จากใครสักคนที่เปิด วรการค่อนข้างให้อิสระกับทีมงานออกแบบของเขา มีแป้นบาสและตู้เกมเอาไว้เผื่อในเวลาที่เครียดจนคิดงานไม่ออก การได้ระบายความเครียดด้วยการทำอะไรสนุกๆ ก็ช่วยให้สมองปลอดโปร่งได้มาก
“อ้อ พี่มีนัดกับลูกค้าตอน 4 โมง โปรเจคนี้มีนก็ช่วยพี่เหมือนกัน ไปดูหน้างานน่าจะดี” วนัทเอ่ยพลางมองมีนาที่กำลังตั้งใจฟัง ก่อนจะพูดต่อ “แล้วมีนกับพี่ไปคุยงานกันต่อ พรุ่งนี้ต้องส่งงานพี่การแล้ว คืนนี้พี่จะได้ทำให้เสร็จ เดี๋ยวพี่เลี้ยงข้าว แล้วไปส่งที่คอนโดเอง”
คำว่า ‘ไม่’ มาจ่อที่ปลายลิ้น แต่เพราะวนัทเอ่ยถึงเรื่องงานเลยทำให้มีนาลำบากใจที่จะปฏิเสธ
“อืม...ก็ได้ค่ะ แต่มีนกลับเองน่าจะสะดวกกว่า เกรงใจพี่นัทน่ะค่ะ”
วนัทยิ้มกว้างยกมือว่อน “ไม่ต้องเกรงใจหรอก แค่ขับรถไปส่งเอง สบายมาก”
แต่มีนาคิดว่าเธอไม่น่าจะสบายแน่ๆ อย่างน้อยไม่สบายใจแล้วอย่างแรก ทำยังไงดีล่ะ เธอส่งข้อความหาภาคิน ถ้าคุยกับลูกค้าและออกจากหน้างานแล้วเพื่อนรักมารับแบบพอดิบพอดีก็น่าจะจบสวยอยู่นี่นา เรื่องที่จะให้วนัทไปส่งที่คอนโดคงเสี่ยงเกินไป เธอไม่อยากถูกกล่าวหาว่าเป็นแมวขโมยปลาย่างทั้งที่ไม่ได้อยากกิน
มีนาอยากหายตัวไปคว้าคอภาคินแล้วดีดข้อมือแรงๆ ให้เหมือนกับเวลาเล่นเกมแล้วอีกฝ่ายแพ้ นี่มันกี่โมงแล้ว ภาคินยังไม่มาอีก ตอนนี้เธอออกมาจากหน้างานกับวนัทหลังจากคุยกับลูกค้าจนได้งานที่พอใจ ครั้นเธอจะขอกลับบ้านเอง วนัทก็อ้างเรื่องงานสารพัด เธอจะยืนกรานไม่ไปก็น้ำท่วมปากเพราะเขาช่วยแนะนำเรื่องงานให้เธอมากมายในช่วงที่เข้ามาทำงานช่วงแรกๆ ตอนนี้มีนาคงได้แต่ภาวนาว่าแฟนของเขาคงไม่มาแถวนี้หรือภาคินช่วยโผล่มาสักที
“แถวนี้มีอาหารหลายอย่างทั้งญี่ปุ่น เกาหลี อิตาเลียน มีนอยากกินอะไรดี” วนัทถามพลางหาที่จอดในห้างกลางใจเมือง
มีนามองไปเรื่อยๆ ไม่มีกะจิตกะใจเท่าไหร่ “แล้วแต่พี่นัทเลยค่ะ มีนยังไงก็ได้”
“ถ้างั้นอาหารญี่ปุ่นแล้วกัน มีร้านที่พี่ไปกินประจำ มีนน่าจะชอบ”
มีนาเออออไปพลางกดข้อความหาภาคินรอบที่ล้านแปด
‘อยู่ไหน โทรหามีนด่วน’
วนัทจอดรถเสร็จพอดี ทำให้มีนาจำต้องลงจากรถเดินตามเขาไป พอเข้ามาในห้างมีนาพยายามรักษาระยะห่างไว้ ไม่รู้ละว่าเขาคิดหรือไม่คิดอะไร แต่เธอขอคิดมากเอาไว้ก่อน ถ้าปลีกตัวขอกลับก่อนไม่ได้ก็ต้องไม่เอาตัวเข้าใกล้เกินไป สำหรับผู้ชายที่มีแฟนแล้วและแฟนขี้หึงมาก เธอไม่อยากปวดหัวในภายหลัง
“มีนอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม”
“มีนไม่ค่อยได้มาร้านอาหารญี่ปุ่นค่ะ พี่นัทสั่งให้มีนทีนะคะ ขอแบบจานเดียวก็ได้ พอดีว่ามีนไม่ค่อยหิวเท่าไหร่น่ะค่ะ” รีบกินรีบแจวนั่นแหละทางออก
“ถ้างั้นพี่สั่งจานหลัก แล้วก็ของกินเล่นมาแล้วกันนะ”
มีนายิ้มแม้จะชักเป็นห่วงภาคินที่จนป่านนี้ยังไม่มา เกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนหรือเปล่านะ
“มีนไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ”
ความเป็นห่วงเพื่อนมันรอไม่ได้ มีนาเดินฉับออกจากร้านทำทีไปหาห้องน้ำ แต่พอพ้นออกมาจากร้านได้ก็รีบโทรหาภาคิน ไม่ใช่ว่าเขารีบมาหาเธอจนเกิดอุบัติเหตุหรืออะไรที่เจ็บตัวไปหรอกนะ แต่...
“ขอโทษนะมีน พอดีว่าเบญปวดท้อง คินเลยต้องพาเบญมาหาหมอน่ะ”
“คินไม่เป็นไรก็ดีแล้วล่ะ แค่นี้ก่อนนะ” มีนาค่อยโล่งอก เพื่อนไม่เป็นไรก็ดีแล้ว เบญญาไปหาหมอก็คงไม่ต้องห่วงเท่าไหร่ในตอนนี้ เพราะฉะนั้นเธอคงต้องหาทางเอาตัวรอดเอง
มีนาเดินกลับมาที่ร้านอาหาร พอมองไปที่โต๊ะของวนัท เธอก็อยากจะหัวหงอกอยู่ตรงนี้เพราะว่ากระเป๋าของเธอยังอยู่ตรงนั้น มุกดามาที่นี่ได้ยังไง ถ้าเธอเดินทะเล่อทะล่าเข้าไปมีหวังเกิดเรื่องแน่ จากที่ฟังแม่บ้านในสำนักงานเล่าให้ฟังเมื่อวันก่อน เคยมีน้องศึกษาที่มาฝึกงานถูกมุกดาวีนใส่เพราะความหึง ทำให้มีนาไม่อยากพาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น
“ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าครับ”
เสียงใครสักคนดังมาจากด้านหลัง มีนาหันไปมองด้วยความหวังเผื่อจะเป็นใครสักคนที่รู้จัก แต่...เธอไม่รู้จัก ผู้ชายหน้าตี๋ๆ ตัวสูงอย่างกับเสาไฟคนนี้เป็นใครไม่รู้หละ ตอนนี้เธอคิดหาทางให้ตัวเองออกแล้ว
“สบายดีค่ะ แต่ถ้าคุณไม่ช่วยฉัน ฉันว่าคงไม่สบายแน่ๆ เลยค่ะ” มีนายิ้มกว้าง “ช่วยฉันสักครั้งนะคะ”
อีกฝ่ายพยักหน้าหรือเปล่ามีนาไม่แน่ใจ แต่ไม่รู้ล่ะ เธอขอเข้าข้างตัวเองก่อน หญิงสาวคว้าแขนของชายแปลกหน้าเข้าไปในร้าน แล้วเดินตรงดิ่งไปยังโต๊ะที่วนัทกับมุกดานั่งอยู่ด้วยกัน วนัทดูแปลกใจที่มีนาเดินเข้ามาพร้อมใครอีกคน ในขณะที่มุกดามองมาอย่างสนใจ
“เพื่อนมีนมาแล้วค่ะ มีนกลับก่อนนะคะพี่นัท คุณมุกดา” มีนายิ้มกว้างพลางหยิบกระเป๋าของตัวเอง
ชายแปลกหน้ายืนมองเหมือนไม่แน่ใจว่าจะยังไงต่อ มีนาหันไปขยิบตาให้เขา ก่อนจะอิงซบไปที่ไหล่ของเขา ทำขนาดนี้มุกดาคงเลิกหึงหน้ามืดใส่เธอสักทีกระมัง
“แฟนของน้องมีนน่ารักจังนะคะ นี่คงรอแฟนมารับใช่ไหม” มุกดายิ้มเมื่อโล่งอกได้เสียที
มีนายิ้มอย่างเดียวอีกฝ่ายจะเข้าใจว่าเขินก็ตามใจเถอะ เธอไม่ถือ ก่อนจะรั้งแขนให้ชายแปลกหน้าที่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นแฟนของเธอออกมาจากร้าน พอลับสายตาของวนัทกับมุกดา เธอก็รีบปล่อยแขนของเขา
“ขอโทษนะคะที่ทำให้ถูกเข้าใจผิด แล้วก็ขอบคุณจริงๆ ค่ะที่ช่วยฉัน”
ภูบดีหัวเราะชอบใจ จริงๆ แล้วเขาไม่ได้ช่วยอะไรนอกจากยืนเฉยๆ
“ผมพอจะเข้าใจเหตุผลของคุณครับ แต่ทำยังไงดีพอดีผมนัดเพื่อนมากินข้าวที่ร้านนั้น ตอนนี้คงเข้าไปไม่ได้แล้ว”
มีนานิ่งคิดถ้าควักเงินให้ผู้ชายคนนี้ เขาจะหาว่าเธอดูถูกหรือเปล่านะ แต่ควรตอบแทนเขายังไงดีให้ไม่ดูเหมือนอ่อยเพราะที่เธอทำไปเมื่อครู่ก็เข้าข่ายอยู่เหมือนกัน
“มันสุดวิสัยจริงๆ ค่ะ เอาอย่างนี้นะคะ ถ้าเราบังเอิญได้พบกันอีก ฉันจะเลี้ยงข้าวคุณเป็นการชดเชยดีไหมคะ”
“ก็ได้ครับ” ภูบดียิ้มรู้ทันไม่ได้กดดันอะไร
มีนายกมือชี้ๆ ว่าจะไปทางนั้น ก่อนจะเดินลิ่วๆ ไปแบบไม่หันหลังกลับ ภูบดีมองตามก่อนจะกดรับสายจากเพื่อนที่โทรมาตาม แต่เขาคงต้องขอเปลี่ยนร้านไม่อย่างนั้นความลับของเธอที่บอกว่าจะเลี้ยงข้าวถ้าบังเอิญได้เจอกันอีกคงความลับแตก ชายหนุ่มยิ้มชอบใจ แค่มาเดินให้หายเครียด แต่กลับพบคนที่ทำให้ยิ้มได้
เสียงติ๊ดเบาๆ ทำให้มีนาสะดุ้งเพราะสายตาของเธอไม่ได้มองที่แป้นตรงบานประตูห้องตัวเอง แต่เธอกำลังมองไปที่ประตูของห้องข้างๆ ไม่มีแสงจากด้านใน เขมินท์ไม่ได้มาค้างที่นี่ตลอดทั้งสัปดาห์ มีนาก็ว่าจะไม่ถอนใจ แต่มันอดไม่ได้จริงๆ อย่างน้อยการมีเขาอยู่ห้องข้างๆ ก็ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย
มื้อเย็นวันนี้มีนาซื้อข้าวกล่องเข้ามากินในห้องซึ่งสบายใจกว่ากินอาหารญี่ปุ่นกับวนัทแน่นอน พอหยิบโทรศัพท์กำลังจะโทรหาเมษา อีกฝ่ายก็เหมือนรู้โทรมาก่อน พอกดรับคำถามแรกก็แทบจะแย่งกันพูด
“กินข้าวยังพี่เม”
“กินข้าวหรือยังน่ะมีน”
สองพี่น้องพากันหัวเราะในความแย่งกันถาม เรื่องกินเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ว่าเครียด ดีใจหรือเสียใจก็ต้องอิ่มท้องไว้เสมอ การคุยเรื่องสัพเพเหระเป็นเรื่องปกติในยามเย็นแม้จะไม่กี่นาทีก็ตาม พอกินอาหารหมดกล่องมีนาก็วางสายจากเมษาที่ต้องดูแลลูกค้าขนมหวานในยามค่ำ เธอทำงานต่ออีกสักพักแล้วเดินเช็คประตูห้องกับกระจกบานเลื่อนที่ระเบียงให้แน่ใจว่าล็อกแล้วจึงเข้านอน
เสียงโทรศัพท์ดังในเวลาเที่ยงคืน มีนาเปิดไฟที่หัวเตียงแล้วกดรับสายเมื่อเห็นว่าภาคินโทรมา เธอกำลังจะถามอยู่แล้วว่ามีอะไร แต่อีกฝ่ายก็รีบพูดขึ้นพร้อมกับมีเสียงโหวกเหวกติดมาด้วย
“มีนรีบกลับบ้าน ร้านของพี่เมแย่แล้ว” ภาคินตะโกนแข่งกับเสียงเซ็งแซ่ของชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ที่กำลังช่วยกัน
“มีอะไรน่ะคิน บอกมีนมาเดี๋ยวนี้เลย ไม่ต้องห่วง มีนรับมือได้” มีนาถามพร้อมกับถลาลงจากเตียงเพื่อจะวิ่งไปที่ตู้เสื้อผ้า
ภาคินชั่งใจก่อนจะบอกสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นตอนนี้ เขารู้มีนาเข้มแข็งสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น “ร้านของพี่เมไฟไหม้ รถดับเพลิงกำลังช่วยกันดับไฟอยู่ คินเพิ่งมาถึงที่ร้าน พี่เมร้องไห้ใหญ่แล้ว”
หัวใจของมีนากระตุกวาบ แม้จะเตรียมใจรับฟังข่าวร้ายไว้แล้วก็ตาม เธอห่วงเมษา ร้านขนมคือความฝันหนึ่งเดียวของพี่สาว
“คินดูแลพี่เมแทนมีนก่อนนะ มีนจะรีบไป”
มีนากดวางสายแล้วไปหยิบกระเป๋ามาสะพาย ก่อนจะใส่รองเท้าผ้าใบ แล้วคว้ายางรัดผมมาพลางเปิดประตูออกไป ตอนที่รอลิฟต์เธอมัดผมตัวเองแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาเมื่อเข้ามาด้านใน เธอเปิดแอพพลิเคชั่นสำหรับเรียกรถแท็กซี่ ทว่าบานลิฟต์ที่ปิดไปแล้วก็เปิดออกอีกครั้งในเสี้ยววินาที
“มีนจะไปหาเมที่ร้านใช่ไหม”
มีนาเงยหน้าขึ้นมองเพื่อที่จะพบว่าเป็นเขมินท์ที่เรียกเธอไว้พร้อมกับเข้ามาในลิฟต์ด้วยกัน เขาคงรู้เรื่องแล้วใช่ไหมถึงได้ถามแบบนี้ แต่ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้
“ค่ะ พี่เขม มีนไม่รู้ว่าพี่เขมอยู่นี่ ไม่เห็นไฟเปิดมาหลายวัน”
เขมินท์คว้าแขนของมีนาไว้เมื่อเห็นว่าลิฟต์มาถึงชั้นสองแล้ว เขาเดินลิ่วๆ ไม่ได้ตอบคำถาม แต่พามีนาไปที่ส่วนจอดรถของลูกบ้านในคอนโด โดยจะอยู่ชั้น 1 ถึงชั้น 3 ของตึกซึ่งแยกออกมาอีกส่วน มีนาพอจะเข้าใจว่าเขมินท์พาเธอมาที่รถของเขาทำไม แต่เธอไม่เข้าใจว่าเขาทำไมถึงใจดีแบบนี้
“เดี๋ยวพี่ขับรถไปส่ง ยังไงก็ต้องกลับไปช่วยเผื่อขาดเหลืออะไร”
“ขอบคุณนะคะ” มีนาเปิดประตูมานั่งในรถ อดไม่ได้ที่จะมองเขมินท์ ในเวลาที่พบเรื่องแย่ๆ การมีเขาอยู่ตรงนี้ไม่ใช่เรื่องปกติแน่ๆ
“โชคดีนะคะที่พี่เขมอยู่ที่นี่วันนี้ ไม่งั้นมีนคงรอรถแท็กซี่จนร้องไห้แน่ๆ เลยค่ะ”
“ถ้า...” เขมินท์ถอนใจก่อนจะพูดต่อ “ถ้าป้ารุจาไม่โทรมาบอก พี่คงไม่รู้เหมือนกัน พอดีได้ยินเสียงมีนเปิดประตู พี่เลยเดาว่ามีนจะรีบไปหาเมน่ะ”
มีนาพยักหน้าพลางกดโทรศัพท์หาภาคิน ตอนนี้เธออยากไปอยู่ที่นั่นใจจะขาด เมษาไม่เหมือนเธอที่เตะต่อยมีเรื่องให้พ่อแม่ปวดหัวอยู่บ่อยๆ ในขณะที่พี่สาวไม่เคยมีเรื่องมีราว ชีวิตเหมือนกราฟที่นิ่งๆ แต่วันนี้กลับถูกแทนที่ด้วยเหตุการณ์ไม่คาดคิดจะรับมือไหวหรือเปล่า
“มีนกำลังไป พี่เมเป็นไงบ้าง ตึกเสียหายมากไหมน่ะคิน” มีนาถามน้ำเสียบเรียบๆ แม้ว่าใจจะเต้นแรง
“พี่เมมีแม่ของคินกับป้ารุจาดูแลอยู่ ตึกชั้นล่างน่าจะเสียหายเกือบหมด เจ้าหน้าที่กำลังฉีดน้ำเลี้ยงไว้เพราะยังมีควันไฟอยู่น่ะ ตอนนี้ยังเข้าไปไม่ได้” ภาคินบอกเพื่อนพลางมองไปที่เมษาซึ่งตอนนี้ไม่ร้องไห้แล้ว แต่กำลังมองมาที่ตึกซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังช่วยกันฉีดน้ำอยู่ สายตาคู่นั้นยิ่งกว่าคนใจสลาย
แม้จะเข้มแข็งแต่พอฟังที่ภาคินบอกแล้วมีนาก็น้ำคลอรู้สึกสงสารพี่สาวตัวเองจับใจ
“ฝากด้วยนะคิน”
มีนากดวางสายแล้วดูทางอย่างตั้งใจ เขมินท์หันมามองหญิงสาวแล้วขับรถต่อไป แม้จะรู้สึกได้ถึงเสียงสั่นเครือของเธอยามที่คุยกับโทรศัพท์กับภาคิน แต่ในยามที่เธอคุยกับเขา น้ำเสียงก็กลับมาปกติ ดวงตาคู่นั้นไม่มีแม้น้ำตา เธอเข้มแข็งและเลือกที่จะอ่อนแอกับใคร ซึ่งใครคนนั้นไม่ใช่เขาเท่านั้นเอง
เมษายืนมองควันจางๆ ที่ลอยขึ้นฟ้าแทนที่เปลวไฟหลังจากเพลิงสงบลง ในช่วงเวลาที่มองดวงใจของตัวเองกำลังถูกทำลายเพราะเปลวไฟนั้น เธอเกิดคำถามมากมาย มันเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะใคร ทำไม มันไม่ควรเกิดขึ้น ไม่มีอะไรผิดปกติในตอนที่เธอเข้านอน มันเหมือนทุกวัน แต่มันต่างไปเมื่อไฟได้ทำให้สิ่งที่ดีงามหายไปในพริบตา แล้วเธอจะทำอย่างไรต่อไปในอนาคต แม้เงินที่ได้จากการขายขนมมาหลายปีจะมีประมาณหนึ่ง แต่หากต้องเริ่มต้นใหม่ เธอจะเข้มแข็งมากพอจนก้าวพ้นจากการล้มครั้งนี้ได้ไหม
“หนูเมนั่งก่อนนะลูกเดี๋ยวเป็นลม ทางนั้นให้คินไปช่วยจัดการดีกว่านะ” รุจาประคองเมษามาที่เก้าอี้ซึ่งถูกย้ายออกมาจากร้านนั่นเอง
เมษาหายใจแรงทั้งที่ไม่อยากจะร้องไห้ แต่พอกะพริบตาน้ำตาก็ไหลออกมาอีกแล้ว
“เมไม่รู้ว่าไฟมันไหม้เพราะอะไรเลยค่ะป้ารุจา เมจะทำยังไงดี”
รุจากอดเมษาอย่างเห็นใจและสงสาร นางเห็นเมษากับมีนามาตั้งแต่เด็กจนกระทั้งเหลือกันแค่สองพี่น้อง ตอนนี้เมษาคงเคว้งว่าจะก้าวต่อไปทางไหน
“เอาไว้เพลิงดับสนิทแล้วไปดูว่าอะไรเสียหายบ้างนะหนูเม ตอนนี้ต้องเข้มแข็งไว้นะ”
“ดื่มน้ำกันก่อนนะ น้าเตรียมมาเผื่อใครๆ จะหิวน้ำกัน” ภวิกาหยิบของออกมาจากตะกร้าใบใหญ่ที่เตรียมมา ทำให้มาถึงช้ากว่าภาคิน
เมษารับน้ำมาดื่มเพราะคอแห้งจนเหมือนมีเพลิงสุมอยู่ตรงนี้ หญิงสาวพยายามบอกให้ตัวเองเข้มแข็ง แต่น้ำตากลับยิ่งไหลมากกว่าเดิม รุจาช่างใจดีค่อยซับน้ำตาให้ หญิงสาวรู้สึกสะท้อนใจทั้งที่สัญญากับพ่อและแม่ไว้ว่าจะดูแลมีนาแทนพวกท่าน แต่ตอนนี้เธอกลับดูแลตัวเองยังไม่ได้เลย
“พี่เม...”
เมษาลุกขึ้นหันไปมองมีนาที่วิ่งเข้ามาแล้วกอดเธอไว้ น้ำตาที่ดูเหมือนจะแห้งไปกลับพรั่งพรูอีกครั้ง เมษาร้องไห้จนตัวไหวโยน มีนากอดพี่สาวเอาไว้แน่น มือก็คอยลูบหลังอย่างปลอบประโลมพลางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ไม่เป็นไรนะพี่เม ไม่เป็นไร มีนมาแล้ว”
เมษาพยักหน้าเพิ่งรู้ว่าน้องสาวเติบโตขึ้นมาก จนเวลานี้กลายเป็นต้นไม้ให้เธอพักพิงมาตั้งแต่เมื่อไหร่ “โลกมันหมุนเร็วขึ้นแล้วละมั้ง เห็นมีนแล้วพี่มีกำลังใจขึ้นเยอะเลยล่ะ”
มีนายิ้มให้เมษาแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์เลวร้ายตรงหน้า แต่เธอคิดมาตั้งแต่แรกว่าต่อให้เกิดอะไรก็ตามขอแค่เมษายังอยู่ตรงนี้ เป็นพี่สาวที่พร้อมจะให้เธอกอด ทุกอย่างมันจะง่ายขึ้นตรงนี้ที่ยังมีเราสองคนอยู่
รุจามองสองพี่น้องแล้วน้ำตาไหลเสียเอง ภาคินเดินกลับมาสมทบถึงได้เห็นเขมินท์ ภวิกาส่งน้ำให้ลูกชายกับลูกเลี้ยงที่รับไปดื่มทันที
ภาคินตบไหล่ของมีนาเบาๆ แทนคำว่าเป็นห่วง หญิงสาวหันมาพยักหน้าพร้อมกับพูดว่า ‘ขอบใจ’
เขมินท์มองเห็นสายตาของความห่วงใยด้วยความรู้สึกคุ้นเคยเพราะมันเป็นมาแบบนี้ตลอด เพียงแต่เขาไม่คิดว่ามีนาที่เธอเคยร้องไห้เพราะแค่จักรยานล้ม ในวันนี้เธอจะกอดปลอบเมษาแล้วไม่ร้องไห้ออกมา เรียวปากหนายิ้มบางก่อนลุกขึ้นพลางมองไปที่ภาคินซึ่งเดินตามพี่ชายไปเพื่อช่วยจัดการปัญหาให้สองพี่น้อง แต่เพียงครู่เดียวมีนาก็เดินตามมา
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 350
แสดงความคิดเห็น